ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว หมิงฮ่วนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงและไม่อยากเชื่อในสายตาของตนเอง
มิติที่สองถือเป็นสิ่งลี้ลับในตำนาน ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลหมิง เขาไม่เพียงแต่ได้ยินเกี่ยวกับมันเท่านั้น ทว่าเขาก็เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน เพราะบรรพบุรุษของตระกูลหมิงก็มีมิติที่สองอยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มิติที่สองของบรรพบุรุษตระกูลหมิงเทียบกับมิติที่สองของฉินอวี้โม่ไม่ติดฝุ่นเลยสักนิด !
“มิติที่สองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ความประหลาดใจที่ชัดเจนในสีหน้าของหมิงฮ่วนเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว นางเพียงผายมือเพื่อให้เขานั่งลงและส่งกระแสจิตเพื่อเรียกบรรดาอสูรมายาทั้งหมดของตนจากทุกทิศทางกลับมายังเมืองพระราชวังภายในคฤหาสน์เฟิงหัว
คฤหาสน์เฟิงหัวในปัจจุบันกว้างใหญ่จนเรียกได้ว่าไม่ต่างจากการเป็นโลกในตัวมันเอง เมืองใหญ่หลากหลายเมืองเชื่อมต่อซึ่งกันและกันและมีสถานที่มากมายที่เหมาะสำหรับการฝึกยุทธ์บ่มเพาะพลัง
แน่นอนว่าผู้ที่อาศัยอยู่ภายในนี้มีเพียงบรรดาอสูรมายาของฉินอวี้โม่และทายาทที่สืบทอดมาจากอสูรเหล่านั้น รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่พิเศษเช่นต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่มีมนุษย์คนใดอาศัยอยู่
ไม่…ไม่สิ นอกจากอสูรของฉินอวี้โม่ก็ยังมีมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งล้วนเป็นผู้ที่ก่อกรรมทำชั่วมานับไม่ถ้วนและถูกฉินอวี้โม่จับตัวไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้คนเหล่านั้นอยู่ภายใต้การดูแลของเสี่ยวเฮยและอสูรจำนวนหนึ่งโดยที่ทำงานอย่างหนักอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อชดใช้ให้กับความผิดที่เคยกระทำลงไป
“บรรพบุรุษตระกูลหมิงก็มีมิติที่สองอยู่เช่นกัน ทว่ามิตินั้นก็มีขนาดเล็กมากซึ่งมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นและไม่มีสิ่งอื่นใด อย่างมากก็ส่งคนเข้าไปในนั้นได้เพียงประมาณสิบคนซึ่งก็ถือว่าแออัดมากแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีมิติที่สองที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่”
ในเวลานี้ ความยโสโอหังบนสีหน้าของหมิงฮ่วนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เมื่อสัมผัสถึงสภาวะพลังที่หนาแน่นภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เขาก็เริ่มมีท่าทีเคารพต่อฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น
ผู้ที่ครอบครองมิติที่สองที่ทรงพลังเช่นนี้ไม่มีทางเป็นบุคคลธรรมดาไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลังและข่ายอาคมหลายชนิดที่นางวางไว้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้หมิงฮ่วนปวดหัวเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าอนาคตของสตรีผู้นี้ยังคงยาวไกลและไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้สาเหตุที่ความแข็งแกร่งภายนอกของนางยังอยู่ในระดับต่ำก็เป็นเพียงเพราะนางมีเวลาพัฒนาเติบโตเพียงไม่นานเท่านั้น หากให้เวลากับนางมากพอ ในทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็อาจจะไม่มีผู้ใดที่เทียบชั้นกับนางได้อีก
“นายหญิง เรียกพวกเรากลับมารวมตัวกันเพราะเหตุใดรึ ?”
เสี่ยวเฮยและบรรดาอสูรปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่ตาม ๆ กันและทำให้หมิงฮ่วนตกตะลึงอีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ล้วนไม่ธรรมดาเลย อสูรหลายตัวมีสายเลือดที่บริสุทธิ์และจัดอยู่ในระดับต้น ๆ ของสายพันธุ์ เมื่ออสูรเหล่านี้พัฒนาต่อไป พวกมันจะกลายเป็นตัวตนในระดับจ้าวอสูรที่ทรงพลังอย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าพวกมันทั้งหมดจะเป็นอสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่เพียงคนเดียว
เพียงเท่านี้ก็ทราบได้แล้วว่าฉินอวี้โม่มีไพ่ตายซ่อนไว้มากมายเกินกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการได้
“ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าเพียงจับตัวคนที่ไม่พอใจกับการรับใช้ข้าเข้ามาและอยากจะให้พวกเจ้ามาช่วยดูสักหน่อย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและชี้นิ้วไปที่หมิงฮ่วนผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ นาง
“คนที่ไม่พอใจกับการรับใช้นายหญิงรึ ? ตาเฒ่า เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”
สายตาของเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ จับจ้องไปที่หมิงฮ่วนเป็นตาเดียวและแววตาของพวกมันแสดงความมุ่งร้ายอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ๆ มันเป็นเพียงเรื่องในอดีตเท่านั้น นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…เป็นเรื่องเข้าใจผิดเพียงเท่านั้น”
หมิงฮ่วนลุกพรวดและโบกมือไปมาพร้อมคลี่ยิ้มอย่างประจบประแจงทันที
แม้ตอนนี้เขาจะมีพลังหลงเหลืออยู่บ้าง ทว่าหมิงฮ่วนก็ตระหนักดีว่าไม่มีทางรับมือกับอสูรมายามากมายเช่นนี้ได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาอยู่ในมิติที่สองของฉินอวี้โม่ เขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด
หมิงฮ่วนตระหนักถึงพลังของมิติที่สองเป็นอย่างดี ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวแห่งนี้ ฉินอวี้โม่คือผู้เป็นใหญ่และทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง คนอย่างเขาที่ถูกจับเข้ามาในนี้เป็นได้เพียงมดตัวน้อยด้อยค่าในสายตาของนางเท่านั้น
“หมิงฮ่วน บอกตามตรง ในสายตาของข้า เจ้ายังไม่ถือว่าทรงพลังเท่าใดนัก พรสวรรค์ของเจ้าก็ยังไม่ดีพอและมีศักยภาพในการพัฒนาอีกเพียงไม่มาก เจ้าควรจะดีใจที่ข้ารู้จักคนในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่กี่คนและไม่ทราบถึงสถานการณ์ของตระกูลหมิง มิเช่นนั้น เจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะคิดจำนนต่อข้าด้วยซ้ำ”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง แม้พลังความแข็งแกร่งของหมิงฮ่วนจะถือว่าไม่เลวนัก ทว่าเขาก็มิใช่จอมยุทธ์ฝีมือดีอันดับต้น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์ของเขาก็อยู่ในระดับทั่วไปและยากที่จะทะลวงพลังต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่ทราบเกี่ยวกับตระกูลหมิงมากนักและต้องการสืบเรื่องราวจากคนในตระกูล ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการเข้าไปในตระกูลหมิงในอนาคต การมีคนในคอยให้ความร่วมมือก็จะช่วยให้ทุกอย่างสะดวกขึ้นมาก
และบังเอิญว่าหมิงฮ่วนปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่พอดิบพอดี ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจที่จะสยบเขามาเป็นผู้ติดตาม
“…”
หมิงฮ่วนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมาล้วนเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
หากความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับที่สูงมากพอ เขาคงไม่ต้องเดินทางมาที่ตระกูลเยี่ยในครานี้ด้วยซ้ำ ทว่าเป็นเพราะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาล้วนดูแคลนตระกูลเยี่ยเกินกว่าจะเสียเวลามาที่นี่ด้วยตัวเอง คนเหล่านั้นจึงส่งเขามา มิใช่เพราะหมิงฮ่วนเต็มใจหรือเสนอตัวแต่อย่างใด
ตอนนี้การที่ได้เห็นบรรดาอสูรมายาจำนวนมากของฉินอวี้โม่ในมิติที่สองแห่งนี้ จิตใจของหมิงฮ่วนก็เริ่มที่จะไขว้เขวเล็กน้อย
การยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่อาจจะมิใช่สิ่งที่เลวร้ายจนเกินรับได้…
“ฉินอวี้โม่ เจ้าไม่ทราบหรอกว่าตระกูลหมิงน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ในฐานะขุมกำลังอันดับหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของตระกูลหมิงเหนือชั้นเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ ต่อให้มีมิติที่สองและอสูรมายาทรงพลังมากมาย เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลหมิง พวกเจ้าก็มีแต่จะเผชิญกับทางตันเท่านั้น”
แทนที่จะยอมจำนนในทันที เขาก็กล่าวลองเชิงออกไปก่อนและเฝ้ามองดูฉินอวี้โม่อย่างเงียบ ๆ เพื่อรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของนาง
“เหอะ ในเมื่อตระกูลหมิงต้องการจะจัดการกับศิษย์พี่ของข้า คนพวกนั้นก็คงจะทราบเกี่ยวกับข้ามาบ้างแล้ว ข้าฝ่าฟันอุปสรรคมาจากดินแดนหวนหลิงและข้ามผ่านดินแดนมามากมายกว่าที่จะมาถึงที่นี่ได้ ข้าได้ประจันหน้ากับขุมกำลังที่แข็งแกร่งกว่าข้ามานักต่อนักแล้ว ทว่าไม่เคยมีผู้ใดขัดขวางข้าจากการฝ่าลมโต้คลื่นได้ หมิงฮ่วน…ตระกูลหมิงทรงพลังมากก็จริง แต่มันไม่ได้หมายว่าจะไม่มีหนทางเอาชนะพวกเขาได้ ในเมื่อมีจุดยืนที่แตกต่างจากข้า ข้าก็ทำได้เพียงเหยียบย่ำพวกเขาเพื่อเดินหน้าต่อไปเท่านั้น !”
* 乘风破浪 ฝ่าลมโต้คลื่น จิตใจที่ไม่ย่อท้อความลำบาก มีความกล้าหาญต่อสู้และฟันฝ่าอุปสรรคนับไม่ถ้วน เทียบได้กับสำนวนไทยที่ว่า ‘บุกป่าฝ่าดง’ คือการพยายามต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ
ฉินอวี้โม่ยิ้มด้วยความมั่นใจและไม่หวาดหวั่นต่อตระกูลหมิงแม้แต่น้อย เวลานี้นางเตรียมแผนการไว้ในใจแล้ว
โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงตระกูลหมิงเท่านั้น ทว่ายังมีขุมกำลังอื่น ๆ ที่ทรงพลังเช่นกัน แม้ความแข็งแกร่งของตระกูลเหล่านั้นจะเทียบกับตระกูลหมิงไม่ได้ แต่พวกเขาก็เหนือกว่าตระกูลเยี่ยมากนัก หากขุมกำลังเหล่านั้นผนึกกำลังร่วมกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีโอกาสในการประจันหน้ากับตระกูลหมิงได้มากขึ้น
แผนการของฉินอวี้โม่คือการโน้มน้าวใจขุมกำลังเหล่านั้นให้ผนึกกำลังและต่อสู้กับตระกูลหมิงด้วยกัน แม้อาจจะต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยากไม่น้อย นางก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ
ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมและวาจาหนักแน่นของนางทำให้หมิงฮ่วนตกตะลึงไปอีกครั้ง
ตระกูลหมิงของพวกเขาเคยสืบข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มาแล้วจริง ๆ และทราบถึงความสามารถของนางพอสมควร นับตั้งแต่ดินแดนระดับต่ำจนมาถึงดินแดนในปัจจุบันนี้ สตรีผู้นี้ได้พานพบอุปสรรคขวากหนามทั้งเล็กใหญ่มานับไม่ถ้วน ตระกูลหมิงในวันนี้อาจดูแข็งแกร่งและทรงพลัง ทว่าบางทีพวกเขาอาจจะเป็นได้แค่ขั้นบันไดที่ช่วยให้นางก้าวขึ้นไปสู่จุดหมายที่สูงกว่า…
“เจ้าตัดสินใจเลือกเองเถอะ หากไม่ต้องการที่จะยอมจำนนต่อข้า เจ้าก็อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแห่งนี้ต่อไป ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าเป็นการชั่วคราว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้ากลับไป”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาและแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
“ข้าจะยอมจำนนต่อเจ้า !”
หมิงฮ่วนไม่ลังเลหรือขัดขืนอีกต่อไป ถึงอย่างไรตระกูลหมิงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากนัก อย่างไรก็ตาม หากติดตามฉินอวี้โม่และสามารถโค่นล้มอำนาจของตระกูลหมิงได้สำเร็จ สถานะของเขาก็จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน…