หลังจากใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และหมิงฮ่วนก็ปรากฏตัวขึ้นมาในโถงใหญ่ของจวนตระกูลเยี่ยอีกครั้ง…
ณ จวนตระกูลเยี่ย เวลานี้ฉินเฟิงยืนอยู่ข้างเตียงของเยี่ยชางไห่
อาการของเยี่ยชางไห่ค่อย ๆ คงที่และดีขึ้นกว่าก่อนมาก ทว่าหากต้องการให้เขาฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ยังต้องรวบรวมวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถนิพพาน
อย่างไรก็ตาม เขายังคงได้ยินและรับรู้ถึงสถานการณ์รอบตัว ฉินเฟิงจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ท่านปู่ได้ทราบอย่างคร่าว ๆ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหมิงฮ่วนกลับออกมา ฉินเฟิงก็เดินเข้าไปหาทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง ?”
เขาชำเลืองมองไปที่หมิงฮ่วนก่อนเดินตรงเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่ขณะเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ หลังจากนี้เขาจะกลับไปที่ตระกูลหมิงก่อนเพื่อช่วยเราถ่วงเวลาไว้สักระยะและพยายามหาทางช่วยพี่สะใภ้”
ก่อนหน้านี้ในช่วงเวลาที่อยู่ข้างในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ได้จัดเตรียมแผนการขั้นต่อไปไว้แล้ว นั่นคือหมิงฮ่วนจะกลับไปที่จวนตระกูลหมิงและรายงานกับคนที่นั่นว่าตระกูลเยี่ยได้ตกอยู่ในกำมือของเยี่ยไป๋เหมยโดยสมบูรณ์แล้ว
หมิงฮ่วนได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลความเรียบร้อยของที่นี่ เพราะเหตุนั้น คนตระกูลหมิงจึงจะไม่สงสัยสิ่งใด อย่างไรก็ตาม คาดว่าเขาจะถ่วงเวลาได้ไม่เกินสองปีเป็นอย่างมากเท่านั้นและไม่อาจรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต
“ข้าจะรายงานกับผู้นำตระกูลว่าเจ้ายังอยู่ในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยโดยที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับออกมาและผู้นำของตระกูลเยี่ยก็สิ้นใจไปแล้ว สำหรับเรื่องการช่วยฉินเหยียนออกมา…โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีอยู่น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ข้าพอจะสืบข่าวเกี่ยวกับนางได้และรับประกันว่าชีวิตของนางจะไม่ตกอยู่ในอันตราย”
ก่อนหน้านี้หมิงฮ่วนได้หลั่งเลือดสาบานจงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่แล้ว เพราะเหตุนั้นนางจึงมั่นใจว่าเขาจะไม่ทรยศหักหลังนางอีก เขาเป็นคนที่ชาญฉลาดพอสมควร ในเมื่อแสดงความภักดีแล้ว เขาจะหาทางทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จโดยที่ฉินอวี้โม่ไม่ต้องกังวลสิ่งใดมากนัก
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอขอบคุณเป็นการล่วงหน้า”
ฉินเฟิงประกบกำปั้นไปทางหมิงฮ่วนและกล่าวอย่างจริงใจ
“ด้วยความยินดี”
หมิงฮ่วนโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก ในเมื่อเขายอมรับฉินอวี้โม่เป็นนายแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภารกิจที่เขาควรทำให้สำเร็จและไม่จำเป็นต้องได้รับคำขอบคุณใด ๆ
“นายหญิง ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หากมีเรื่องใดที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าก็เชิญติดต่อมาได้เลย ข้าจะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”
เขากล่าวทิ้งท้ายกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้หลอมอุปกรณ์สื่อสารหลายชิ้นและมอบให้กับหมิงฮ่วนแล้ว ต่อให้เขากลับไปที่จวนตระกูลหมิง นางก็ยังสามารถติดต่อกับเขาได้อย่างง่ายดาย หากมีความเปลี่ยนแปลงใด ฉินอวี้โม่ก็จะได้รับข่าวโดยเร็วที่สุดเช่นกัน
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและมองแผ่นหลังของหมิงฮ่วนที่ค่อย ๆ เดินจากไป
“กล่าวกันว่าตระกูลหมิงวางผนึกพิเศษไว้ในร่างของสมาชิกทุกคน เมื่อเกิดความคิดต่อต้านขัดขืนใด ๆ ขึ้นมา ตระกูลหมิงจะรับรู้ได้ทันทีและทำลายคนเหล่านั้นเสีย เสี่ยวโม่เอ๋อร์…เจ้ามั่นใจรึว่าคนตระกูลหมิงจะไม่ค้นพบเรื่องที่หมิงฮ่วนยอมจำนนต่อเจ้าแล้ว ?”
เยี่ยหลิงซีขมวดคิ้วมุ่นและอดเอ่ยถามไม่ได้
“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึงผนึกนั้นและใช้วิธีการบางอย่างเพื่อตบตามันไว้แล้ว ผนึกของผู้นำตระกูลหมิงยังคงอยู่ เพียงแต่มันจะไม่ส่งผลกระทบใดต่อหมิงฮ่วนและจะไม่มีผู้ใดทราบว่าหมิงฮ่วนยอมจำนนต่อข้าแล้ว”
ฉินอวี้โม่ค้นพบผนึกนี้มาก่อนแล้วเช่นกันและจัดการรับมือไปอย่างเหมาะสม แม้ผนึกในความคิดของหมิงฮ่วนจะยังคงอยู่เช่นเดิม ทว่าการทำงานของมันก็จะแตกต่างออกไปมาก
อย่างน้อยที่สุด ผู้นำตระกูลหมิงก็ไม่มีทางควบคุมความคิดของหมิงฮ่วนและเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนเบาปัญญาได้ และไม่มีทางที่จะทราบได้ว่าหมิงฮ่วนยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่ไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลิงซีก็ไม่ถามให้ยืดยาวและเปลี่ยนประเด็นในทันที “เราจะทำอย่างไรกันต่อไป ?”
ในเมื่อมีทั้งฉินเฟิงและฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ นางและคนตระกูลเยี่ยก็เหมือนมีเสาหลักที่พึ่งพาได้ พวกนางไม่ต้องคิดหาทางจัดการกับสิ่งต่าง ๆ มากนักและเพียงต้องปฏิบัติตามแผนการของพวกเขาเท่านั้น
“นอกเหนือจากตระกูลเยี่ยและตระกูลหมิง ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังมีขุมกำลังใหญ่แห่งใดบ้างรึเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่มีแผนการเตรียมไว้ในใจแล้ว ทว่าเริ่มจากการเอ่ยถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของขุมกำลังต่าง ๆ ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงจึงอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของขุมกำลังและตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่ปิดบังสิ่งใด
ภายในเมืองเซิ่งหลิงแห่งนี้ นอกเหนือจากตระกูลเยี่ยก็ยังมีอีกสองตระกูลใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่าตระกูลเยี่ยเล็กน้อย นั่นคือตระกูลหูและตระกูลเซี่ย สำหรับตระกูลที่อยู่เบื้องหลังตระกูลไป๋ของไป๋เสี่ยวหลงก็คือตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองนั่นเอง
นอกเหนือจากตระกูลใหญ่ทั้งสาม ตระกูลอื่น ๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุมกำลังระดับสอง อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากคนเหล่านั้นก็ยังมีขุมกำลังลึกลับที่เก็บตัวจากโลกภายนอกซึ่งมีชื่อว่า ‘วิหารเมฆาโบยบิน’ ความแข็งแกร่งของวิหารเมฆาโบยบินเหนือชั้นกว่าสามตระกูลใหญ่พอสมควรทว่าพวกเขายังไม่อาจเทียบได้กับตระกูลหมิง พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในวิหารเมฆาโบยบินเพื่อสั่งสมประสบการณ์และบ่มเพาะพลังโดยที่ไม่ปรากฏตัวออกมามากนัก กล่าวได้ว่าขุมกำลังของพวกเขาเป็นขุมกำลังที่ลึกลับอย่างแท้จริง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะต่อสู้กับตระกูลหมิงได้ก็ต่อเมื่อผนึกกำลังรวมกับตระกูลหู ตระกูลเซี่ยและวิหารเมฆาโบยบินเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและคาดการณ์ไว้ว่าการโน้มน้าวใจตระกูลใหญ่อีกสองแห่งของเมืองเซิ่งหลิงคงไม่ยากจนเกินไป ทว่าวิหารเมฆาโบยบินที่ลึกลับแห่งนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อขุมกำลังดังกล่าวเก็บตัวอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินและไม่ปรากฏตัวออกมาในโลกภายนอก พวกเขาก็คงจะมิใช่ขุมกำลังที่ฝักใฝ่ในอำนาจและหลงระเริงไปกับความโลภ ตราบใดที่เตรียมการเพื่อเจรจาได้อย่างเหมาะสม นางก็มั่นใจว่ามีโอกาสสูงที่วิหารเมฆาโบยบินจะให้ความร่วมมือและผนึกกำลังร่วมกัน
“ถ้าเช่นนั้นเราแยกกันไปดำเนินการในแต่ละฝั่งเถอะ ข้าจะไปที่ตระกูลเซี่ยกับผู้นำไป๋ ศิษย์พี่จะไปที่ตระกูลหูเพื่อโน้มน้าวใจพวกเขา ส่วนท่านป้าหลิงซีและท่านลุงหมิงจะหาทางรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพาน หลังจากรวบรวมมันครบถ้วน ข้าจะหาคนหลอมโอสถนิพพานมาเอง หลังจากโน้มน้าวใจตระกูลหูและตระกูลเซี่ยสำเร็จ เราก็จะไปที่วิหารเมฆาโบยบินด้วยกัน ครานี้เราจะต้องผนึกกำลังขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดได้สำเร็จแน่ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวแผนการที่เตรียมไว้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ตกลง เราเข้าใจแล้ว !”
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงและกล่าวยืนยันความเข้าใจ
แผนการของฉินอวี้โม่ฟังดูเรียบง่าย ทว่าการทำให้สำเร็จก็มิใช่เรื่องง่ายเลย แม้แต่การโน้มน้าวใจผู้นำตระกูลหูและตระกูลเซี่ยในเมืองเซิ่งหลิงก็มิใช่ภารกิจที่ง่ายดาย อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นจริง ๆ พวกนางก็ไม่รังเกียจที่จะพึ่งพาอาศัยวิธีการที่พิเศษบางอย่าง…
หลังจากกล่าวแผนการและเตรียมความพร้อม ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลไป๋เพื่อหารือกับไป๋เสี่ยวหลง
ณ จวนตระกูลไป๋ เวลานี้ไป๋เสี่ยวหลงเพิ่งนำคณะสมาชิกตระกูลกลับมาจากตระกูลเยี่ยและฉินอวี้โม่ก็ตามมาถึงอย่างรวดเร็ว
“ผู้นำไป๋เจ้าคะ ขอบคุณท่านมากสำหรับการที่ช่วยเหลือตระกูลเยี่ยในครานี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณไป๋เสี่ยวหลงอย่างจริงใจ ไม่ว่าตระกูลไป๋จะช่วยได้มากหรือน้อย นางก็ซาบซึ้งในความช่วยเหลือของพวกเขาอย่างแท้จริง
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ไม่ต้องขอบคุณกันหรอก พวกข้าไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย”
ความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของฉินอวี้โม่ทำให้ไป๋เสี่ยวหลงรู้สึกเคารพนับถือนางมากขึ้น เดิมทีเขาเรียกนางด้วยชื่อเพียงอย่างเดียว ทว่าตอนนี้คำเรียกได้กลายเป็น ‘ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่’ แล้ว
“ผู้นำไป๋เรียกข้าว่าอวี้โม่เหมือนเดิมเถอะเจ้าค่ะ ไม่จำเป็นต้องสุภาพนักเลย ข้ามาพบผู้นำไป๋ในครานี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญหาและกล่าวออกไป การให้ความเคารพต่อผู้แข็งแกร่งเป็นหลักปฏิบัติของบุคคลเช่นไป๋เสี่ยวหลงอยู่แล้ว ในเมื่อได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของนาง การที่ไป๋เสี่ยวหลงจะมีท่าทีเคารพมากขึ้นเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
“มีเรื่องอะไรรึ ? อวี้โม่…ว่ามาเถอะ”
ไป๋เสี่ยวหลงถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก ทว่าคำพูดคำจาของเขาก็ยังติดขัดอยู่เล็กน้อยซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นธรรมชาติ
“ช่วยพาข้าไปที่ตระกูลเซี่ยด้วยเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับผู้นำตระกูลเซี่ย”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ในฐานะขุมกำลังบริวารของตระกูลเซี่ย เชื่อว่าไป๋เสี่ยวหลงจะพานางเข้าไปในจวนตระกูลเซี่ยได้ไม่ยาก
ตราบใดที่เข้าไปที่นั่นได้สำเร็จ ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะได้พบกับผู้นำตระกูลเซี่ยอย่างแน่นอน