เมื่อได้ทราบถึงแผนการของฉินอวี้โม่ ไป๋เสี่ยวหลงก็ไม่ลังเลมากนักและตอบตกลงพาฉินอวี้โม่ไปที่จวนตระกูลเซี่ยทันที
จวนตระกูลเซี่ยตั้งอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเซิ่งหลิงซึ่งเป็นอาณาเขตพื้นที่ที่มีสภาวะพลังอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเมือง
ในบรรดาสามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิง ตระกูลเซี่ยคือตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ไม่มีการป่าวประกาศหรืออวดอ้างอย่างเป็นทางการ ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดี
เซี่ยโป๋ยวี๋—ผู้นำตระกูลเซี่ยเป็นจอมยุทธ์ที่บรรลุขอบเขตเทพสวรรค์แล้วและเข้าใกล้ขอบเขตเทพสวรรค์หกดาราเต็มที ความแข็งแกร่งของเขาเหนือชั้นกว่าเยี่ยชางไห่เล็กน้อยและเป็นที่ยอมรับในฐานะจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของเมืองเซิ่งหลิง
ตระกูลไป๋เป็นหนึ่งในตระกูลที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลเซี่ยและเป็นตระกูลที่ตระกูลเซี่ยให้ความสำคัญมากที่สุด ด้วยการที่ไป๋เสี่ยวหลงเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากตระกูลเซี่ยเป็นอย่างมาก เพราะเหตุนั้น เมื่อได้ยินว่าเขาต้องการเข้าพบผู้นำตระกูลเซี่ย ทุกคนจึงไม่ปฏิเสธและเชิญเขาเข้ามาทันที
ภายในห้องโถงประชุม หลังจากเข้ามารอเพียงไม่นาน บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากข้างนอก
“ฮ่า ๆ ๆ สหายไป๋คงไม่ได้มาพบข้าในวันนี้เพราะธุระของตัวเองใช่รึไม่ ?”
เพียงก้าวเข้ามาในห้องโถง สายตาของเซี่ยโป๋ยวี๋ก็บรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนั่งอยู่ถัดจากไป๋เสี่ยวหลงและคาดเดาจุดประสงค์ของทั้งสองได้ทันที
ในฐานะตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิง แน่นอนว่าสถานการณ์ความวุ่นวายในตระกูลเยี่ยไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของผู้นำตระกูลเซี่ยไปได้ และเขาเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเซี่ยโป๋ยวี๋ไม่ต้องการให้ตระกูลเซี่ยของตนเข้าไปเกี่ยวข้องในความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและตระกูลหมิง
“คารวะผู้นำเซี่ยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและโค้งคำนับเพื่อทักทายเซี่ยโป๋ยวี๋อย่างนอบน้อม
“เจ้าคือศิษย์น้องของเยี่ยเฟิง...ฉินอวี้โม่สินะ”
เซี่ยโป๋ยวี๋เดินเข้าไปที่บัลลังก์หลักและนั่งลงก่อนมองฉินอวี้โม่อีกครั้งและเปิดเผยสถานะของนางออกมา
สามตระกูลใหญ่ล้วนสืบข่าวคราวของตระกูลอื่น ๆ อยู่เสมอและหากเซี่ยโป๋ยวี๋ไม่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่ มันก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อย
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและยอมรับโดยตรง
“หากเจ้าเพียงติดตามไป๋เสี่ยวหลงมาเยือนตระกูลเซี่ยของข้าในฐานะแขก ข้าก็จะให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทว่าหากเจ้าต้องการจะโน้มน้าวให้ข้าร่วมต่อสู้กับตระกูลหมิงไปกับพวกเจ้าละก็…เชิญเจ้ากลับไปเถอะ”
เซี่ยโป๋ยวี๋ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมแม้แต่น้อยและกล่าวออกไปอย่างชัดเจนเนื่องจากคาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
“ผู้นำเซี่ยอย่างเพิ่งรีบปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ ท่านรอฟังข้าก่อนจะดีกว่า จากนั้นไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน”
ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้นำตระกูลเซี่ยจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ นางจึงไม่รู้สึกแปลกใจหรือผิดหวังใด ๆ ทว่ายังคงมีท่าทีเรียบเฉยใจเย็นไม่เปลี่ยนแปลง
เซี่ยโป๋ยวี๋ตระหนักดีว่าหากฟังสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการกล่าว ตัวเขาอาจไม่หนักแน่นมากเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เขายังสงสัยใคร่รู้ว่าสตรีตรงหน้าต้องการกล่าวสิ่งใด เขาจึงไม่รีบร้อนไล่แขกกลับไป
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าโน้มน้าวใจข้าได้ การที่จะร่วมมือกับพวกเจ้าเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิงก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เขาหันไปสั่งให้คนยกน้ำชาออกมาให้กับแขกและรอฟังสิ่งนางต้องการกล่าว
“ผู้นำเซี่ยคงจะทราบอยู่แล้วใช่รึไม่เจ้าคะว่าในอดีตตระกูลมารดาของศิษย์พี่ของข้าถูกทำลายไปอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่จิบน้ำชาเล็กน้อยและเอ่ยถามลองเชิงออกไปก่อน
เพียงประโยคเดียวของนางก็ทำให้สีหน้าของผู้นำตระกูลเซี่ยผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที
“หึ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับตระกูลเซี่ยของข้ารึ ?”
เขาปรับสีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยถามกลับไป
“เรื่องในตอนนั้นอาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรเจ้าค่ะ แต่ในเมื่อตอนนี้ก็เกิดเรื่องกับตระกูลเยี่ยแล้ว ผู้นำเซี่ยยังคิดว่าไม่เกี่ยวข้องอยู่อีกรึไม่เจ้าคะ ?”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแวบหนึ่งของเซี่ยโป๋ยวี๋ ทว่านางก็ไม่ได้บ่งชี้ออกไปและเพียงเอ่ยถามต่อ
“ฉินอวี้โม่ ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลหมิง หากพวกเขาต้องการจะกำจัดตระกูลเล็กอย่างพวกเรา คนเหล่านั้นคงจะทำไปนานแล้วและไม่ต้องรอมาจนถึงทุกวันนี้หรอก ข้าทราบดีว่าเจ้าต้องการจะบอกว่าตระกูลหมิงคิดจะโค่นล้มอำนาจและยึดครองตระกูลเซี่ยของข้าในสักวัน ทว่าจากสิ่งที่ข้าเห็น ตระกูลหมิงไม่เห็นตระกูลของเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”
เซี่ยโป๋ยวี๋เข้าใจความหมายเบื้องหลังวาจาของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ทว่ายังไม่ยอมรับมัน เขาเพียงจิบชาด้วยใบหน้าเรียบเฉยและยากที่จะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“สาเหตุที่ยังไม่ลงมือก็เป็นเพราะตระกูลหมิงยังมีความหวาดกลัวอยู่ มิใช่เพราะพวกเขาไม่เห็นตระกูลเซี่ยของท่านอยู่ในสายตาหรอกเจ้าค่ะ หากแผนการก่อนหน้านี้ของพวกเขาสำเร็จผลและโค่นล้มอำนาจของตระกูลเยี่ยได้จริง เป้าหมายต่อไปก็ต้องเป็นตระกูลหูหรือตระกูลเซี่ยแน่ หากไม่เชื่อว่าตระกูลของท่านจะตกเป็นเป้าหมายต่อไป ท่านก็ลองสืบดูได้เลยว่ามีบุคคลระดับสูงคนใดในตระกูลเซี่ยที่แปรพักตร์และยอมจำนนต่อตระกูลหมิงหรือไม่”
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนอธิบายและยังคงจิบชาอย่างใจเย็น
“ฮ่า ๆ ๆ หากเราร่วมมือกับพวกเจ้าเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิง มันมิใช่เรื่องดีสำหรับเราแน่ ตระกูลหมิงยิ่งใหญ่และทรงพลังนัก ต่อให้พวกเราตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงผนึกกำลังร่วมกัน โอกาสชนะก็มีเพียงไม่มากหรอก”
เซี่ยโป๋ยวี๋หัวเราะเบา ๆ ทว่าทัศนคติของเขายังคงคลุมเครือและยากจะคาดเดา
“อย่างน้อยที่สุด ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าตระกูลของท่านจะถูกตระกูลหมิงทำลายไปเมื่อใด อีกอย่าง…หากไม่ลองดูสักตั้ง ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเราจะทำไม่สำเร็จ ? แทนที่จะอยู่เฉยและเฝ้ารอความตาย การลองสู้ตายดูสักคราก็ย่อมดีกว่าและมีโอกาสชนะมากกว่าการไม่ลงมือทำสิ่งใดเลย”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและมองตรงไปที่เซี่ยโป๋ยวี๋ด้วยแววตาแสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“ฮ่า ๆ ๆ ดี ! ดีมาก ! ช่างเป็นสตรีเยาว์วัยที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ !”
เซี่ยโป๋ยวี๋อดลุกขึ้นยืนด้วยความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่ไม่ได้และในเวลานี้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
อันที่จริง เขาก็สั่งสมความไม่พอใจมานานพอสมควรแล้ว แม้เป็นถึงตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงและเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ถูกตระกูลหมิงกดขี่ข่มเหงมาตลอด
ในอดีตครานั้น ทันทีที่เคลื่อนไหวออกมา ตระกูลหมิงก็ทำลายตระกูลแห่งหนึ่งไปจนราบคาบ และครานี้พวกเขาก็พยายามโจมตีตระกูลเยี่ยอย่างเปิดเผยอีก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เซี่ยโป๋ยวี๋รับรู้ได้ถึงวิกฤตที่กำลังใกล้เข้ามา
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยสืบข้อมูลอย่างลับ ๆ จนทราบว่ามีคนในตระกูลเยี่ยที่แปรพักตร์ไปจำนนต่อตระกูลหมิงแล้วจริง ๆ และคนเหล่านั้นคือผู้อาวุโสหลายคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด หากยังปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตระกูลเซี่ยของเขาคงต้องตกเป็นตระกูลบริวารของตระกูลหมิงในไม่ช้าและนั่นเป็นสิ่งที่เซี่ยโป๋ยวี๋ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
สาเหตุที่เขาเสแสร้งทำให้เป็นไม่สนใจข้อเสนอเมื่อครู่ก็เป็นเพราะเขาต้องการทดสอบฉินอวี้โม่ดูเท่านั้นและต้องการรอดูว่าตระกูลเยี่ยมีคุณสมบัติมากพอให้ตระกูลเซี่ยยอมเสี่ยงหรือไม่
ความมั่นใจหนักแน่นและความอาจหาญที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมาทำให้เซี่ยโป๋ยวี๋ชื่นชมอย่างที่สุด ต่อให้สุดท้ายต้องเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ เขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจที่จะทุ่มเทอย่างสุดฝีมือ แม้ต้องพ่ายแพ้ เขาก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตระกูลเซี่ยเผชิญกับความสูญเสียน้อยที่สุด
“ฉินอวี้โม่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกับเจ้า จงจำไว้ว่าตระกูลเซี่ยของข้ายอมผนึกกำลังร่วมกับตระกูลเยี่ยก็เพราะเจ้าเท่านั้น มิใช่เพราะตระกูลเยี่ย ไม่ว่าในภายภาคหน้าเราจะหารือถึงแผนการใด ๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนของตระกูลเยี่ย เพราะข้าจะไม่ไว้หน้าใครคนอื่นจากตระกูลเยี่ยอย่างแน่นอน !”
เซี่ยโป๋ยวี๋เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่าแสดงทัศนคติของตนในเวลาเดียวกัน
“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ เยี่ยเฟิงคือศิษย์พี่ของข้าและข้าก็ถือเป็นสมาชิกตระกูลเยี่ยเช่นกัน ข้าเป็นหนึ่งในผู้นำที่จัดการดูแลเรื่องนี้และข้าจะหารือกับท่านในอนาคต ผู้นำเซี่ยวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าส่งคนไปที่ตระกูลหมิงเพื่อถ่วงเวลาไว้แล้ว เราจะมีเวลาอย่างน้อยสองปีเพื่อเตรียมตัว ตราบใดที่เราผนึกกำลังร่วมกับขุมกำลังทั้งหมดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าเชื่อว่าเราจะมีพลังอำนาจมากพอที่จะต่อกรกับอีกฝ่าย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
“หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เยี่ยเฟิงคงจะเดินทางไปที่ตระกูลหูกับใครบางคน ผู้นำตระกูลหูและข้าได้หารือกันก่อนหน้านี้แล้ว ตราบใดที่ข้าส่งข่าวไป พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเราอย่างแน่นอน อีกอย่าง…หลังจากนี้เจ้าวางแผนจะไปที่วิหารเมฆาโบยบินใช่รึไม่ ?”
เซี่ยโป๋ยวี๋กล่าวก่อนเอ่ยถามอีกครั้งและนั่นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลเซี่ยและตระกูลหูจะหารือกันถึงเรื่องนี้และมีความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว
.
.