อันที่จริง ตระกูลหูได้ตัดสินใจก่อนหน้าตระกูลเซี่ยเสียอีก
เมื่อครึ่งเดือนก่อน ผู้นำตระกูลหูได้เดินทางมาหารือกับเซี่ยโป๋ยวี๋แล้ว ซึ่งในตอนนั้นผู้นำตระกูลหูค้นพบว่ามีคนในตระกูลบางส่วนที่ยอมจำนนต่อตระกูลหมิง
เดิมทีเขาวางแผนที่จะกำจัดคนเหล่านั้นไปโดยตรง ทว่าเซี่ยโป๋ยวี๋ก็โน้มน้าวใจเขาไว้และบอกให้เพิกเฉยไปก่อนชั่วคราว
สาเหตุที่เซี่ยโป๋ยวี๋แนะนำเช่นนั้นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าตระกูลหมิงจะต้องไหวตัวขึ้นมาทันทีหากพวกเขากำจัดคนเหล่านั้นไปและมันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเปล่า ๆ
ครานั้นทั้งสองหารือกันเป็นเวลานาน เดิมทีพวกเขาวางแผนจะไปที่ตระกูลเยี่ยเพื่อผนึกกำลังร่วมกันและต่อสู้กับตระกูลหมิง ทว่าเนื่องจากสถานการณ์ของเยี่ยชางไห่ยังไม่ชัดเจนนัก พวกเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามและเลือกที่จะรอดูสถานการณ์เป็นการชั่วคราว
เมื่อตระกูลเยี่ยตกอยู่ในอันตรายก่อนหน้านี้ ทั้งตระกูลเซี่ยและตระกูลหูต่างกันทราบเรื่องโดยเร็ว การที่ไป๋เสี่ยวหลงนำกำลังคนของตระกูลไป๋เข้าไปช่วยเหลือก็เป็นสิ่งที่ผ่านการเห็นชอบจากเซี่ยโป๋ยวี๋แล้ว
ทั้งสองตระกูลตัดสินใจแล้วว่าหากตระกูลเยี่ยเอาตัวรอดจากวิกฤตครานี้ได้สำเร็จ พวกเขาจะผนึกกำลังร่วมมือกันเพื่อรับมือกับตระกูลหมิง
ยิ่งไปกว่านั้น การปรากฏตัวของจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ทรงพลังจนน่าทึ่งเช่นฉินอวี้โม่ก็ทำให้การตัดสินใจของผู้นำตระกูลเซี่ยและตระกูลหูแน่วแน่มากยิ่งขึ้น
ฉินอวี้โม่มิใช่คนเขลาเบาปัญญาและคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร นางจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ และไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
“เอาล่ะ ข้าจะบอกให้ผู้นำหูไปที่วิหารเมฆาโบยบินกับเจ้า ไม่ว่าวิหารเมฆาโบยบินจะมีทัศนคติอย่างไร เราก็ต้องแสดงความจริงใจให้พวกเขาได้เห็นเสียก่อน”
เซี่ยโป๋ยวี๋จัดแจงให้ฉินอวี้โม่พักอยู่ในจวนตระกูลเซี่ยก่อนส่งข่าวไปหาหูอี้—ผู้นำตระกูลหูเพื่อให้เขาเดินทางมาที่นี่โดยเร็วที่สุด
หลังจากรอเวลาสองก้านธูป หูอี้และฉินเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นมาในห้องโถงของตระกูลเซี่ย
“ฮ่า ๆ ๆ การที่สหายเซี่ยเรียกข้ามาที่นี่อย่างรีบร้อนเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเจรจาตกลงกับสหายน้อยอวี้โม่จนเสร็จสิ้นแล้วสินะ”
หูอี้ดูเป็นบุรุษวัยกลางคนที่จริงใจและกระตือรือร้นอย่างมาก ทันทีที่ปรากฏตัวในห้องโถง สายตาของเขาก็บรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และแสดงถึงความสงสัยใคร่รู้อย่างไม่ปิดบัง
“คารวะผู้นำหูเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายหูอี้อย่างนอบน้อมก่อนที่ทุกคนจะนั่งลงเพื่อหารือกัน
ความแข็งแกร่งของหูอี้ด้อยกว่าเซี่ยโป๋ยวี๋เพียงเล็กน้อย ทว่าเขาก็อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ห้าดาราเช่นกันซึ่งจัดเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดีอันดับต้น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับคนตระกูลหมิงที่ทรงพลัง เกรงว่าความแข็งแกร่งในระดับของพวกเขาทั้งสองก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับสมาชิกห้าอันดับแรกของตระกูลหมิงด้วยซ้ำ
“สหายหู ความแข็งแกร่งโดยรวมของเราทั้งสามตระกูลยังไม่มากพอที่จะรับมือกับตระกูลหมิงได้ เพราะฉะนั้นข้าจึงหารือกับสหายน้อยอวี้โม่และตัดสินใจว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปที่วิหารเมฆาโบยบิน หากคนของวิหารเมฆาโบยบินร่วมมือกับเรา เราจะมั่นใจได้มากขึ้น”
หลังจากอธิบายแผนการที่ได้เตรียมไว้ หูอี้ก็แสดงทัศนคติที่เห็นด้วยอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ หากไม่มีสิ่งอื่นใดอีก เราก็รีบไปกันเถอะ”
เขายืนขึ้นและต้องการจะเดินทางไปที่วิหารเมฆาโบยบินในทันที
“อย่ารีบร้อนไป เราต้องจัดการเรื่องตระกูลของเราให้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงอย่างไรตระกูลของเราทั้งสองก็มีคนที่แปรพักตร์ไปสนับสนุนตระกูลหมิงแฝงตัวอยู่ด้วย หากทราบว่าเราจะเดินทางไปที่วิหารเมฆาโบยบิน บางทีตระกูลหมิงอาจจะเข้ามาขัดขวางเป็นการล่วงหน้าได้”
เซี่ยโป๋ยวี๋โบกมือและกล่าวเพื่อมิให้หูอี้รีบร้อนจนเกินไป
แม้ตอนนี้จะไม่เกิดความวุ่นวายใดกับตระกูลเยี่ยอีก ทว่าตระกูลใหญ่ของพวกเขาทั้งสองนั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซี่ยหรือตระกูลหู ทั้งสองตระกูลมีคนที่ทรยศต่อตระกูลและแปรพักตร์ไปหาตระกูลหมิงปะปนอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนตระกูลหมิงจะทราบเรื่องอย่างแน่นอน
ก่อนที่จะมั่นใจได้อย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาไม่ต้องการให้ตระกูลหมิงรับรู้ถึงแผนการล่วงหน้าซึ่งอาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปที่ตระกูลก่อนและบอกว่าจะเก็บตัวบ่มเพาะพลังสักระยะ วางใจได้เลย ตอนที่เยี่ยเฟิงมาพบกับข้าก่อนหน้านี้ ข้าจงใจแสดงละครแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน เพราะเหตุนั้นคนที่ตระกูลจะไม่สงสัยสิ่งใดอย่างแน่นอน”
หูอี้กล่าวพร้อมยืนขึ้นอีกครั้ง แม้จะเป็นคนตรงไปตรงมา เขาก็มิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา ก่อนหน้านี้พวกเขามีแผนการเตรียมไว้แล้ว เพราะเหตุนั้น เมื่อฉินเฟิงไปเยือนที่จวนตระกูลหู เขาจึงจงใจแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างที่สุดและสมาชิกจำนวนมากของตระกูลหูก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
ถึงอย่างไรหูอี้ก็มักเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่เป็นประจำโดยปล่อยให้กิจการต่าง ๆ ภายในตระกูลเป็นหน้าที่ของบรรดาผู้อาวุโส การกล่าวอ้างว่าต้องการเก็บตัวฝึกวิชาสักระยะจะไม่ทำให้ผู้ใดนึกสงสัยอย่างแน่นอน
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นอีกหนึ่งวันเราจะพบกันที่ป่านอกเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสิบลี้”
เซี่ยโป๋ยวี๋พยักศีรษะและกล่าวอีกครั้ง
ทุกคนไม่คัดค้านแต่อย่างใด ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเองก็กลับไปที่จวนตระกูลเยี่ยเพื่อเตรียมความพร้อมเช่นกัน
เมื่อทราบว่าทั้งสองจะเดินทางไปที่วิหารเมฆาโบยบิน เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยรับปากว่าจะดูแลความเรียบร้อยในตระกูลเป็นอย่างดี รวมถึงให้คำมั่นว่าจะรวบรวมวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถนิพพานให้ได้ก่อนที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงจะกลับมา
หากทำให้เยี่ยชางไห่ฟื้นขึ้นมาได้สำเร็จ ตระกูลเยี่ยก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น ขวัญและกำลังใจของคนในตระกูลก็จะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากที่ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็เดินทางออกจากจวนตระกูลเยี่ยตั้งแต่เช้าตรู่หลังจากกลืนกินโอสถแปลงกายเข้าไป
ภายในป่าทึบห่างจากเมืองเซิ่งหลิงประมาณสิบลี้ เวลานี้เซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ผู้ซึ่งปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองก็ได้มาถึงก่อนแล้ว
ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนบุรุษหนุ่มอายุยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีเท่านั้นและระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ถูกยับยั้งไว้โดยที่เหลือเพียงขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารา ต่อให้เป็นคนที่รู้จักกันมาก่อน หากได้พบหน้าพวกเขาในตอนนี้ก็ยากที่จะเชื่อมโยงบุรุษหนุ่มทั้งสองกับผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลได้
เมื่อฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมาถึง คณะคนทั้งสี่ก็ยืนยันตัวตนของกันและกันก่อนเหาะตรงไปยังทิศทางของวิหารเมฆาโบยบินอย่างรวดเร็ว
วิหารเมฆาโบยบินถือเป็นขุมกำลังที่ลึกลับอย่างยิ่งในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเรียกได้ว่าลึกลับซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าตระกูลหมิงเสียอีก
แม้ว่าความแข็งแกร่งของวิหารเมฆาโบยบินจะไม่มากเท่ากับตระกูลหมิงและมีจำนวนสมาชิกเพียงหนึ่งในสิบส่วนของตระกูลหมิง ทว่าพวกเขาก็เป็นขุมกำลังที่ตระกูลหมิงยำเกรงมากที่สุด
ในอดีต ตระกูลหมิงเคยมีเรื่องบาดหมางกับวิหารเมฆาโบยบินมาก่อน ท่ามกลางความเดือดดาลนั้น ผู้นำตระกูลหมิงก็ส่งจอมยุทธ์ทรงพลังหลายคนออกไปจู่โจมวิหารเมฆาโบยบินเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลหมิงที่ทรงพลังจะเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักในการประจันหน้ากับคนของวิหารเมฆาโบยบินในครานั้น
ไม่เพียงแต่โค่นล้มอำนาจของวิหารเมฆาโบยบินไม่สำเร็จเท่านั้น ทว่าผู้อาวุโสสองคนของตระกูลหมิงก็ล้มตายไปและเหตุการณ์ในตอนนั้นก็ทำให้วิหารเมฆาโบยบินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่นั้นมา ตระกูลหมิงก็มองวิหารเมฆาโบยบินเป็นขุมกำลังที่ต้องระแวดระวังอย่างจริงจังและไม่กล้าดูถูกดูแคลนพวกเขาอีกเลย
และสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่กล้าโค่นล้มอำนาจของสามตระกูลใหญ่ในเมืองเซิ่งหลิงอย่างเปิดเผยก็มีส่วนมาจากการที่ยังยำเกรงต่อวิหารเมฆาโบยบิน
“วิหารเมฆาโบยบินตั้งอยู่ในมิติพิเศษซึ่งทางเข้าของมันอยู่บนอากาศเหนือมหาสมุทรของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราต้องไปที่น่านน้ำนั่นก่อนและข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนจะเข้าไปที่นั่นได้ ก่อนหน้านี้ข้าส่งสาส์นไปแจ้งวิหารเมฆาโบยบินไว้แล้วและคาดว่าเราจะเข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาติดขัด”
พิกัดที่ตั้งของวิหารเมฆาโบยบินมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและโดดเด่นอย่างมาก อาณาเขตของพวกเขาอยู่ในมิติพิเศษและต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายในการเดินทางเข้าไปเช่นเดียวกับตระกูลหมิง แน่นอนว่าหากมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมากพอ จอมยุทธ์ก็สามารถบุกข้ามไปที่นั่นได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ครานี้ฉินอวี้โม่และคณะต้องการไปที่วิหารเมฆาโบยบินเพื่อเจรจาขอความร่วมมือ มิใช่เป็นการประกาศศึกหรือสร้างศัตรูเพิ่มเติม เพราะเหตุนั้นจึงมีการส่งจดหมายไปแจ้งข่าวเป็นการล่วงหน้า
“หากคนของวิหารเมฆาโบยบินไม่อนุญาตให้เราเข้าไปล่ะ ?”
แม้คาดการณ์ไว้ว่าวิหารเมฆาโบยบินจะไม่ปฏิเสธการมาเยือนของพวกเขา แต่การเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าเตรียมบางอย่างไว้แล้ว หากพวกเขาไม่ยอมให้เราเข้าไป ข้ายังมีทางเลือกอื่น”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนหน้านี้นางได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับวิหารเมฆาโบยบินมาแล้ว จ้าววิหารเมฆาโบยบินเป็นคนที่ชาญฉลาดอย่างมากและน่าจะคาดเดาจุดประสงค์ของพวกนางได้ และครานี้ฉินอวี้โม่ก็มีความรู้สึกอยู่อย่างเลือนรางว่านางจำเป็นต้องใช้วิธีการที่พิเศษบางอย่างเพื่อเปิดทางเข้าไปในวิหารเมฆาโบยบิน
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เมื่อทั้งสี่มาถึงข้างหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำไปสู่วิหารเมฆาโบยบิน ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ถูกหยุดไว้