ณ ทางเข้าของค่ายกลเคลื่อนย้าย ในเวลานี้มีผู้พิทักษ์สองคนของวิหารเมฆาโบยบินที่ทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ข้างหน้าค่ายกลเคลื่อนย้าย ความแข็งแกร่งของทั้งสองก็อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์หกดาราซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความทรงพลังของวิหารเมฆาโบยบินได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นคณะคนทั้งสี่ใกล้เข้ามา พวกเขาก็หยุดอีกฝ่ายไว้ทันที
“ท่านทั้งหลาย โปรดกลับไปเสียเถอะ ท่านจ้าววิหารสั่งการไว้แล้วว่าหากมีใครมาที่นี่ก็ให้เชิญกลับไปได้เลย เขาไม่ต้องการต้อนรับแขกใด ๆ”
เนื่องจากคาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่และคนทั้งสามไว้แล้ว ผู้พิทักษ์ทั้งสองจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าหนักแน่นและชัดเจนเช่นกัน
“ท่านทั้งสองไปแจ้งกับจ้าววิหารของพวกท่านก่อนเถอะว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของทั้งดินแดน บางทีท่านจ้าววิหารอาจจะเปลี่ยนใจและตกลงพบพวกเราก็เป็นได้”
สำหรับวิหารเมฆาโบยบิน สามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงมิใช่ขุมกำลังที่ต้องคำนึงถึงแม้แต่น้อย เมื่อถูกขัดขวางไว้โดยผู้พิทักษ์เฝ้าประตูสองคน ทั้งเซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา เพียงแต่พวกเขาไม่แสดงออกไปและกล่าวอย่างสุภาพเท่านั้น
“ไม่จำเป็น ท่านจ้าววิหารทราบดีว่าพวกท่านมาที่นี่เพราะเหตุใด ท่านจ้าววิหารกล่าวไว้แล้วว่าหากพวกท่านต้องการจะจัดการกับตระกูลหมิงก็เชิญได้ตามสบาย ทว่าวิหารเมฆาโบยบินของเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”
หนึ่งในนั้นโบกมือปัดและทราบถึงจุดประสงค์ของฉินอวี้โม่และคณะเป็นอย่างดี
“หากตระกูลหมิงทำลายพวกเราตระกูลใหญ่ไปได้ เป้าหมายต่อไปก็ต้องเป็นวิหารเมฆาโบยบินของพวกท่าน จ้าววิหารของพวกท่านไม่เป็นห่วงอนาคตของวิหารเมฆาโบยบินรึ ? จะยอมปล่อยให้ขุมกำลังของตนถูกทำลายไปโดยที่ไม่ต่อสู้เสียก่อนรึ ?”
หูอี้เริ่มหมดความอดทนเล็กน้อยและกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนของวิหารเมฆาโบยบินกำลังคิดสิ่งใดอยู่…
“ท่านจ้าววิหารย่อมมีแผนการของตนเองอยู่ สิ่งเดียวที่เราทราบก็คือคำสั่งจากท่านจ้าววิหารที่ไม่อนุญาตให้พวกท่านผ่านเข้าไป ไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวใจให้เสียเวลา”
ทัศนคติของทั้งสองหนักแน่นอย่างมากและขวางหน้าคนทั้งสี่ไว้เพื่อมิให้ผ่านเข้าไปถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายได้สำเร็จ
“ถ้าเช่นนั้นเราก็กลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหูอี้กำลังจะตอบโต้ ฉินอวี้โม่ก็รีบกล่าวแทรกขึ้นทันทีก่อนหันหลังเพื่อเดินจากไป
“หากทราบมาก่อนว่าจ้าววิหารเมฆาโบยบินไม่อยากพบกับพวกเรา ข้าก็คงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่นี่พร้อมกับผลึกแสงตะวันก้อนนี้”
ในขณะที่เดินจากไปนั้น ผลึกส่องแสงก้อนหนึ่งก็ปรากฏในมือของฉินอวี้โม่และนางโยนมันขึ้นกลางอากาศหลายคราเพื่อให้ผู้พิทักษ์ทั้งสองมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ท่านจอมยุทธ์ ช้าก่อน !”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผลึกแสงตะวัน’ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที แน่นอนว่าพวกเขาทราบเกี่ยวกับผลึกหายากดังกล่าว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จ้าววิหารเมฆาโบยบินพยายามตามหาของสิ่งนั้นมาโดยตลอดและนี่เป็นเรื่องที่คนนอกก็สามารถทราบได้ไม่ยาก
ทักษะยุทธ์ที่จ้าววิหารเมฆาโบยบินฝึกฝนอยู่ถือว่ามีความพิเศษพอสมควรซึ่งจำเป็นต้องใช้ผลึกแสงตะวันในการทะลวงพลังข้ามผ่านภาวะคอขวดและจะพัฒนาความแข็งแกร่งได้อีกครั้ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนของวิหารเมฆาโบยบินก็พยายามตามหาสิ่งนี้ทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับผลึกดังกล่าวแม้แต่น้อย เมื่อได้เห็นผลึกแสงตะวันในมือของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่ผู้พิทักษ์ทั้งสองจะไม่อาจทำใจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
“สิ่งนั้นในมือของท่านคือผลึกแสงตะวันจริง ๆ หรือ ?”
หนึ่งในนั้นเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และสายตาบรรจบที่ผลึกขนาดเท่ากำปั้นในมือของนาง
ผลึกแสงตะวันจะปรากฏได้เฉพาะในพื้นที่ที่มีพลังธาตุทองที่หนาแน่นเท่านั้น และเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ มันจะส่องประกายสีสันจนดูเจิดจ้าและงดงาม
และผลึกในมือของฉินอวี้โม่ก็มีคุณสมบัติที่ตรงตามคำบรรยายของผลึกแสงตะวันที่ถูกบันทึกไว้ในตำราทุกประการ
ผลึกสีเหลืองทองที่จะส่องประกายแสงหลากสีสันเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบลงมาซึ่งกลายเป็นภาพที่ดูงดงามสะดุดตาอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุทองที่แผ่ออกมาอย่างหนาแน่นซึ่งเชื่อได้ว่ามันน่าจะเป็นผลึกแสงตะวันที่จ้าววิหารเมฆาโบยบินพยายามตามหาอย่างแน่นอน
“ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ หัวใจของท่านย่อมทราบดี”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากพลางกล่าวออกไป นางคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าคนของวิหารเมฆาโบยบินอาจลังเลใจและไม่ยินยอมให้พวกนางเข้าไป หากไม่ได้พบหน้าจ้าววิหารเมฆาโบยบิน แล้วพวกนางจะโน้มน้าวใจเขาได้อย่างไร ?
หลังจากสืบข้อมูลเกี่ยวกับจ้าววิหารเมฆาโบยบิน นางก็ได้ทราบว่าเขาพยายามตามหาผลึกแสงตะวันมาเนิ่นนาน ซึ่งประจวบเหมาะกับที่นางค้นพบผลึกแสงตะวันก้อนหนึ่งโดยบังเอิญจึงเกิดความคิดที่จะนำมันออกมาใช้ในครานี้
แม้ยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่ยอมพบกับพวกนาง ทว่าในเมื่อมีผลึกแสงตะวันนี้ ฉินอวี้โม่ไม่เชื่อว่าจ้าววิหารเมฆาโบยบินจะไม่นึกเปลี่ยนใจขึ้นมา
“โปรดรอประเดี๋ยว ท่านจอมยุทธ์ ข้าจะเข้าไปแจ้งท่านจ้าววิหารสักครู่”
ในฐานะผู้พิทักษ์และผู้คุมกฎของวิหารเมฆาโบยบิน กล่าวได้ว่าคนทั้งสองชาญฉลาดและมีไหวพริบยิ่งนัก พวกเขาเพียงสบตากันครู่หนึ่งก่อนหนึ่งในนั้นจะกล่าวกับฉินอวี้โม่ในขณะที่อีกคนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อเข้าไปด้านในวิหารอย่างรวดเร็ว
หลังจากรอเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป คนผู้นั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
“ท่านจ้าววิหารบอกให้ท่านเข้าไปข้างในได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ จะต้องรออยู่ข้างนอกนี่ หากไม่ตกลง ทุกท่านก็เชิญกลับไปพร้อมกับผลึกแสงตะวันได้เลย”
จ้าววิหารของพวกเขามีความสนใจในผลึกแสงตะวันมากก็จริง เพียงแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมก้มหัวให้กับผู้ใดเพื่อให้ได้ผลึกแสงตะวันมาครอง
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าไปเพียงคนเดียว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
“ศิษย์พี่ ท่านผู้นำทั้งสอง ทุกท่านกลับไปก่อนเถอะและรอฟังข่าวจากข้านะเจ้าคะ ไม่ต้องกังวล…ข้าจะทำให้วิหารเมฆาโบยบินร่วมมือกับเราให้จงได้ !”
นางกล่าวกับฉินเฟิงและผู้นำตระกูลทั้งสองด้วยความมั่นใจก่อนก้าวตรงเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะกลับกันก่อน”
ฉินเฟิงพยักศีรษะตอบตกลงเบา ๆ เขาตระหนักถึงความสามารถของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดีและไม่กังวลสิ่งใดมากนัก ในเมื่อนางกล่าวว่าจะโน้มน้าวใจจ้าววิหารเมฆาโบยบินให้ได้ เขาและคนอื่น ๆ ก็เพียงต้องรอเวลาด้วยจิตใจที่สงบสุขเท่านั้น
“เหอะ หากพวกเจ้าวิหารเมฆาโบยบินกล้าทำร้ายเสี่ยวอวี้โม่ละก็ ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ข้าก็จะมาทวงคืนความเป็นธรรมจากพวกเจ้าแน่ !”
เซี่ยโป๋ยวี๋แค่นเสียงเบา ๆ และกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังเดินจากไปในทิศทางที่พวกเขาเข้ามา
“ท่านจอมยุทธ์ เชิญได้เลย”
ผู้พิทักษ์ที่มีนามว่าเฟยปู้กล่าวพร้อมผายมือเชื้อเชิญและนำทางฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย
ผู้พิทักษ์อีกคนหนึ่งก็ยังคนทำหน้าที่คุ้มกันหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นเดิมและจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดบุกรุกเข้าไปได้
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบชั่วขณะก่อนที่ฉินอวี้โม่จะปรากฏตัวขึ้นมาหน้าประตูเมืองที่ดูงดงามและโดดเด่นสะดุดตาแห่งหนึ่ง
แม้ถูกเรียกว่า ‘วิหารเมฆาโบยบิน’ ทว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเมืองอิสระแห่งหนึ่งที่สมบูรณ์แบบ
ตัวเมืองกว้างใหญ่อย่างมากและมีอาณาเขตพื้นที่ที่เล็กกว่าเมืองเซิ่งหลิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และหน้าประตูมีอักษรระบุคำว่า ‘วิหารเมฆาโบยบิน’ อย่างชัดเจน
หน้าประตูเมืองไม่มีผู้ใดคุ้มกัน เห็นได้ชัดว่าวิหารเมฆาโบยบินไม่กังวลว่าจะมีผู้ใดบุกรุกเข้ามาที่นี่ได้
เมื่อก้าวเข้ามาในตัวเมือง สภาวะพลังอุดมสมบูรณ์ก็หลั่งไหลเข้ามาในร่างของฉินอวี้โม่ทันที มิติพิเศษแห่งนี้มีสภาวะพลังที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัว
และทันทีที่เข้ามาในเมือง นางก็ได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาซึ่งกำลังใช้ชีวิตและสัญจรไปมาตามปกติโดยที่ไม่ต่างจากผู้คนในโลกภายนอกแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินตามเฟยปู้เข้าไปด้านใน คนเหล่านั้นก็เพียงมองตรงไปที่นางด้วยความสงสัยใคร่รู้และไม่มีท่าทีปฏิปักษ์แต่อย่างใด
ฉินอวี้โมจึงยิ้มให้กับคนเหล่านั้นส่งผลให้สีหน้าของบุรุษหนุ่มบางคนแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
ผู้คนในวิหารเมฆาโบยบินมีชีวิตที่เรียบง่ายกว่าผู้คนในโลกภายนอกมากนัก พวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ตลอดเวลาและแทบจะไม่มีความหวือหวาในชีวิตมากนัก โดยปกติก็จะมีคนจากโลกภายนอกเข้ามาที่นี่เพียงน้อยนิดเท่านั้น การที่ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่เดินตามเฟยปู้เช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาหลายคนรู้สึกประหลาดใจเป็นธรรมดา
“ท่านจ้าววิหารรออยู่ที่เรือนของเขาแล้ว โปรดตามข้ามาและอย่าเดินเพ่นพ่านไปที่ใด”
เฟยปู้กล่าวกำชับฉินอวี้โม่ขณะนำทางตรงไปยังเรือนหลังใหญ่ที่สุดในเมือง
ที่แห่งนั้นเปรียบได้กับจวนเจ้าเมืองของโลกภายนอกและเป็นสถานที่อยู่อาศัยของจ้าววิหารเมฆาโบยบินเช่นกัน