ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 925 ความสัมพันธ์ที่เฟิงอวิ๋นเซิงได้สร้างไว้

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอทอดสายตามองดู บัวแดงดอกนั้นยึดครองอาณาเขตเกือบครึ่งหนึ่งของมิติที่อยู่ห่างไป สามารถเห็นถึงความใหญ่โตของมัน

ฟู่ถิงเคยบอกเขาไว้ว่า นั่นความจริงเป็นเรือนภาร่อนวายุของยอดเขาอัศจรรย์

จักรพรรดิแพรได้หลอมดอกบัวแดงไร้พ่ายเป็นจำนวนมากไปจนถึงด้านในของเรือนภาร่อนวายุ ดังนั้นจึงมีสภาพเช่นปัจจุบันนี้

สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ ภัยพิบัติบัวแดงที่ฟู่ถิงถือครองอยู่ก็มีต้นกำเนิดเป็นดอกบัวแดงไร้พ่ายนั้นเช่นกัน

เรือนภาร่อนวายุนับว่าเป็นหนึ่งในไพ่ตายของยอดเขาอัศจรรย์

ลักษณะในตอนนี้เป็นเรือนภาไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงลอยคว้างอยู่ในมิติจักรวาล แผ่พุ่งปราณธาตุออกมาด้านนอก กลายเป็นรูปร่างของบัวแดง ส่วนเรือเทพซ่อนอยู่ด้านใน

โดยรอบมีไอเมฆสีอ่อนหลายสายลอยเวียนวน บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าบนเรือมียอดฝีมือของยอดเขาอัศจรรย์ที่บรรลุร่างกำเนิดไร้ประมาณคอยคุมอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บยันต์หยกที่เหมือนเปลวเพลิงเหมือนบัวแดงชิ้นนั้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาบัวแดงขนาดยักษ์

ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่สองจักรพรรดินัดสู้กันแล้ว

บริเวณที่อยู่ใกล้ๆ มีจอมยุทธ์จากโลกซ้อนโลกที่มาดูเรื่องสนุกรวมตัวกันอยู่มากมาย

ดูจากลักษณะแล้ว จักรพรรดิแพรกับทวนพระอังคารไม่คิดจะจัดการพื้นที่ขับไล่ผู้คน

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งเคลื่อนไหว ทางหนึ่งคอยสำรวจ ตราบใดที่ไม่ลงมือออกกระบวนท่า คนส่วนใหญ่เขาล้วนไม่ทราบถึงความเป็นมา

กระนั้นในตอนนี้เอง เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้ว่า มีคนกำลังจ้องมองตนอยู่

เขามองตามสายตาของอีกฝ่ายไป กลับเห็นดรุณีอาภรณ์เหลืองคนหนึ่ง กำลังลืมตาโตพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

ครั้นเห็นว่าเยี่ยนจ้าวเกอมองมา ดรุณีน้อยก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ย้ายสายตาของตัวเอง ยังคงสบตากับเขาต่อไป

ด้านข้างดรุณีน้อยอาภรณ์เหลืองผู้นั้นยืนไว้ด้วยคนหลายคน ดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสในสำนักของนาง

คนเหล่านี้ล้วนคึกคักฮึกเหิม ปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมาทั่วทั้งร่าง คล้ายไม่ใช่คนธรรมดา

โดยเฉพาะบุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นำแม้จะดูธรรมดา กลับทำให้ผู้คนยากจะมองข้าม

ทันทีที่เห็นเขา เยี่ยนจ้าวเกอก็แทบจะแน่ใจว่า เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าประมุขพรรคเขาหยกหลิวเซี่ยงถง ที่ตนเพิ่งได้พบมาเมื่อครู่นี้

อีกทั้งไม่ได้แข็งแกร่งกว่าแค่หนึ่งขั้นหรือครึ่งขั้น!

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มให้กับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นเชิงขอโทษ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแลมองดรุณีน้อยอาภรณ์เหลืองที่อยู่ด้านข้าง “อวี่ลั่ว ห้ามเสียมารยาท”

ดรุณีน้อยอาภรณ์เหลืองหดคอ แต่ก็ยังคงไม่ละสายตา ห่อปากกล่าว “สมควรเป็นท่านผู้นั้นจากเขากว่างเฉิง”

บุรุษวัยกลางคนตำหนิ “แม้จะเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ไม่อาจจ้องมองเขาอย่างเสียมารยาทได้”

“อ้อ…” ดรุณีน้อยในชุดสีเหลือห่อปาก จากนั้นก็กล่าวอีกว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ ข้าอยากจะฟังเรื่องพี่เฟิงจากเขา”

บุรุษวัยกลางคนกล่าวอย่างอับจน “ไหนเลยจะรบกวนถามเรื่องราวผู้อื่นได้ถึงเพียงนั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจสั่นไหว เดินเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านมีเรื่องใดหรือ อภัยที่ข้ามีตาหามีแวว ก่อนหน้านี้พวกเราเหมือนไม่เคยเจอกัน”

“เป็นคุณชายเยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าชายพระอาทิตย์แห่งเขากว่างเฉิงบนทะเลหวงเจียในเขตตะวันอาคเนย์หรือ” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นปั้นสีหน้าจริงจัง ประสานมือคารวะเยี่ยนจ้าวเกอ “พวกข้ามาจากอารามคงมายา บนเขาหอเมฆาในเขตราตรีอุดร”

เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตา

อารามคงมายา ภูเขาหอเมฆา เขตราตรีอุดร

เขารู้จักชื่อนี้

เป็นสำนักของประมุขอุดรในตอนนี้นั่นเอง

“ข้าคือเยี่ยนจ้าวเกอมิผิด ขอความกรุณาทุกท่านด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคารวะกลับ จากนั้นสายตาก็ตกลงบนร่างของดรุณีชุดสีเหลืองผู้นั้น “ไม่ทราบมีอันใดชี้แนะข้าหรือ”

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นหัวเราะหนักใจคำหนึ่ง แนะนำตัวเองก่อน “ข้าแซ่เฉิง เฉิงโม่ คนเหล่านี้เป็นสหายในสำนักของข้า”

เขามองดรุณีน้อยอาภรณ์เหลืองนางนั้น “นี่เป็นศิษย์หลานของข้า กวนอวี่ลั่ว”

เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นแต่แรกแล้ว ว่าจอมยุทธ์อารามคงมายาที่อยู่รอบๆ ล้วนมีพลังฝึกปรือไม่อ่อนแอ

เฉิงโม่ที่นำหน้าผู้นั้น เป็นยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลาง

ชายหนุ่มไม่เคยพบเขามาก่อน แต่พอเขาแจ้งชื่อ เยี่ยนจ้าวเกอก็นึกขึ้นได้ว่าตนเคยได้ยินมู่จวินและเฉินจื้อเหลียงแห่งเขาโถงทองพูดถึงนามนี้มาก่อน

เฉิงโม่ กิเลนฟ้าอุดร

ศิษย์เอกของประมุขอุดร จากอารามคงมายา

เป็นบุคคลที่เหี้ยมหาญไม่กี่คนในเขตราตรีอุดร เคยเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดแห่งยุคกลางของโลกซ้อนโลกเคียงคู่กับหลินฮั่นหัว

ภายนอกแม้ดูธรรมดา แต่เป็นบุคคลที่ร้ายกาจตัวจริง

แม้ว่าจะอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลางเหมือนกัน แต่ว่าหลิวเซี่ยงถงแทบไม่อาจเอาชนะเขาได้

นอกจากเฉิงโม่แล้ว จอมยุทธ์จากอารามคงมายาที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่ธรรมดา อย่างต่ำสุดอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง

มีเพียงแต่ดรุณีน้อยใส่เสื้อผ้าสีเหลืองผู้นั้นที่เป็นข้อยกเว้น เพราะไม่ใช่แม้แต่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ยังอยู่แค่ในระดับมหาปรมาจารย์เท่านั้น

มหาปรมาจารย์เช่นนี้ เมื่อยืนอยู่ในกลุ่มจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมโดดเด่นสะดุดตา

แม้จะบอกว่าเพียงรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้ ไม่ว่าใครก็สามารถมาชมดูการต่อสู้ระดับสุดยอดระหว่างจักพรรดิครั้งนี้ได้ทั้งสิ้น

กระนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไร เงื่อนไขต่ำสุดก็ยังคงมีอยู่ จอมยุทธ์ที่มีระดับต่ำเกินไป อย่าว่าแต่ทำเข้าใจความอัศจรรย์ในการต่อสู้ของสองยอดฝีมือ แม้แต่การเคลื่อนไหวก็มองเห็นไม่ชัดแล้ว

หากพวกเฉิงโม่ควบคุมระยะห่างได้ ไม่เข้าใกล้สนามรบมากเกินไป การดูแลความปลอดภัยให้กับกวนอวี่ลั่วย่อมไม่มีปัญหา

ทว่ากวนอวี่ลั่วรุดมารับชมการต่อสู้ครั้งนี้ สำหรับตัวนางไม่มีความหมายอะไร และจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

‘แต่ว่าถ้านางแซ่กวน…’ เยี่ยนจ้าวเกอแม้จะเห็นเฉิงโม่เข้มงวดกับกวนอวี่ลั่ว แต่ยังคงมีท่าทางรักถนอม จึงค่อยๆ มั่นใจขึ้น

ประมุขอุดรก็แซ่กวนเช่นกัน

ยามนี้เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุถึงด้านหน้าแล้ว กวนอวี่ลั่วก็ปั้นสีหน้าจริงจังเช่นกัน รักษามารยาทอย่างเต็มที่ “สวัสดีคุณชายเยี่ยน เมื่อครู่ที่เสียมารยาท ได้โปรดอย่าถือสาเลยนะเจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอะไรหรือ”

กวนอวี่ลั่วว่า “คืออย่างนี้ ไม่ทราบคุณชายเยี่ยนมีข่าวของเฟิงอวิ๋น พี่เฟิงของข้าหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างประหลาดใจ “ท่านรู้จักอวิ๋นเซิงด้วยหรือ”

พอได้ยินชื่อเฟิงอวิ๋นเซิงจากปากของเยี่ยนจ้าวเกอ พวกเฉิงโม่ก็จิตใจสั่นไหวเล็กน้อย

“หลายวันก่อนหน้านี้ข้าได้พบปัญหาในตอนเดินทางอยู่ด้านนอกคนเดียว โชคดีที่พบพี่เฟิงจึงรอดมาได้” กวนอวี่ลั่วว่า “แต่ต่อจากนั้นข้าพลัดหลงกับพี่เฟิง ข้าไปตามหานางที่สำนักของท่าน แต่พี่เฟิงไม่ได้กลับสำนัก ไม่ทราบว่าเร็วๆ นี้คุณชายเยี่ยนได้จะไปพบนางหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอมองกวนอวี่ลั่วอย่างลึกซึ้ง

หลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงเข้าฌานได้ระยะหนึ่ง ก็ทำลายด่านสุดท้ายสำเร็จ เลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นคนที่ก้าวสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่สามในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ต่อจากเยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟย

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยังอยู่ที่สำนัก ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงทราบเรื่องแล้ว

หลังจากเลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายเฟิงอวิ๋นเซิงก็บอกลาสำนัก ก้าวสู่เส้นทางที่ตัวเองต้องการ

แต่หากคำนวณจากเวลานั้น นางน่าจะออกจากสำนักได้ไม่นาน

กลับคิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินทางอยู่ข้างนอกได้ไม่ทันไร ก็ประสบเรื่องแบบนี้เข้า

เนื่องจากเพื่อปกป้องตัวเองและสำนัก ขณะเฟิงอวิ๋นเซิงเดินทางอยู่ด้านนอก นางย่อมไม่เผยสถานะของตัวเองออกมาโดยง่าย

จะจัดการอย่างไร พูดแบบไหนกับใคร เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อว่าเฟิงอวิ๋นเซิงทราบดีอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรเฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งออกฝึกฝน นางมีประสบการณ์ในการเดินทางโชกโชนยิ่ง

ดรุณีน้อยในชุดสีเหลืองตรงหน้ากลับทราบความเป็นมาและชื่อแซ่ของเฟิงอวิ๋นเซิง นั่นหมายความว่านางมอบความทรงจำที่ดีให้แก่เฟิงอวิ๋นเซิง

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้อยู่บนโลกซ้อนโลก เพิ่งกลับมาจากมิติต่างแดน จึงยังไม่ได้เจออวิ๋นเซิง” เยี่ยนจ้าวเกอถามตรงๆ ว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าพบกันที่ใดหรือ”