บทที่ 1423 เสวียนเฉิน

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

กระแสน้ำวนปรากฏบนท้องฟ้าท่ามกลางเสียงคำรามและแผ่ขยายไปทั่วราวกับกำลังพัดพาหมอกไปทำลายผนึก ประตูสีขาวขนาดมหึมาเหมือนถูกดึงออกมาจากความว่างเปล่าและเผยโฉมอยู่บนท้องนภา

ประตูนี้แผ่พลังปราณโบราณออกมาราวกับดำรงอยู่มาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแค่เหลือบมองก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงกาลเวลาที่พ้นผ่านไป

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคราบเลือดมากมายราวกับเคยเกิดการบูชายัญครั้งใหญ่ขึ้น

นี่คือ…ประตูสู่อาณาจักรด้านบน!

ในตอนนี้มันได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลังกดดันแผ่ขยายออกไปมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ผืนดินของโลกาชั้นที่สองคล้ายจะทนรับไม่ไหวและทรุดลงสามฉื่อ!

ยังมีเหล่าเมืองปรารถนาทั้งหลายที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยราวกับกำลังจะพังทลาย ทุกสรรพสิ่งต่างทรุดลงคล้ายมีของหนักๆ ตกลงใส่บ่า ร่างกายส่งเสียงกรอบแกรบราวกับมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นในฉับพลัน

พลังทรงอำนาจเช่นนี้ทำให้พลังแห่งความยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจากประตูบานยักษ์ ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างสัมผัสสวรรค์สั่นคลอน

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการปรากฏตัวของประตูนี้สร้างความตื่นตระหนกให้อาณาจักรบนอย่างชัดเจน ในไม่ช้าก็มีร่างสวมชุดคลุมสีขาวสวมหน้ากากปรากฏตัวรอบๆ ประตู รวมทั้งหมดเก้าคน พลังปราณของแต่ละคนแม้จะไม่อาจเทียบเท่ามหาเทพ แต่ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้

เพราะพวกเขาคือวิญญาณจักรพรรดิ ผู้พิทักษ์ของมหาเทพ

ทันทีที่ปรากฏกาย แต่ละคนก็แผ่ดวงจิตเทพของตนออกมาและกำหนดเป้าหมายไว้ที่ในวังใต้ดินของเมืองปรารถนาทัศน์ ทันทีที่พวกเขากวาดดวงจิตเทพมา หวังเป่าเล่อก็ลืมตาตื่นขึ้นทันที

ทันทีที่ดวงตาของเขาลืมขึ้นก็เกิดเสียงปริแตกดังสะท้อนระหว่างฟ้าดิน จากนั้นร่างชุดขาวทั้งเก้าต่างพากันส่งเสียงกรีดร้อง ดวงตาแต่ละคนแตกเป็นเสี่ยงๆ

ราวกับว่าหวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้ครอบครองคุณสมบัติที่ไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้

ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้กฎแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดยังไม่หลอมรวมกัน แต่กลายเป็นต้นกำเนิดปรารถนาทัศน์แล้วนั้น รวมกับกฎแห่งอารมณ์ทั้งสี่และกฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างกาย และยังมีกายเนื้ออิสระที่ผสานกับเลือดมหาเทพก็นับว่าเป็นอันดับหนึ่งในเจ้าปรารถนาแล้ว

สยบเจ้าแห่งโกรธได้อย่างง่ายดาย นับประสาอะไรกับตอนนี้…หลอมรวมเจ็ดอารมณ์ให้กลายเป็นปรารถนาอารมณ์ และตัวเขาก็คือเจ้าปรารถนาอารมณ์ นั่นทำให้พลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่ออยู่ในระดับทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว

เพราะว่า…ปรารถนาอารมณ์เดิมทีก็คือปรารถนาแรก ระดับความแข็งแกร่งของมันยามถูกแบ่งเป็นเจ็ดส่วนยังสามารถกลายเป็นกฎเจ็ดอารมณ์ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมันแล้ว

กรณีนี้หวังเป่าเล่อก็ยังไม่แน่ใจนักว่าตัวเขานั้น…อยู่ระดับใดกันแน่ เขาจึงอยากจะทดลองดูสักหน่อย

ดังนั้นหลังจากลืมตาขึ้น พริบตาที่วิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้าพังทลาย หวังเป่าเล่อในวังใต้ดินจึงก้าวเดินไปข้างหน้า ร่างของเขาไม่ได้หายวับ ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือบริเวณโดยรอบ…ราวกับดวงดาวกำลังเคลื่อนย้าย ตัวเขาอยู่ที่เดิม ทว่าสถานที่กลับเปลี่ยนไปกลายเป็นท้องฟ้า กลายเป็นประตูยักษ์ของอาณาจักรด้านบน

ฉากนี้ทำให้เจ้าปรารถนาและเจ็ดอารมณ์ที่ให้ความสนใจต่างใจกระตุกวูบ ทุกผู้คนล้วนหายใจไม่ออก พวกเขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร

“ควบคุมโลกและกฎเกณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์!” เจ้าแห่งโกรธพึมพำขณะมองร่างหวังเป่าเล่อ ดวงตารู้สึกแสบร้อนเหลือคณานับ ในใจเต็มไปด้วยความยำเกรง

ยังมีเจ้าปรารถนาเสียงที่ออกมาจากการถือสันโดษ นางเองก็คิดเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นที่กำลังสับสน ก็เลี่ยงไม่ได้เลยว่าในใจได้ก่อเกิดความคาดหวังขึ้นแล้ว

ผู้ที่เกิดความคาดหวังยังมีเจ้าปรารถนารสอีกคน เขาเบิกตากว้าง แม้ดวงตาจะแสบร้อน แต่ก็ยังพยายามเพ่งมอง เขาอยากรู้ว่าตนจะชนะการเดิมพันก่อนหน้านี้หรือไม่

ท่ามกลางความสนใจของทุกคน หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่หน้าบานประตูสู่อาณาจักรบนก็ไม่ได้สนใจวิญญาณจักรพรรดิรอบตัวแต่อย่างใด แต่กลับจ้องมองประตูตรงหน้าพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเมื่อเปิดประตูนี้ก็จะเข้าไปยังโลกาชั้นแรกได้

ที่นั่นคือสถานที่ถือสันโดษของมหาเทพ

และเป็นภารกิจสุดท้ายของเขาในฐานะร่างแยก

“ไม่รู้ว่าทางที่ข้าเลือกจะถูกหรือผิด” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ตอนนั้นเองวิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้าก็พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อและกลายร่างเป็นไอหมอกดำคล้ายเชือกพันธนาการในทันที

“แตก!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้สะบัดมือใดๆ ด้วยซ้ำ เพียงแค่เอ่ยออกมาเบาๆ คำเดียว

เพียงคำเดียวดั่งบัญชาสวรรค์ พริบตาที่มันเสียงนั้นดังก้องกังวาน เชือกดำจากวิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้าก็ปริออกและแตกสลายไปทันที

ต้องทราบก่อนว่าวิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้านี้ แม้แต่ละคนจะไม่ได้มีระดับการฝึกตนเทียบเท่าเจ้าปรารถนา แต่เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่เจ้าปรารถนาก็ไม่สามารถทำลายล้างได้ในครั้งเดียวเหมือนหวังเป่าเล่อ

ดังนั้นฉากเมื่อครู่จึงทำให้เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาทั้งหลายต่างส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ

อย่างไรก็ตาม…ลักษณะพิเศษของวิญญาณจักรพรรดิก็คือไม่ดับสิ้น พริบตาต่อมาก็ปรากฏร่าง 18 ร่างพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออีกครั้งเหมือนกับที่เคยสู้กับหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบ ในไม่ช้า 18 ร่างที่พังทลายก็ปรากฏขึ้นมาเป็น 36 ร่าง

เมื่อ 36 พังทลายก็ปรากฏเป็น 72 ร่าง ตามด้วย 144 ร่างและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็น 288 ร่าง…

ถึงตอนนี้แววตาเบื่อหน่ายในตาหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เขามองวิญญาณจักรพรรดิรอบกาย แม้พวกเขาจะสวมหน้ากากทั้งหมด แต่เขาก็รู้ว่าใบหน้าใต้หน้ากากนั้นเหมือนกับตนทุกประการ

ดังนั้นหลังจากถอนหายใจเบาๆ เลือดมหาเทพในร่างกายหวังเป่าเล่อก็พลันปะทุขึ้นก่อตัวเป็นหมอกโลหิตลอยอยู่ด้านนอก

ในการจัดการวิญญาณจักรพรรดิ หากเป็นคนอื่นอาจต้องสยบและสังหาร แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่หลอมรวมเลือดมหาเทพแล้วนั้นไม่จำเป็น เพราะ…บนพื้นฐานของต้นกำเนิดนั้นเขากับวิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้มีต้นกำเนิดที่คล้ายคลึงกันมาก นั่นทำให้เขาสามารถต่อต้านพลังเทพจากวิญญาณจักรพรรดิได้ทั้งหมด

แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อปราณโลหิตแผ่กระจาย พลังเทพจากวิญญาณจักรพรรดินับร้อยรอบกายก็ดูเหมือนจะพุ่งใส่หวังเป่าเล่อ แต่เขากลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ราวกับว่าวิญญาณจักรพรรดิพวกนั้นเป็นแค่เงา ไม่อาจทำอะไรเขาได้

ดังนั้นหลังจากพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วไม่เป็นผล และเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังเดินไปยังประตูทีละก้าว เหล่าวิญญาณจักรพรรดิก็เริ่มร้อนใจ แยกร่างเองทำให้จำนวนเพิ่มขึ้นจนเกินหนึ่งพันร่าง จากนั้นก็เกินหนึ่งหมื่นร่าง และสุดท้าย…บนท้องฟ้ารอบด้านหวังเป่าเล่อก็ปกคลุมไปด้วยวิญญาณจักรพรรดิชุดขาว การโจมตีของพวกเขาได้มาถึงระดับทำลายล้างโลกแล้ว

อาจกล่าวได้ว่าในโลกาชั้นที่สองไม่มีใครต้านทานได้อีก แต่ยังคงเป็นหวังเป่าเล่อ…ที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เช่นเคย แม้แต่ร่างกายก็ยังไม่อาจกลายเป็นสิ่งกีดขวางได้ราวกับไม่มีอยู่จริง วิญญาณจักรพรรดิพวกนั้นถูกหวังเป่าเล่อที่แผ่ปราณโลหิตพุ่งทะลุไปอย่างไม่สนใจ

จนกระทั่งเขาเดินไปถึงตรงหน้าประตูสู่อาณาจักรบน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาหวังเป่าเล่อก็ฉายความมุ่งมั่น ก่อนจะยกมือขึ้นกำลังจะสัมผัสประตู

ทว่าในตอนนั้นเอง น้ำเสียงผันผวนหนึ่งก็ดังขึ้น

“เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

เสียงนั้นดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวเหนือบานประตู เขายืนมองหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้น

หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองคนตรงหน้า

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบหน้ากันอย่างเป็นทางการ

“จักรพรรดิเสวียนเฉิน” หวังเป่าเล่อเอ่ยพูดแผ่วเบา