บทที่ 1436 ไม่ผิด

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ในดวงตาอันมืดมิดไม่มีสีขาวเลยแม้แต่น้อย ราวกับรูม่านตาละลายกลืนกินทุกสิ่งรอบด้านไปหมดสิ้นแล้ว ทำให้ตาทั้งดวงกลายเป็น…สีดำสนิท

ราวกับสีของความปรารถนาไม่มีผิดเพี้ยน

ไม่เพียงแค่นั้น ในพริบตาที่มหาเทพลืมตา บนร่างเขาพลันเกิดปราณหมอกสีดำลอยขึ้นล้อมรอบตัว ขณะเดียวกันมันก็แผ่ขยายออกมาอย่างต่อเนื่อง มองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับว่ามหาเทพได้กลายเป็นต้นกำเนิดสีดำ สายหมอกดำแผ่ขยายออกมาราวกับหนวดน่าสยดสยอง

ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบทันที เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนและพลังปราณของความปรารถนาอันแรงกล้าบนตัวมหาเทพ พลังปราณนั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้าปรารถนาทุกคนที่เขาเคยเจอ แม้จะหลอมรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาสมบูรณ์แล้ว ความปรารถนาที่เกิดจากตัวเขาก็ยังห่างชั้นกันมาก

ราวกับว่า…ที่นี่ต่างหากที่เป็นต้นกำเนิดความปรารถนา!

การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อใจสั่นไหว เขาคาดเดาได้ลางๆ แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ข้อสันนิษฐานในใจจะชัดเจน มหาเทพที่ลืมตาขึ้นมาก็ก้มมองหวังเป่าเล่อจากบนเก้าอี้ที่ปลายบันได

ทันทีที่มองมา จิตใจหวังเป่าเล่อพลันร้องคำรามราวกับมีพลังที่มาพร้อมอำนาจสูงสุดพุ่งตรงเข้ามาเพื่อหวังจะครอบครองร่างกายและกลืนกินทุกสิ่ง

โชคดีที่หวังเป่าเล่อก็ไม่ธรรมดา ดวงตาเขาวาววับ ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับปะการังในมหาสมุทร

ผ่านไปเนิ่นนาน มหาเทพบนปลายบันไดก็ถอนสายตากลับไปแล้วถอนหายใจเบาๆ

เสียงถอนหายใจนี้ผันผวนอย่างยิ่งราวกับอัดแน่นไปด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป มันดังก้องไปทั่วห้องโถงเป็นเวลานานจนหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเสียงนั้นดังมาจากกาลก่อนเนิ่นนานมาแล้ว เมื่อดังเข้าหูก็ราวกับทำให้ชีวิตของเขาเกิดการเน่าเปื่อย

“ข้า…แพ้แล้ว เจ้า…มาช้าไปแล้ว”

เสียงผันผวนดังก้องขึ้นหลังจากเสียงถอนหายใจก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นกระจายไปรอบๆ มันแผ่เข้ามาในจิตใจของหวังเป่าเล่อทำให้เขาหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย

“คุ้มค่าหรือ!” หวังเป่าเล่อเปิดปากทันควัน เสียงดังราวกับพายุปะทะกับระลอกคลื่นนั้นจนเกิดเสียงก้องคำราม

“ข้าติดตามเจ้ามาตลอด…เจ้ามีการแสวงหาของเจ้า เพื่ออิสรภาพของเจ้า…ส่วนข้าก็มีการแสวงหาของข้า เพื่อที่จะสมบูรณ์ เพื่อภารกิจของชาติก่อน” มหาเทพพึมพำ แม้เสียงจะเบาหวิว แต่ในห้องโถงแห่งนี้กลับมีพลังทะลุทะลวงบางอย่าง

“เจ้าก็เหมือนกับข้า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชาติที่แล้ว แต่เจ้าแสวงหาตัวเอง ข้าแสวงหาสารัตถะ ดังนั้น…เจ้าจะถามข้าว่าคุ้มค่าไหมน่ะหรือ” มหาเทพเอ่ยถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ นั่งตัวตรง ร่างกายส่วนบนเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองหวังเป่าเล่อจากด้านบน

“ข้าก็อยากจะถามเจ้าเหมือนกัน ละทิ้งอดีต คุ้มค่าหรือ”

“หลอมรวมกับข้าสิ แล้วพวกเราก็จะแสวงหาชาติก่อนไปด้วยกัน นั่นผิดด้วยหรือ” น้ำเสียงของมหาเทพเต็มไปด้วยความภาคภูมิและเจือไว้ด้วยความกรุ่นโกรธเล็กน้อย ท่าทางนั้นราวกับว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใด…หวังเป่าเล่อที่เป็นเศษวิญญาณถึงไม่เลิกต่อต้านแล้วกลับมาให้เร็วกว่านี้

หากเป็นเช่นนั้น บางที…ทุกอย่างคงไม่สายเกินไป

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาในตอนนี้ได้ซึมซับภาพความทรงจำของมหาเทพแล้ว รวมกับเบาะแสที่เขาเจอมาตลอดชีวิตนี้จึงได้เข้าใจที่มาของตนอย่างแท้จริง

เขาคือเศษวิญญาณของศพในโลงนั่น มหาเทพก็เช่นกัน พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จิตใต้สำนึกที่เป็นอิสระทำให้ทั้งสองคนที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้เดินออกไปในเส้นทางที่ต่างกัน

“สิ่งที่เจ้ากำลังแสวงหาคืออดีต”

“สิ่งที่ข้ากำลังแสวงหาคือปัจจุบัน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า มองมหาเทพก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“ดังนั้นเจ้าไม่ผิด และข้า…ก็ไม่ผิด แต่หากมองจากสิ่งที่ต้องเสียไป ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจ้าเพราะมันไม่คุ้มค่าเลย”

มหาเทพนิ่งเงียบ ยามที่มองหวังเป่าเล่อ ในดวงตาดำสนิทคู่นั้นพลันเกิดความสับสน ตั้งแต่เขามีสตินึกคิด เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดในมหาจักรวาลผืนนี้ที่สามารถสนทนากับเขาได้อย่างเท่าเทียม

แม้แต่นกแก้วก็เช่นกัน

ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นก็เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร มีเพียง…คนตรงหน้านี้เท่านั้น เพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์

ดังนั้นในความเงียบงัน มหาเทพจึงถอนใจอีกครั้ง

“จะอดีตหรือปัจจุบันล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว…”

“เดิมที…หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ร่างกายพวกเราคงสมบูรณ์ และน่าจะออกจากมหาจักรวาลกลับไปยังที่ที่เป็นของเราได้” มหาเทพพึมพำ นัยน์ตาฉายแววสับสนและเสียใจ

“น่าเสียดาย น่าเสียดาย…ข้าเคยคิดว่ามหาจักรวาลผืนนี้พิเศษพอแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะพิเศษถึงขนาดเป็นแหล่งกำเนิดเซียน…”

“ข้าแพ้อย่างไม่เป็นธรรม…แต่ข้าก็อยากรู้จริงๆ ว่าข้าเป็นใคร…และยิ่งอยากรู้ว่าใครเป็นคนสังหารข้า…และสิ่งที่อยากทำที่สุดคือกลับไปยังบ้านเกิดของข้า”

“เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก…เพราะตอนที่เจ้าเกิด ข้างกายเจ้า รอบตัวเจ้าคือโลกที่สมบูรณ์แล้ว เจ้ามีคนอยู่เคียงข้าง เจ้าไม่โดดเดี่ยว”

“แต่ข้าไม่ใช่ ข้าเดินอย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนานเหลือเกิน…”

“บางทีหากสิ่งแรกที่ถือกำเนิดขึ้นตอนนั้นเป็นเจ้า…เจ้าก็คงจะคิดเหมือนข้า”

“แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะ…ปรารถนาได้ตื่นขึ้นแล้ว”

หวังเป่าเล่อใจสั่นสะท้าน ในคำพูดของมหาเทพมีประโยคหนึ่งที่เขาเห็นด้วย บางทีหากเขาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะเลือกเส้นทางคล้ายกัน…

ในความเงียบงัน เมื่อหวังเป่าเล่อฟังประโยคสุดท้ายของมหาเทพดวงตาก็วาววับ เขานึกถึงความทรงจำของมหาเทพที่ขาดหายไปอีกหนึ่งส่วนได้แล้ว ความทรงจำนั้นคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับร่างกายมหาเทพที่ไม่มีใครรู้

เพราะปัญหานั้นถึงได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมิติเต๋าต้นกำเนิดและเกิดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา

“จากนั้นล่ะ?” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็น เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมหาเทพกันแน่ แม้จะพอคาดเดาได้แล้ว แต่เขาจำเป็นต้องยืนยันเสียก่อน

มหาเทพส่ายหน้า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นช้าๆ เขายกมันอย่างยากลำบาก หวังเป่าเล่อเห็นปราณหมอกมากมายพันรัดมือขวามหาเทพเอาไว้ ทำให้ดูเหมือนเขาต้องออกแรงมหาศาลจึงจะทำได้

แสงอ่อนๆ มาบรรจบกันที่ปลายนิ้วของมหาเทพ แสงนั้นไม่ได้สว่างมากเหมือนกับก่อตัวได้ยากลำบากท่ามกลางหมอกดำที่แผ่ขยาย ในที่สุดก็กลายเป็นจุดแสงลอยมาทางหวังเป่าเล่อ

จนกระทั่งปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

พลังปราณจากต้นกำเนิดเดียวกันบนตัวมันทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ชัดเจนมาก สัญชาตญาณบอกเขาว่าในจุดแสงนี้ไม่มีอันตราย ข้างในเป็นเพียงความทรงจำที่เก็บไว้

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นสัมผัสจุดแสงนั้นเบาๆ ทันใดนั้นจิตใจพลันสั่นสะท้าน ความทรงจำ…ปรากฏขึ้นเหมือนกับภาพวาด