ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 943 ทะเลรกร้างปรากฏอีกาทอง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอออกจากเทือกเขาเสียงระรัว นั่งอยู่บนหลังพ่านพ่านพร้อมกับอาหู่ มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก ผ่านการเดินทางอันยาวไกล และมาถึงใกล้ๆ ทะเลรกร้างในที่สุด

ด้านหน้าของพวกเขาเป็นทะเลกว้างใหญ่ น้ำทะเลมีสีไม่ธรรมดา เหมือนกับที่ราบหิมะสีขาวที่กระเพื่อมขึ้นลง

พอเห็นน้ำทะเลสีขาวหิมะนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ว่าตนได้เหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตของทะเลรกร้างอย่างเป็นทางการแล้ว

สถานการณ์ของที่นี่เหมือนกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตก ท้องทะเลไร้สิ้นสุดที่ทะเลชั้นนอก และบึงทะเลมายาที่บึงปฐพี

เพราะสภาพภูมิศาสตร์ที่พิเศษ แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งก็ยากจะเข้าไปอาศัยอยู่ด้านใน ร่องรอยผู้คนมีให้เห็นน้อยนิด สภาพแวดล้อมเลวร้ายถึงขีดสุด

มีโจรร้ายจำนวนหนึ่ง พอไม่อาจอาศัยอยู่ในพื้่นที่อื่นได้ ก็หลบมาอยู่ที่นี่

นั่นล้วนเป็นคนที่มีสุราวันนี้ขอเมามายวันนี้ มีสุขหนึ่งวันก็ขอมีหนึ่งวัน

สำหรับลูกศิษย์ที่มาจากพรรคใหญ่ที่มีชื่อเสียง เมื่อเผชิญหน้ากับคนโหดเหี้ยมเหล่านี้ ประโยชน์ของที่พึ่งพิงซึ่งอยู่เบื้องหลังมีไม่มากนัก ก็ได้แต่อาศัยความสามารถของตัวเอง

หลังจากล่วงเกินโจรร้ายเหล่านั้น อีกฝ่ายจะไม่สนใจเบื้องหลัง ฆ่าก่อนค่อยว่ากล่าว

เกิดมียอดฝีมือจากพรรคใหญ่มาไล่เข่นฆ่า พวกเขาก็หลบเลี่ยงไปในทะเลรกร้าง

หากหลบรอดได้ก็หลบรอด หากหลบรอดไม่ได้เช่นนั้นจะอยู่หรือตายก็แล้วแต่ฟ้า

ในเขตตะวันอาคเนย์ นอกจากลูกศิษย์เขาโถงทองที่ทำให้โจรร้ายเหล่านี้เกิดข้อกริ่งเกรงแล้ว คนอื่นๆ ล้วนต้องระวังตัว

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รู้สึกว่าอันตรายอะไรนักหนา เพียงแต่ที่แห่งนี้มีมัจฉามังกรอยู่รวมกัน ถ้าหากว่าข่าวที่อยู่ของคนรุ่นก่อนหลุดออกไป อาจทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้นได้

“แส้ปัด” เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือป้องตา มองท้องทะเลสีขาวยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป

อาหู่ส่งแส้ปัดหักครึ่งอันนั้นมา เยี่ยนจ้าวเกอรับไว้ จากนั้นเบื้องหน้าก็พลันปรากฏเส้นสีขาวเส้นหนึ่ง ยืดจากบนแส้ปัดเหยียดเข้าไปในส่วนลึกของทะเลรกร้าง

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วลูบผ่านแส้ปัดเบาๆ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเทญาณจริงแท้ของตัวเองเข้าไปด้านใน

แส้ปัดสั่นไหวคราหนึ่ง จากนั้นสีสันของเส้นสีขาวก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียว จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองจางๆ

ชายหนุ่มใช้นิ้ววาดกลางอากาศ กลายเป็นลวดลายอาคมที่เรียบง่ายและโบราณสายหนึ่ง

พ่านพ่านที่อยู่ด้านล่างหดร่างกายเล็กน้อย จากนั้นก็ให้อาหู่อุ้มขึ้น

ลวดลายอาคมที่ผนึกตั้งอยู่กลางอากาศใหญ่ขึ้น กลายเป็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่ง ครอบคลุมเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ไว้

จากนั้นแสงสว่างกลุ่มนี้ก็ถูกเส้นเล็กๆ สีทองจางนั้นเหนี่ยวนำ ลอยเข้าไปในส่วนลึกของทะเลรกร้างอย่างลวดเร็ว เหมือนกับเชือกที่เอาไว้ตกปลาถูกชาวประมงดึงขึ้นหลังจากที่มีปลากินเบ็ด

กลุ่มแสงที่ห่อหุ้มพวกเยี่ยนจ้าวเกอกลายเป็นจุดแสงจุดหนึ่ง ลอยเข้าในในทะเลรกร้าง แวบเดียวก็หายไป

ทว่าในทะเลรกร้างก็ยังคงมีคนสังเกตเห็นจุดแสงนั้น

คนที่เคลื่อนไหวอยู่ในนี้ ต่อให้จะไม่ใช่โจรร้าย หรือเป็นลูกศิษย์จากพรรคใหญ่ที่ออกเดินทางหาประสบการณ์ ก็เป็นคนที่มีขวัญกล้าเทียมฟ้าทั้งสิ้น

พอเห็นลักษณะเช่นนี้ ทั้งหมดก็ล้วนจิตใจสั่นไหว คิดลองตามไป

กระนั้น พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็เร็วยิ่ง ไม่ทันไรคนที่คิดสะกดรอยก็พถูกสลัดทิ้งแล้ว

คนที่สามารถตามทันไม่กี่คน พอเห็นจุดแสงยิ่งมายิ่งล่วงลึกเข้าไป ก็ลดความเร็วลง อดเกิดความลังเลไม่ได้

เพราะยิ่งเข้าไปในทะเลรกร้างลึกเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่อยู่ในกลุ่มแสง ทั้งคู่รู้สึกได้เหมือนกันว่าแรงกดดันยิ่งมายิ่งมาก

ด้านในมหาสมุทรสีขาว จะมีเสาเพลิงสีเขียวมรกตพวยพุ่งขึ้นมาตลอดเวลา

ชายหนุ่มกระชับขวานย้อนเอกภพไว้ในมือ ฟันทำลายเสาเพลิงสีเขียวที่น่ากลัวนั้น เปิดทางอย่างต่อเนื่อง

เขารู้ว่านี่คือเพลิงทมิฬฟ้ารกร้าง เป็นไฟพลังหยินที่มีระดับสูงยิ่ง มันไม่ร้อน แต่กลับเย็นเยียบสุดขีด ยิ่งกว่าน้ำแข็งหมื่นปีเสียอีก

เกิดกระทบถูกไฟนี้ ไม่เพียงแต่กายเนื้อจะได้รับความเสียหาย แม้แต่วิญญาณก็ยังต้องลุกไหม้ อีกทั้งยังไม่อาจขจัดได้ราวหนอนชอนกระดูก

แม้จะโดนเพียงนิดเดียว ก็มีสิทธิ์ตายได้

มีเพียงแต่คนที่ไต่สู่ระดับเซียนแล้ว จึงจะเพิกเฉยต่อการคุกคามจากมันได้ ต่อให้จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุขเห็น ก็ต้องโคจรวิชาป้องกัน ลงมือชำระล้างเปิดทาง

สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสะพานเซียน แม้จะมีของวิเศษติดตัว แต่ก็ไม่อาจคุ้มครองได้หมดจด

เยี่ยนจ้าวเกอแม้ไม่กลัว แต่ว่าเพลิงทมิฬฟ้ารกร้างก็เป็นแค่หนึ่งในการคุมคามจำนวนมากที่มีอยู่ในทะเลรกร้างเท่านั้น

นอกจากเพลิงทมิฬฟ้ารกร้างแล้ว ยังมีภัยพิบัติอันน่าพรั่งพรึงอย่างอื่นที่ไม่ด้อยไปกว่ามันอีกมากมาย

ขณะที่เคลื่อนที่อยู่นั้น เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเหมือนกับเผชิญการกลุ้มรุมโจมตีจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไปอยู่ตลอดเวลา

ทะเลรกร้างมีอาณาเขตกว้างใหญ่ กินพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของเขตตะวันอาคเนย์

ในสถานการณ์ที่ข้างในมีแต่ภัยพิบัติมากมายขวางทาง การเดินทางของเยี่ยนจ้าวเกอจึงเชื่องช้ายิ่ง

โชคดีที่มีพิธีนำทาง ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรักษความก้าวหน้าในระดับสูงไว้ได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ พอมุ่งหน้าเป็นเส้นตรง ยามเผชิญกับอุปสรรคที่โผล่มา เขาก็ได้แต่ฝืนต้าน ไม่อาจหลบเลี่ยง

ในตอนนี้เพื่อความเร็วและประสิทธิภาพ ทำเช่นนี้กลับไม่เป็นปัญหา

ถึงอย่างไรก็มีวรยุทธ์อย่างคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต คัมภีร์พลิกฟ้า และฝ่ามือหยินหยางขั้วกำเนิดเป็นรากฐาน อีกทั้งเยี่ยนจ้าวเกอยังมีการสั่งสมญาณจริงแท้เปี่ยมล้น มีพลังในการฟื้นฟูแข็งแกร่งเช่นกัน

กระนั้น ยิ่งเข้าไปในทะเลรกร้างลึกเท่าไร อันตรายเหล่านี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น

จนท้ายที่สุดแล้ว เพลิงทมิฬฟ้ารกร้างก็มีน้อยลง แต่ว่าภัยพิบัติที่มีชื่อว่าปราณมารทมิฬกลับมีเพิ่มขึ้น

มันไม่ได้โผล่ออกมาจากด้านในมหาสมุทรสีขาว แต่เป็นสายหมอกสีดำที่มีลักษณะเหมือนผ้าฝ้ายหลายสาย วนเวียนอยู่บนผิวทะเล

หมอกสีดำที่เหมือนกับหมึกนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเพลิงทมิฬฟ้ารกร้างอีก

พลังทำลายล้างที่มันสร้างขึ้นมาได้ แทบจะไม่ได้ด้อยกว่ายอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายเลย

หมอกดำเหมือนกับน้ำหมึกเหนียว ยากจะขจัด ต่อให้ถูกทำลายทิ้ง แต่ก็สามารถรวมตัวกันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังโจมตีอย่างไม่มีวันจบสิ้น

สี่ทิศแปดทาง มีปราณมารทมิฬอยู่เต็มไปหมด

ด้วยเหตุนี้ จึงเหมือนกับยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าจำนวนมากลงมือโจมตีพร้อมกัน

ภายใต้การโจมตีเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีทางฝืนปะทะอย่างโง่งม

พิธีกรรมที่เขาหยุดไว้ก่อนหน้า ปรับเปลี่ยนการควบคุมความเร็วและทิศทาง เคลื่อนที่เข้าไประหว่างหมอกสีดำที่เหมือนกับผ้าฝ้ายมากมาย

“มิน่าคนถึงได้บอกว่า จอมยุทธ์ในเขตตะวันอาคเนย์ มีแต่ประมุขอาคเนย์จึงสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจ” อาหู่มองปราณมารทมิฬเหล่านั้นอย่างจริงจัง “ที่นี่น่ากลัวยิ่งกว่าพายุนิมิตทมิฬในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกบนโลกซ้อนโลกเสียอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอว่า “นั่นย่อมแน่นอน ปราณมารทมิฬแค่สายเดียวหากไปถึงโลกแปดพิภพ เกรงว่าโลกแปดพิภพจะถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว”

“คุณชาย” อาหู่พลันหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ท่านว่าจะมีจอมยุทธ์ที่สามารถหลอมเปลี่ยนปราณมารทมิฬนี้ให้กลายเป็นของตัวเองได้หรือไม่”

ใบหน้าของอาหู่ในตอนนี้ไร้ความเกียจคร้านที่ก่อนหน้านี้มักมีให้เห็น แต่จริงจังถึงขีดสุด

“ไหนเลยจะไม่มี” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มีวรยุทธ์ที่ชื่อดาบเร็ววายุมาร เป็นการหลอมลมที่น่ากลัวหลากหลายชนิดเข้าไปในปราณดาบของตัวเอง ปราณมารทมิฬก็เป็นชนิดหนึ่งที่เลือกได้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกไม่กี่ชนิดที่มีความยากมากที่สุด และมีอานุภาพมากที่สุด”

“กระนั้น หากคิดจะหลอมเปลี่ยนปราณมารทมิฬ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนก่อนถึงจะทดลองทำได้”

อาหู่ได้ยินก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่พอเห็นสีหน้าของเขา เยี่ยนจ้าวเกอก็ทราบว่าเจ้าตัวโตผู้นี้จดจำไว้แล้ว

แม้เวลาอยู่ต่อหน้าเยี่ยนจ้าวเกอจะไม่ได้จริงจังอะไรนัก แต่อาหู่ก็ใส่ใจการฝึกฝนวรยุทธ์มาโดยตลอด

คนทั้งสองทางหนึ่งคุย ทางหนึ่งเข้าไปในทะเลรกร้างต่อ

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันเห็นระหว่างหมอกสีดำหลายสายเเบื้องหน้า มีแสงสีขาวสว่างขึ้น เหมือนกับเมฆลอยบดบังดวงตะวัน

ด้านในแสงอาทิตย์ เงาร่างของนกยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏวับแวบ

ขนของอีกา มีสามขา

………………..