ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 944 ในเมฆขาวมีคน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อีกาทองสามขา หรืออีกาทองอาทิตย์ ว่ากันว่าเป็นโอรสของเทพเฮ่าเทียน เป็นปีศาจที่อยู่ในทิศเพลิงหลี

มันเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับเดียวกับหงส์เพลิง มังกรแท้ กิเลน และคุนเผิง

บนโลกลอยน้ำมีอีกาอัคคี เป็นญาติของอีกาทอง แต่ก็ยังไม่ใช่ทายาทของอีกาทองอย่างแท้จริง เพียงแต่เป็นเลือดผสมในเลือดผสม กระนั้นก็มีความสามารถในการเผาฟ้าต้มทะเลเหมือนกัน

ทว่าเมื่อเทียบกับอีกาทองสามขาที่แท้จริงแล้ว กลับด้อยกว่ามาก

เมื่อเติบโตจนตัวเต็มวัย อีกาทองสามขาที่มีเลือดบริสุทธิ์และฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด จะกลายร่างเป็นดวงอาทิตย์ที่เทียบได้กับดวงอาทิตย์ของจริง ไม่ใช่ตัวตนในโลกมนุษย์อีก

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสนใจอีกาทองสามขายิ่ง เนื่องจากอสูรเทพชนิดนี้คล้ายกับสูญพันธุ์ไปหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แล้ว

เผ่ามังกรแม้จะเหลือน้อยนิด แต่หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็ยังคงมีอยู่ แต่อีกาทองกลับมีข่าวแพร่หลายอยู่น้อยยิ่ง

กระนั้นเงาแสงอีกาทองในตอนนี้ กลับไม่ใช่อีกาทองของจริง

เขาสามขา ที่ราบสูงยอดขจี เขตตะวันอาคเนย์

ความลี้ลับของคัมภีร์อีกาทองผลาญโลก วิชาวรยุทธ์ของพวกเขา มีจิตจริงแท้ของพลังแห่งอีกาทองอาทิตย์

วรยุทธ์ชนิดนี้เป็นสิ่งที่ขุมกำลังซึ่งมีชื่อว่าหุบเขาอีกาทองครอบครองไว้ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แล้ว

หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของเขาสามขาได้รับคัมภีร์อีกาทองผลาญโลกฉบับชำรุดมาโดยวาสนา และใช้มันสร้างรากฐานของเขาสามขาในตอนแรกสุด

ต่อมาคัมภีร์ชำรุดได้รับการเสริมปรับ เขาสามขาจึงกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดบนที่ราบสูงยอดขจี สร้างชื่อขึ้นมาในเขตตะวันอาคเนย์

เงาแสงอีกาทองสามขาที่อยู่ด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ อยู่ใต้การห้อมล้อมของแสงสีขาว เคลื่อนไหวอยู่ระหว่างปราณมารทมิฬที่หนาแน่น หลบหลีกหมอกสีดำที่เหมือนกับน้ำหมึกหลายสายอย่างต่อเนื่อง

‘อืม คล้ายกับไม้ตายก้นกุฎิอยู่บ้าง’ เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพเบื้องหน้าพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อย

ภายใต้การห้อมล้อมของปราณมารทมิฬ ราวกับยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้ารุมโจมตี

แม้ว่าจะไม่รวดเร็วปราดเปรียวมากพอ แต่พลังทำลายล้างของหมอกสีดำก็น่าทึ่งอย่างแท้จริง

ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนส่วนใหญ่ แค่แตะถูกก็ได้รับบาดเจ็บ หากโดนใส่เต็มๆ ก็จะเสียชีวิต

ปราณมารปีศาจหนาแน่นเกินไป คิดจะเคลื่อนไหวอยู่ในนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

ว่ากันว่าเจ้าสำนักเขาสามขาเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลาง

แม้ว่าคัมภีร์อีกาผลาญโลกจะน่าอัศจรรย์ล้ำเลิศ และมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงคอยคุ้มครองสำนัก แต่คิดจะผ่านปราณมารทมิฬ มีสิทธิ์รอดหนึ่งส่วน ตายเก้าส่วน

กระนั้นพอเยี่ยนจ้าวเกอสำรวจอีกาทองตัวนั้น แม้มันจะเคลื่อนไหวอย่างเนิบนาบเชื่องช้า แต่ก็รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง

มีแรงกดดัน แต่ก็รับมือได้อย่างอิสระ

นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกออดเกิดความสนใจไม่ได้

เขาเร็วยิ่งกว่าคนของเขาสามขา เริ่มจะไล่ตามทันแล้ว

นอกจากนี้เขาก็สัมผัสได้จากการนำทางของแส้ปัดนั้นเช่นกัน ว่าในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็บรรลุถึงจุดหมายแล้ว!

หลังจากเงาแสงอีกาทองสัมผัสได้ว่ามีคนไล่ตามหลัง มันก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว เพียงพุ่งลงไปด้านล่าง

มันแหวกเปิดปราณมารทมิฬมากมาย ร่อนไปถึงด้านบนผิวทะเลเบื้องล่าง

น้ำทะเลสีขาวหิมะของทะเลรกร้าง เดิมทีก็เป็นสิ่งที่อันตรายถึงขีดสุดอยู่แล้ว

คนที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับประมุข หากหาญก้าวเข้าไปด้านใน กระดูกและเนื้อจะมลายกลายเป็นเลือดในเวลาไม่นาน

ดังนั้น ผู้ที่เข้ามาในทะเลรกร้างจึงยินดีเผชิญกับปราณมารทมิฬ และเพลิงทมิฬฟ้ารกร้างมากกว่าการลงไปบนผิวทะเล

ทว่าในตอนนี้ บนผิวของทะเลรกร้างปรากฏวังวนขนาดยักษ์กลุ่มหนึ่ง ใจกลางวังวนเชื่อมลงไปถึงก้นทะเล

ณ ที่แห่งนั้นเป็นความมืดลึกล้ำแถบหนึ่ง พร่าเลือนไม่ชัดเจน ทำให้คนยากจะตรวจสอบสถานการณ์ด้านใน

เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งตามองไป เส้นสีขาวที่ยืดออกมาจากแส้ปัดหักครึ่งในมือ กำลังชี้ไปที่ความมืดซึ่งคล้ายกับลึกจนไม่เห็นบ่อตรงใจกลางวังวน

และในเงาแสอีกาทองนั้น ก็มีเส้นสีขาวเส้นหนึ่ง ชี้ไปที่ก้นวังวนเช่นกัน

อีกาทองกระพือปีก กลายเป็นแสงสีทอง บินไปที่ใจกลางวังวน จากนั้นก็โถมลงไปในความมืด

แสงทองเจิดจ้าหายไปในชั่วพริบตา

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รีบไม่ร้อน พุ่งเข้าไปในความมืดที่ก้นทะเลเช่นกัน

พอชายหนุ่มเข้าไปในความมืดนั้น ก็รู้สึกได้ว่ามิติที่อยู่รอบๆ กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ตนเหมือนกับก้าวข้ามบานประตูบานหนึ่ง เข้าไปในโลกอีกใบ

‘คล้ายกับตอนที่ตามหาเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจ จากนั้นก็หยุดยั้งท่าร่าง พาอาหู่และพ่านพ่านเคลื่อนไหวในความมืดด้วยกัน

ตรงหน้าบังเกิดท้องฟ้าและดวงอาทิตย์อีกครั้ง แต่กลับเป็นทัศนียภาพที่ไม่สมบูรณ์

โลกที่เขามาถึง ปราณวิญญาณไม่ได้สลายหมดสิ้น แต่ก็สับสนไร้ทิศทาง ทำให้คนไม่อาจคาดคะเนแยกแยะ

โลกใบนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก สภาพคล้ายกับสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ เพียงดำรงอยู่ในฐานะนิวาสสถาน

ทัศนียภาพตรงหน้าได้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ไม่มีเค้าเดิมเหลืออยู่อีก เหมือนกับได้รับการชำระจากเวลา

เมื่อเห็นลักษณะเช่นนี้ ก็สามารถยืนยันได้ว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของคนรุ่นก่อน และเจ้าของสถานที่แห่งนี้ได้จากไปแล้ว

ต่อให้ไม่ได้สิ้นชีวิต ก็คงจากไปไม่รู้นานเท่าไร และไม่เคยกลับมา

เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นสงสัยว่าที่นี่เหมือนกับมิติต่างแดน ซึ่งจอมยุทธ์พเนจรกระเรียนล่องลอยเคยอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ และเหลือรอดมาจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ แม้ไม่ได้พังทลายลงโดยสิ้นเชิง แต่ก็ประสบกับหายนะ จึงมีสภาพเช่นนี้

เขาสำรวจรอบๆ ยังไม่พบร่องรอยของคนจากเขาสามขาเมื่อก่อนหน้า ดูเหมือนจะไปโผล่ในสถานที่อื่น

ด้านในหมอกขาวบนขุนเขาที่อยู่ห่างออกไป มองไปค่อนข้างรางเลือน ยากจะมองเห็นเบื้องหลังความเป็นมา

เพียงแต่ระหว่างหมอกขาวคล้ายกับมีอารามเต๋าตั้งอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอเดินนำไปยังอารามแห่งนั้น

ขณะที่เคลื่อนไหว เขาก็พบความแตกต่างของที่นี่ เพราะตอนที่เดินอยู่ในหมอกขาว มิติและเวลาดูผิดปกติ

ชายหนุ่มเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน เพียงรู้สึกว่าตนคล้ายกับไม่ได้เข้าใกล้อาราม แต่ว่าวนไปมาอยู่ที่เดิม

เขาส่ายหน้า ในดวงตาสองข้างปรากฏประกายกระบี่สีแดงกะพริบขึ้น

ภายใต้ความคมกล้าของกระบี่ลวงเซียนซึ่งทำลายมิติ หมอกขาวตรงหน้าพลันเริ่มสลาย

พอออกเดินอีกครั้ง หนทางข้างหน้าก็เริ่มสะดวกขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอเดินขึ้นเขาไป เพียงครู่เดียวก็บรรลุถึงเบื้องหน้าอารามแห่งนั้น

เยี่ยนจ้าวเกอหยุดเคลื่อนไหว ก่อนจะเห็นป้ายเกรอะฝุ่นตกอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ของอาราม

ชายหนุ่มเป่าลมให้ฝุ่นกระจายออก เผยผิวป้ายที่เต็มไปด้วยด่างดวง ด้านบนมีตัวหนังสือเขียนว่า “อารามเอกนิกาย”

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน…” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ

เป็นคนสร้างขึ้นหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ขุมกำลังใหญ่ๆ ในจักรวาลได้รับการเก็บบันทึกไว้ในหอหนังสือวังเทพแทบจะหมดสิ้น

มีเพียงแต่การสืบทอดสายสามพิสุทธิ์เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น แม้ว่าการสืบทอดส่วนใหญ่ในนี้ หอเทพล้วนรู้จัก แต่ว่าในกาลเวลาอันยาวนานก็มีการแตกกิ่งก้านสาขา มักมีตัวตนที่ซ่อนตัว ไม่มีใครรู้อยู่ด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจสั่นไหว เขาเดินไปทางซ้ายของประตูอาราม หลังจากวนอ้อมได้สักระยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็ยืนอยู่บนเขาแล้วก้มมองลงไป

เขาเห็นกลางเขาตรงทิศทางนี้มีแสงสีทองกะพริบอยู่ในหมอกสีขาว คล้ายกับดวงอาทิตย์กำลังขึ้น

เป็นคนจากเขาสามขา

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายเทียบไม่ได้กับเยี่ยนจ้าวเกอที่ครองกระบี่ลวงเซียน จึงถูกเขาแซงหน้ามาได้เช่นนี้

คนของเขาสามขาเงยหน้ามองอาราม เห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ยืนอยู่ด้านข้างอาราม

พวกเขาสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน

น่าเสียดายนัก ถึงแม้ว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะไม่ไกล แต่เพราะผลของหมอกขาว กลับห่างกันราวฟ้ากับเหว

………………..