ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 945 เร็วกว่าใช่ว่าจะถึงก่อน ผู้มีความสามารถจึงได้ครอบครอง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองคนจากเขาสามขาเหล่านั้น จากนั้นก็หมุนกาย กลับไปถึงด้านหน้าประตูของอารามเอกนิกายอีกครั้ง

“คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังอาศัยร่มเงา ไม่ทราบเป็นที่อยู่ของผู้อาวุโสคนไหน เยี่ยนจ้าวเกอขอล่วงเกินแล้ว”

ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปในอาราม ก่อนจะเห็นต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง แม้มันจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดูเก่าแก่ยิ่ง กิ่งใบเหลืออยู่บางตา

ถึงะยังมีความเขียวขจีอยู่เล็กน้อย แต่เกรงว่าลำต้นจะกลวงมานานแล้ว

“ต้นหม่อนบรรพบุรุษ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

นี่เป็นต้นไม้วิญญาณชนิดพิเศษ ใบมีความหอมจรุง จอมยุทธ์เมื่อนั่งฝึกฝนใต้ต้นไม้ชนิดนี้จะได้รับการหล่อเลี้ยงจิตใจและลมปราณ

เยี่ยนจ้าวเกอเคยได้ยินมู่จวินบอกว่า บนโลกซ้อนโลกในปัจจุบันมีการปลูกต้นไม้ชนิดนี้อย่างแพร่หลาย

ทว่าตนหม่อนบรรพบุรุษตรงหน้านี้ เยี่ยนจ้าวเกอพอจะแยกแยะออกคร่าวๆ ว่าน่าจะมีอายุมากกว่าหมื่นปีแล้ว

การไหลของเวลาในนิวาสสถานแห่งนี้ ถือว่าช้าอยู่มากเมื่อเทียบกับโลกซ้อนโลก

เมื่อคำนวณเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าต้นหม่อนบรรพบุรุษต้นนี้จะอยู่มาตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

เช่นนั้นอารามเอกนิกายแห่งนี้ สมควรอยู่มาก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แล้ว

เพียงไม่ทราบว่าผู้เป็นเจ้าของเสียชีวิตไปเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น

เยี่ยนจ้าวเกอ อาหู่ และพ่านพ่านเข้าไปในตำหนักหลักของอาราม กลับไม่เห็นศาลเจ้าและรูปปั้นของบรมครูสามพิสุทธิ์ มีแค่ความว่างเปล่า

หลังจากพวกเขาเข้าไป ตำหนักใหญ่ตรงหน้าก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลง

ด้านในตำหนักพลันมีทรายสีเหลืองกระจายไปทั่วบริเวณ บดบังฟ้าดิน

ที่แห่งนี้ถึงกับกลายเป็นโลกใบหนึ่ง แสดงถึงทิวทัศน์ของทุกสรรพสิ่ง

เจ้าของคนเก่าหายตัวไปนานแล้ว อีกทั้งยังผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังคงสร้างภาพอันน่าอัศจรรย์มากมายขึ้นมาได้ ทำให้คนรู้สึกชื่นชมโดยแท้

ส่วนที่น่ากลัวของพายุทรายที่เหลือไม่ด้อยกว่าปราณมารทมิฬ ที่อยู่ในทะเลรกร้างเมื่อก่อนหน้าเลย

กรวดหินมากมายนั้นพร่างพราวดุจหินผลึก

แต่ว่าแค่เพียงเม็ดเดียว ก็สามารถเจาะทะลุกายเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้

พายุทรายสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นรูพรุน

ส่วนที่น่าสะพรึงของมัน ด้วยพลังของเยี่ยนจ้าวเกอ ถ้าหากไม่เพิ่มการป้องกัน เพียงใช้ร่างกายฝืนรับเท่านั้น ก็ต้องประสบกับผลร้าย

“คุณชาย เกรงว่าเจ้าของคนเดิมของที่นี่จะมีระดับพลังฝึกปรือในตอนที่ยังมีชีวิตสูงส่งถึงขีดสุด แต่ไม่ทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไร” อาหู่แยกเขี้ยวยิงฟัน

เยี่ยนจ้าวเกอนำหีบกลืนฟ้ากลืนดินออกมา เขาตบฝ่ามือใส่หีบกระบี่ ครั้นปากหีบเปิดออก กระบี่สำริดก็เปล่งแสงสีดำลอยขึ้นมาจากด้านใน

กระบี่ปีศาจเทาเที่ยเข้ามาอยู่ในมือ เยี่ยนจ้าวเกอใช้มุทรากระบี่ แสงสีดำที่น่ากลัวพลันกลายเป็นหลุมดำ กลืนกินทรายเหลืองตรงหน้า

ทรายเหลืองมาจากทั่วทุกสารทิศ แทรกด้วยลมกรรโชก บดขยี้มิติ ป้องกันแรงดึงดูดของหลุมดำ

แม้ว่าจะมีพายุทรายส่วนหนึ่งถูกหลุมดำกลืนกิน แต่ก็มีมากมายที่ข้ามการขวางกั้นของประกายกระบี่สีดำ โจมตีใส่พวกเยี่ยนจ้าวเกอ

สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเไม่แปรเปลี่ยน บนศีรษะมีแสงสีทองเจิดจ้าลอยขึ้นอย่างแช่มช้า

ตราประทับตะวันปรากฏแล้วลอยสูง แสงสีทองหลายสายพุ่งโถมลง กั้นขวางพายุทรายที่เหลืออยู่

เยี่ยนจ้าวเกอสะบัดกระบี่ปีศาจเทาเที่ยในมือ ประกายกระบี่สีดำที่น่ากลัวเปลี่ยนจากป้องกันเป็นโจมตี

เจตจำนงของกระบี่สังหารเซียนที่บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ถูกหลอมเข้าไปด้านในหลังจากการเปลี่ยนแปลง เพิ่มความน่าสะพรึงให้แก่ความคมกล้าของกระบี่ปีศาจเทาเที่ย ทำลายพายุทราย เปิดออกเป็นเส้นทาง

เขาก้าวเท้าไปด้านหน้าต่อ พร้อมกับเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าคาดไว้ไม่ผิด เจ้าของคนก่อนของอารามแห่งนี้ อย่างน้อยน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ได้เปิดประตูเซียนผู้หนึ่ง ระดับพลังยังไม่อาจบอกได้”

ถ้าหากไม่ใช่ ผนึกคุ้มกันของที่นี่ก็ไม่น่าจะมีผลรุนแรงถึงขนาดนี้ เพราะผ่านการชำระล้างโดยกาลเวลามาหลายขวบปีแล้ว

อาหู่พลันตาเป็นประกาย “คุณชาย เช่นนั้นที่นี่จะมีอาวุธเซียนเหมือนสุสานจักรพรรดิประกายกาฬหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งเดินนำ ทางหนึ่งตอบว่า “ความเป็นไปได้ไม่มากนัก เจ้าของคนเดิมไม่ได้ตายที่นี่ แต่หลังจากออกไปแล้วก็ไม่เคยได้กลับมา แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ควรจะเสียชีวิตที่ด้านนอก”

“และหากเป็นเช่นนั้น ปกติแล้วก็สมควรพกของล้ำค่าติดตัว”

สถานการณ์ที่เหมือนกับการหลอมกระบี่ปีศาจเทาเที่ยของเฮยจู่ ความจริงเป็นความบังเอิญ มีให้เห็นน้อยยิ่ง

อาหู่เกาศีรษะ “เช่นนั้นคุณชายคิดจะตามหาวรยุทธ์สายเอกพิสุทธิ์ ก็คงมีความหวังไม่มากเช่นกันกระมัง”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “นั่นกลับไม่แน่ ดูจากสภาพของสวนด้านนอก ที่แห่งนี้น่าจะมีคนอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน เจ้าของคนเดิมน่าจะมีลูกศิษย์รับสืบทอด หากเจอที่อยู่ของพวกเขา ก็อาจจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง”

“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ” อาหู่พยักหน้า มองทรายเหลืองที่ค่อยๆ ถูกเยี่ยนจ้าวเกอกำจัด อดแยกเขี้ยวขึ้นไม่ได้ “คุณชาย ท่านเปิดทางโล่งเกินไปแล้วนะขอรับ อีกเดี๋ยวคนจากเขาสามขาเข้ามาต้องสะดวกโยธินแน่”

“ไม่เป็นไร ให้พวกเขามา เร็วกว่าก็ใช่ว่าจะถึงก่อน คนมีความสามารถจึงได้ครอบครอง ถ้าหากต้องสู้กัน เพียงอาศัยความสามารถของตัวเองก็พอ พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ได้ประโยชน์เพราะข้าหน่อยไปจะเป็นไร” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่นำพา

ขณะที่พูดอยู่ พายุทรายตรงหน้าก็พลันสลายไป

แต่กลับมีแม่น้ำประหลาดโผล่ขึ้นมาแทนที่ แม่น้ำไหลเลื่อยแหวกลม พุ่งโถมเข้ามาหาเยี่ยนจ้าวเกออย่างหักโหม!

เยี่ยนจ้าวเกอไม่หยุดยั้งฝีเท้า ยังคงใช้แสงสว่างของตราประทับตะวันคุ้มครองกาย จากนั้นก็ใช้กระบี่ปีศาจเทาเที่ยป้องกันเพื่อโจมตี ประกายกระบี่กระจายไปทั่ว กลืนกินแม่น้ำนั้น

ทว่าแม่น้ำตรงหน้าไม่ธรรมดายิ่ง

เขาถึงขั้นรู้สึกว่ากระบี่ปีศาจเทาเที่ยในมือหนักขึ้นหลายส่วน

นอกจากนี้ยังยิ่งมายิ่งหนัก!

“น้ำจากแม่น้ำหนักอึ้ง?” เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจทันที

ว่ากันว่าก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มีแม่น้ำซึ่งมีชื่อว่าแม่น้ำหนักอึ้ง มันเป็นแม่น้ำที่มีน้ำหนักมากถึงขีดสุด แม้จะเป็นมีแค่หยดเดียวก็หนักเกือบหมื่นจวิน แล้ว

ผืนดินไม่อาจรองรับได้ เพียงไหลอยู่ใต้ดินเท่านั้น

มีคำพูดโบราณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่กล่าวไว้ว่า “ฟ้ามีแม่น้ำเงิน ดินมีแม่น้ำหนักอึ้ง”

หมายถึงน้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งนี่เอง

เจ้าของคนเดิมของอารามเอกนิกาย เห็นได้ชัดว่าใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองแบ่งสายน้ำเล็กๆ ตอนหนึ่งมาจากแม่น้ำหนักอึ้ง แล้วย้ายมาไว้ที่นี่

‘แม้จะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ก็ต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง’ เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก ประกายกระบี่ปีศาจเทาเที่ยในมือหุบลง เริ่มผนึกรวมกันเป็นจุดเดียว

จุดหนึ่งจุดนั้นเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน หนักเสียยิ่งกว่าน้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งเสียอีก!

บนคมกระบี่สีดำ ประกายสีขาวสายหนึ่งกลืนกิน

เจตจำนงกระบี่อันน่าพรั่นพรึงตอนนี้ใช้พลังทำลายพลัง ประสานเจตจำนงกระบี่ของกระบี่สังหารเซียน ฟันแม่น้ำที่ขวางอยู่ด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกออย่างหักโหม ทำให้เขาเคลื่อนที่ไปด้านหน้าได้ต่อ

ทว่าด้วยสาเหตุนี้ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเยี่ยนจ้าวเกอก็ช้าลงไม่น้อย

รอจนเขาทำลายแม่น้ำตรงหน้าได้แล้ว ทิวทัศน์ด้านหน้าก็เปลี่ยนแปลง กลับเกิดเปลวเพลิงสีทองหลายสายขึ้น

เปลวเพลิงสีทองเหล่านี้ดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ ไม่ให้ความรู้สึกบ้าคลั่งแม้แต่น้อย กลับเหมือนดอกบัวสีทองมากมายกำลังเบ่งบาน

“บัวทองอัคคีวิเศษ” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย ทว่าเท้าไม่หยุดขยับ เคลื่อนที่ต่อไป

ขณะเพิ่งจะเข้าใกล้ บัวสีทองที่ตอนแรกสงบนิ่งก็เกิดระเบิดอย่างสะเทือนเลือนลั่น กลายเป็นอัคคีสีทองไร้สิ้นสุด กำลังจะกลืนกินเยี่ยนจ้าวเกอ

เขาต่อยหมัดออกไปด้านหน้า ตราประทับตะวันหยุดคุ้มครองร่าง แต่ใช้แข็งทำลายแข็ง กระแทกเปลวเพลิงสีทองนั้นโดยตรง

ไฟสีทองระเบิด ทำอะไรตราประทับตะวันไม่ได้ ส่วนใหญ่ถูกตราประทับตะวันชนจนสลาย แต่ก็ยังมีส่วนที่หลงเหลือโจมตีมาใส่เยี่ยนจ้าวเกอ

ยามนี้เยี่ยนจ้าวเกอใช้กระบี่ปีศาจเทาเที่ยจัดการ ประกายกระบี่สีดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง กลืนกินประกายเพลิงสีทองที่เหลืออยู่เหล่านั้น

เขาเดินไปด้านหน้า ทำลายบัวอัคคีทีละดอก

พอไปถึงกลางทาง จิตใจของเขาก็พลันสั่นไหว

เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองเบื้องหลัง เห็นมีแสงสีทองกะพริบ

อีกทองสามขาตัวหนึ่งเข้าสู่คลองจักษุ