เนื่องจากเป็นการดวลฝีมือเพื่อเรียนรู้ทักษะของกันและกัน ทั้งสองจึงไม่ใช้ทักษะยุทธ์ที่รุนแรงจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หลงอวี้เทียนก็เพียงต้องการประจักษ์ถึงความแตกต่างในความแข็งแกร่งที่แท้จริงระหว่างตนและฉินอวี้โม่เท่านั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเลือกใช้กระบวนท่าพื้นฐานที่สุดของการต่อสู้ระยะประชิดและหลอมรวมพลังมายาเข้ากับกระบวนท่าเพื่อทำให้การโจมตีเหล่านั้นทรงพลังมากขึ้น
ความเร็วในการต่อสู้ของทั้งสองก็รวดเร็วพอสมควร ทว่าฉินอวี้โม่ยังสามารถเพิ่มความเร็วของตนเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนบรรลุระดับที่รวดเร็วอย่างสุดขีด
ทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาจำนวนมากไว้เบื้องหลังก่อนที่พวกมันจะค่อย ๆ เลือนหายไป
ณ สังเวียนประลอง หลงอวี้เทียนก็แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับการโจมตีของฉินอวี้โม่
เพราะถึงอย่างไร ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของฉินอวี้โม่ก็เหนือชั้นเกินกว่าที่จอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปจะเทียบด้วยได้
จอมยุทธ์ส่วนใหญ่จดจ่อกับการบ่มเพาะเพื่อพัฒนาระดับพลังของตนเองและละเลยการฝึกฝนความแข็งแกร่งทางกายภาพไป ทว่าในทางกลับกัน ฉินอวี้โม่ก็หมั่นฝึกฝนความแข็งแกร่งทั้งสองด้านมาตั้งแต่ต้น
แม้ว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของนางจะด้อยกว่าพลังยุทธ์ ทว่ามันก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก ตราบใดที่ไม่ประจันหน้ากับจอมยุทธ์ที่ชำนาญด้านการฝึกกายา นางก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ไร้เทียมทานในการต่อสู้ระยะประชิด
“ช่างมีฝีมือที่ล้ำเลิศจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะต่อสู้กับจอมยุทธ์ที่เหนือกว่าหลายระดับได้อย่างไม่เสียเปรียบ ด้วยฝีมือที่มากเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน เจ้าจะมีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก”
หลงอวี้เทียนกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ ทว่ายังไม่ยอมแพ้และเดินหน้าโจมตีต่อไป
“พี่อวี้โม่แข็งแกร่งยิ่งนัก !”
ณ พื้นที่รอบ ๆ ลานประลอง หลงเฟยเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงและแสดงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง แม้แต่หลงเพ่ยเอ๋อร์เองก็พยักศีรษะแสดงออกว่าเห็นด้วย ดูเหมือนว่าช่องว่างความแตกต่างระหว่างพวกนางและฉินอวี้โม่จะห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ …
บนสังเวียน กระบวนท่าโจมตีของฉินอวี้โม่ก็ทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ และการเคลื่อนไหวทุกครั้งสามารถโจมตีจุดสำคัญของหลงอวี้เทียนได้อย่างแม่นยำจนยากที่เขาจะป้องกันได้
แม้ว่าหลงอวี้เทียนจะแผ่พลังวิญญาณออกไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทว่าเขาก็ป้องกันการโจมตีของฉินอวี้โม่ได้อย่างจวนเจียนเท่านั้น ในตอนนี้ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บหลายส่วนแล้วและอยู่ในสถานการณ์ที่เริ่มไม่สู้ดีนัก
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้ายังคงยั้งมืออยู่ใช่รึไม่ ?”
หลงอวี้เทียนโบกมือส่งสัญญาณและหยุดต่อสู้กับฉินอวี้โม่เป็นการชั่วคราวก่อนกล่าวถามออกไปเนื่องจากรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังสงวนพลังที่แท้จริงไว้และไม่ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่
“หากท่านหมายถึงทักษะการต่อสู้ระยะประชิด ข้าก็ยังยั้งมืออยู่จริง ๆ เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
“สหายฟู่ เรามาร่วมมือกันดีกว่า ข้าอยากเห็นว่าเสี่ยวอวี้โม่จะแสดงฝีมือในการต่อสู้ระยะประชิดได้มากเพียงใด”
หลงอวี้เทียนกล่าวเชิญฟู่ชางโดยตรง หากทั้งสองร่วมมือกัน พวกเขาอาจจะบีบไล่ต้อนให้ฉินอวี้โม่แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้
ฉินอวี้โม่ก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใดและผายมือเชิญฟู่ชางขึ้นมาบนสังเวียนอย่างมีมารยาท
“ท่านลุงฟู่ เชิญเลยเจ้าค่ะ”
หลงเฟยเอ๋อร์และทุกคนก็ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ฟู่ชางและหลงอวี้เทียนเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารา พวกนางสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าฉินอวี้โม่จะเอาชนะการร่วมมือประสานพลังกันของคู่ต่อสู้ทั้งสองได้หรือไม่…
ฟู่ชางก็พยักศีรษะและเหาะขึ้นไปบนสังเวียนประลองก่อนทักทายกันและเริ่มการโจมตี
แม้ฟู่ชางและหลงอวี้เทียนจะไม่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน แต่พวกเขาก็สามารถประสานการโจมตีร่วมกันได้ในเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้นและสามารถโจมตีฉินอวี้โม่ได้โดยที่ไม่เผยช่องโหว่ใด ๆ
ส่วนฉินอวี้โม่ก็ไม่กังวลแม้แต่น้อยขณะเคลื่อนไหวไปมารอบตัวคู่ต่อสู้ทั้งสองอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายลมพัดผ่าน
ทุกคราที่การโจมตีของพวกเขากำลังจะถึงตัวฉินอวี้โม่ นางก็สามารถหลบหลีกออกไปได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าในทางกลับกัน นางก็ไม่อาจโจมตีตอบโต้ทั้งสองได้เช่นกัน ด้วยการร่วมมือกันของคนทั้งสอง ฉินอวี้โม่ไม่สามารถขึ้นกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกต่อไปและเริ่มถูกบีบไล่ต้อนเล็กน้อย
จากนั้นการต่อสู้ของทั้งสามก็ติดอยู่ในสภาวะชะงักงันและไม่สามารถกำหนดผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
“อวี้โม่ทรงพลังยิ่งนัก นางสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงกว่าทั้งสองคนได้อย่างไม่เสียเปรียบ หากเราต้องประจันหน้ากับผู้ที่ทรงพลังเช่นท่านพ่อ เกรงว่าเราคงพ่ายแพ้ไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกแล้ว”
หลงซินเอ๋อร์กล่าวพลางถอนหายใจยาว ๆ นางริษยาฉินอวี้โม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้เห็นพลังความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายในปัจจุบัน นางก็ปล่อยวางความรู้สึกเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง
ช่องว่างความแตกต่างระหว่างพวกนางห่างไกลกันจนเกินไป เพราะเหตุนั้น ความริษยาเหล่านั้นจึงไม่มีความหมายและนางไม่มีทางที่จะตามฉินอวี้โม่ได้ทัน
ยิ่งไปกว่านั้น มิตรภาพจากการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันก่อนหน้านี้ก็ทำให้หลงซินเอ๋อร์สำนึกผิดขึ้นมาแล้วโดยที่นางไม่คิดร้ายหรือริษยาฉินอวี้โม่อีกต่อไป
“ข้างนอกนั่นยังมีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าเราอีกมาก เราจะต้องจดจำสิ่งนี้ไว้ให้ขึ้นใจ”
หลงเพ่ยเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นฉินอวี้โม่เป็นคู่แข่งที่สมศักดิ์ศรีของนาง ทว่านางตระหนักแล้วว่านางทะนงตนจนเกินไป สำหรับคนบางคน ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ไม่มีทางเทียบชั้นได้แม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม และฉินอวี้โม่คือตัวอย่างที่ชัดเจน…
บนสังเวียนประลอง แม้รับมือกับการร่วมมือกันของฟู่ชางและหลงอวี้เทียน สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ยังคงดูผ่อนคลายเช่นเดิม การเคลื่อนไหวของนางยังคงรวดเร็วและทุกท่วงท่าเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้ที่ติส่งผลให้อีกฝ่ายไม่สามารถหาจังหวะเอาชนะนางได้
ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของฉินอวี้โม่เหนือชั้นเกินกว่าที่จอมยุทธ์ผู้มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราจะเทียบชั้นได้ แม้ฟู่ชางและหลงอวี้เทียนจะแข็งแกร่งมาก แต่ตราบใดที่ไม่แสดงไพ่ตายทั้งหมดที่มี พวกเขาก็ไม่มีทางเอาชนะนางได้อย่างแน่นอน
“พอเถอะ หยุดการต่อสู้เพียงเท่านี้”
หลังจากติดอยู่ในสภาวะจนมุมนานสองก้านธูป ฟู่ชางและหลงอวี้เทียนก็เริ่มถอยหลังและยกมือเพื่อหยุดการต่อสู้
นี่เป็นเพียงการดวลฝีมือเพื่อเรียนรู้จากกันและกัน พวกเขาเพียงต้องการทราบถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่เท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ได้ทราบแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยมา พละกำลังทางร่างกายของพวกเขาก็เริ่มลดน้อยลงและเกิดความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังคงโจมตีอย่างดุดันและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หากสถานการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป เกรงว่าพวกเขาทั้งสองจะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายเป็นแน่
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถือเป็นผู้อาวุโสที่สถานะสูงและมีหน้ามีตาที่ต้องรักษาไว้ แม้การถอนตัวในตอนนี้จะดูน่าอับอายเล็กน้อย ทว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็ยังมิใช่ความพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์
“พี่อวี้โม่ชนะแล้ว พี่อวี้โม่ชนะแล้ว”
หลงเฟยเอ๋อร์กระโดดโหยงและตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น การที่เห็นฉินอวี้โม่เอาชนะได้ นางก็ดีใจยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก
ทุกคนพูดไม่ออกเล็กน้อยทว่าไม่ผิดคาดเท่าใดนัก หลงเฟยเอ๋อร์เป็นผู้สนับสนุนตัวยงของฉินอวี้โม่ อีกทั้งชื่นชอบและจงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก หลังจากนี้ เกรงว่าความชื่นชมเหล่านั้นก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“เฟยเอ๋อร์ ไว้หน้าพ่อของเจ้าบ้างเถอะ”
หลงอวี้เทียนส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและเขกศีรษะบุตรสาวเบา ๆ ทว่าไม่ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด
“ไปกันเถอะ กลับไปพักผ่อนกันก่อน หลังจากนี้เราจะรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน”
เขาโบกมือเพื่อให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป หลังจากใช้เวลาอยู่ที่นี่ยาวนานกว่าครึ่งวัน เขาก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา การต่อสู้ระยะประชิดอย่างยาวนานย่อมเป็นการใช้พละกำลังทางร่างกายไปอย่างสิ้นเปลือง เพราะด้วยความแข็งแกร่งในระดับของพวกเขา พวกเขาไม่ควรที่จะรู้สึกหิวโหยเช่นนี้ในสถานการณ์ปกติ
ทุกคนไม่คัดค้านและแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนที่พักของตน
หลังจากที่ฉินอวี้โม่ ฟู่ชางและหลงอวี้เทียนอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จสิ้น ทุกคนก็รวมตัวกันอีกครั้งในห้องอาหาร
“เสี่ยวอวี้โม่ ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของเจ้า เจ้าคงจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ได้ภายในเวลาห้าปี”
ความเร็วในการฝึกยุทธ์และการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ถือว่ารวดเร็วอย่างยิ่ง สำหรับอีกไม่กี่ระดับหลังจากนี้ คาดว่าเวลาห้าปีคงจะมากเกินพอ
“ห้าปีคงจะนานเกินไปเจ้าค่ะ หากเป็นไปได้ หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้น ข้าก็จะเก็บตัวบ่มเพาะและหวังว่าจะทะลวงพลังต่อไปได้โดยเร็วที่สุด”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะทว่าแอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
หลังจากสะสางเรื่องราวในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้น มันก็ควรแก่เวลาที่นางจะเข้าสู่ช่วงเก็บตัวสักระยะ…