ณ โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างเงียบสงบและไม่มีเรื่องวุ่นวายใด
หลายตระกูลใหญ่ในเมืองเซิ่งหลิงผนึกกำลังร่วมกันและเดินหน้าพัฒนาความแข็งแกร่งของตนตลอดช่วงที่ผ่านมา สำหรับวิหารเมฆาโบยบิน ทุกคนที่นั่นก็หมั่นฝึกฝนกันอย่างหนักโดยที่ไม่กล้าอุดอู้แม้แต่น้อย
วัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานก็ถูกรวบรวมได้เกือบครบแล้วและเหลือเพียงรอให้ศิษย์ของตระกูลเยี่ยส่งพวกมันกลับมาที่เมืองเซิ่งหลิงเพื่อที่จะได้เริ่มกระบวนการหลอมโอสถ
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เยี่ยเฟิงก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในจวนตระกูลเพื่อปรับสภาวะพลังของตนเองให้เสถียรมั่นคงขึ้นและจับตาดูสถานการณ์ของเยี่ยชางไห่ไปในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่ฉินอวี้โม่เดินทางไปยังดินแดนมหาเทพ อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็ออกจากเมืองเซิ่งหลิงเนื่องจากความเบื่อหน่ายและกำลังท่องไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อฝึกวิชาสั่งสมประสบการณ์
ในเวลานี้ ภายในมิติพิเศษของตระกูลหมิง
ต้องยอมรับว่าจวนตระกูลหมิงมีความกว้างใหญ่อย่างยิ่งและกว้างใหญ่ยิ่งกว่าวิหารเมฆาโบยบินมากนัก อีกทั้งมิติพิเศษที่เป็นที่ตั้งของจวนตระกูลก็มีสภาวะพลังที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงหลายเท่าตัว
ตึก ตึก ตึก !
ณ เรือนหลังเล็กแห่งหนึ่ง หมิงฮ่วนกำลังพักผ่อนอย่างสบาย ๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
“หมิงฮ่วน เจ้ายังมีหน้ามานอนอยู่ที่นี่อีกงั้นรึ ?!”
น้ำเสียงเชิงตำหนิดังขึ้นในหูของหมิงฮ่วนพร้อมกับใครคนหนึ่งที่ผลักประตูลานกว้างเดินเข้ามา
“หมิงหยาง มีเรื่องอะไรงั้นรึ ?”
เมื่อเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามา แววตาของหมิงฮ่วนก็แสดงความไม่พอใจแวบหนึ่งทว่าปกปิดไว้อย่างรวดเร็วและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เหอะ ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะจัดการกับขุมกำลังพวกนั้นอย่างไร ทว่าเจ้ากลับมานอนอยู่อย่างสบายใจเฉิบเช่นนี้ หากมิใช่เพราะเจ้าทำภารกิจคราก่อนล้มเหลว ตระกูลเยี่ยก็คงจะถูกทำลายไปนานแล้ว มีที่ไหนที่จะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมาอีก ?!”
หมิงหยางแค่นเสียงเย็นชาและยืดอกวางท่าสูงส่งขณะเดินเข้ามาในห้องและนั่งลง
“ข้าได้รับบทลงโทษไปแล้วและท่านผู้นำก็สั่งให้ข้ากลับมาคิดทบทวนถึงความผิดพลาดของตนเอง ผู้อาวุโสสิบเอ็ดมีปัญหากับคำสั่งท่านผู้นำงั้นรึ ?”
หมิงฮ่วนกล่าวอย่างไม่แยแส เขาและผู้อาวุโสสิบเอ็ดหมิงหยางเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเสมอ
หลังจากกลับมาคราก่อน เขาก็รายงานกับผู้นำตระกูลหมิงว่าภารกิจของตนล้มเหลว ตระกูลใหญ่ทั้งสามตระกูลในเมืองเซิ่งหลิงตกลงร่วมมือกันและเยี่ยชางไห่ก็อาการดีขึ้นมากจนฟื้นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่มีหนทางที่จะต่อกรกับตระกูลเยี่ยได้
สิ่งที่เขารายงานออกไปก็เป็นสิ่งที่จริงครึ่งไม่จริงครึ่งและเป็นสิ่งที่เขาคิดทบทวนมาอย่างดีซึ่งคนตระกูลหมิงไม่ได้นึกสงสัยสิ่งใดแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ต้องถูกลงโทษจากการที่ทำภารกิจล้มเหลวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หมิงฮ่วนไม่สนใจแม้แต่น้อย อย่างน้อยที่สุด ตระกูลหมิงก็ล้มเลิกความคิดที่จะเดินหน้าโจมตีตระกูลเยี่ยในตอนนี้และตัดสินใจรอโอกาสที่เหมาะสม
ในช่วงนี้หมิงหยางก็มักแวะเวียนมากล่าววาจาถากถางเขาเป็นประจำ ทว่าหมิงฮ่วนเมินเฉยอย่างสิ้นเชิงและไม่คิดที่จะเสียเวลาโต้ตอบ
“หมิงฮ่วน เจ้าอย่าคิดพูดจายุแยงเพื่อให้ผู้อื่นแตกหักกันเลย แน่นอนว่าข้าไม่มีปัญหากับคำสั่งของท่านผู้นำ ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะท่านผู้นำสั่งให้ข้ามาเรียกเจ้าไปพบ มิเช่นนั้น คิดว่าข้าจะอยากเสียเวลามาที่รังหนูของเจ้างั้นรึ ?”
หมิงหยางไม่กล้าขัดคำสั่งหรือคลางแคลงในใจวาจาของผู้นำตระกูลหมิงแม้แต่น้อย เขาทราบดีว่าผู้นำตระกูลหมิงเป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมเพียงใด หากผู้นำตระกูลทราบว่าผู้อาวุโสอย่างเขากังขาในคำสั่ง หมิงหยางก็พอจะคาดเดาชะตากรรมต่อไปของตนได้ไม่ยาก
ครานี้ผู้นำตระกูลหมิงต้องการเรียกตัวหมิงฮ่วนไปพบเพื่อหารือเรื่องบางอย่าง เขาจึงเสนอตัวมาเรียกอีกฝ่ายและต้องการถือโอกาสนี้ในการกล่าววาจาเย้ยหยันอีกฝ่ายเช่นกัน
ทัศนคติท่าทางไม่แยแสสิ่งใดของหมิงฮ่วนทำให้หมิงหยางรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าหมิงฮ่วนเท่าใดนักและตระกูลหมิงชิงชังความขัดแย้งกันเองภายในเป็นที่สุด เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดมากจนเกินไป
“เข้าใจแล้ว ข้าจะออกไปทันที”
หมิงฮ่วนยังไม่คิดไว้หน้าหมิงหยางและเพียงกล่าวอย่างเย็นชาก่อนเดินนำออกไปจากบริเวณเรือน
“เหอะ หมิงฮ่วน อยากเห็นนักว่าเจ้าจะวางท่าโอหังไปได้อีกนานเพียงใด !”
เมื่อเห็นหมิงฮ่วนเดินจากไป หมิงหยางก็แค่นเสียงเย็นชาและรีบเดินตามไปไม่ห่าง
ภายในบริเวณเรือนหลักของจวนตระกูลหมิง หมิงจื้อเหยี่ยน—ผู้นำตระกูลหมิงและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลกำลังรวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าเพื่อหารือถึงวิธีจัดการกับขุมกำลังอื่นในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ความคิดของผู้อาวุโสส่วนหนึ่งคือการเริ่มลงมือในทันทีโดยฉวยโอกาสโจมตีในขณะที่อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน ทว่าผู้อาวุโสบางส่วนก็รู้สึกว่าขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนเตรียมความพร้อมไว้แล้วและอาจก่อให้เกิดความโกรธเคืองต่อสาธารณะหากพวกเขาบุกโจมตีอีกฝ่ายโดยที่ไร้เหตุผลสมควร เมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์จะลงเอยในทิศทางที่ไม่ดีนัก
เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งหมดแบ่งกันออกเป็นสองฝ่ายโดยที่ยังหารือกันและไม่สามารถหาข้อสรุปสำหรับเรื่องนี้ได้
สาเหตุที่หมิงจื้อเหยี่ยนเรียกพบหมิงฮ่วนก็เพราะต้องการถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกภายนอกเพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไร
ในเวลานี้ หมิงฮ่วนก็เดินเข้าไปในห้องโถงท่ามกลางสายตาของบรรดาผู้อาวุโสทุกคนที่จับจ้องมาที่ตน
“คารวะท่านผู้นำขอรับ”
หมิงฮ่วนประกบกำปั้นและโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อมเป็นพิเศษ
“ลุกขึ้นเถอะ”
หมิงจื้อเหยี่ยนโบกมือเพื่อให้หมิงฮ่วนยืดตัวขึ้นตามเดิม
ความแข็งแกร่งของหมิงจื้อเหยี่ยนในตอนนี้บรรลุถึงระดับที่เหนือเกินกว่าที่พวกเขาจะหยั่งถึงแล้ว แม้แต่หมิงฮ่วนก็ยังรู้สึกว่าต่อให้บรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดในตระกูลหมิงร่วมมือกันก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะหมิงจื้อเหยี่ยนได้
“หมิงฮ่วน คงจะไม่มีใครที่สืบทราบถึงสถานการณ์ภายนอกมากไปกว่าเจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าเราควรจะเริ่มลงมือในตอนนี้หรือรออีกสักหน่อย ?”
แม้จะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลหมิง หมิงฮ่วนก็มีสถานะที่ต่ำมากและโดยปกติจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรมากนัก หากมิใช่เพราะเขาเป็นตัวแทนที่ถูกส่งไปโลกภายนอกเพื่อทำภารกิจคราก่อน เขาก็คงไม่มีโอกาสได้กล่าวหรือแสดงความเห็นเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำถามของผู้นำตระกูล หมิงฮ่วนก็ไตร่ตรองอย่างรวดเร็วทันที ในตอนนี้เวลาผ่านมาเพียงประมาณหนึ่งปีเท่านั้น เขาจึงยังไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลหมิงเดินหน้าโจมตีได้ ขุมกำลังภายนอกคงจะยังเตรียมความพร้อมไม่สมบูรณ์และยังมีโอกาสน้อยที่จะเอาชนะตระกูลหมิงได้ ตัวเขาเองก็เคยให้คำมั่นกับฉินอวี้โม่ไว้แล้วว่าจะถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้และเขาไม่มีทางผิดคำสัญญานั้นอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น หมิงฮ่วนจึงจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางมิให้ตระกูลหมิงเดินหน้าโจมตีในตอนนี้
“ท่านผู้นำขอรับ ข้าคิดว่ายังไม่เหมาะสมที่จะเริ่มลงมือในตอนนี้”
หมิงฮ่วนแสดงสีหน้าที่จริงจังอย่างยิ่งขณะปิดบังความคิดที่แท้จริงภายในใจและกล่าวออกไป “ในตอนนี้เพิ่งผ่านมาเพียงประมาณหนึ่งปีเท่านั้นและขุมกำลังโลกภายนอกก็คงจะระแวดระวังพวกเราอยู่ หากลงมือในตอนนี้ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผู้คนในดินแดนก็จะหมดความศรัทธาต่อพวกเราไปอย่างแน่นอน สิ่งที่ตระกูลหมิงของเราต้องการคือการปกครองโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มิใช่การบีบบังคับขู่เข็ญให้ขุมกำลังอื่นยอมจำนนต่อเรา…ยิ่งไปกว่านั้น วิหารเมฆาโบยบินก็จับตาดูการเคลื่อนไหวของเราอยู่ไม่ห่าง ตราบใดที่เราลงมือ คนของวิหารไม่ยอมอยู่เฉยแน่ และเมื่อถึงตอนนั้น โอกาสชนะของเราก็คงมีไม่มากนัก”
สิ่งที่หมิงฮ่วนกล่าวมาเป็นความจริงทุกประการและไม่มีการเจือปนด้วยคำโกหกใด บรรดาผู้อาวุโสหลายคนที่ตื่นเต้นกันก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีท่าทีลังเลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อกล่าวถึงวิหารเมฆาโบยบิน พวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามไปได้เลย พลังอำนาจของคนเหล่านั้นแกร่งกล้าอย่างยิ่งและแม้แต่ตระกูลหมิงก็ยังต้องหวาดหวั่นใจ
“ท่านผู้นำขอรับ หมิงฮ่วนพูดถูก ยิ่งไปกว่านั้น หากบรรดาตระกูลใหญ่ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจถอนตัวและละทิ้งถิ่นฐานในดินแดนนี้เพื่อย้ายไปตั้งรกรากในดินแดนมหาเทพ เกรงว่าต่อให้เราจะได้ปกครองดินแดนนี้ มันก็คงจะไร้ความหมาย”
ผู้อาวุโสใหญ่หมิงชิงกล่าวถึงความเป็นไปได้ในอีกด้านหนึ่ง
“ที่พวกเจ้ากล่าวมาถือว่ามีเหตุผลมากทีเดียว”
หมิงจื้อเหยี่ยนไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาเองก็ยังหวาดหวั่นต่อจ้าววิหารเมฆาโบยบินอยู่ไม่น้อย ในอดีตครานั้นที่ตระกูลหมิงบุกโจมตีวิหารเมฆาโบยบิน บุรุษผู้นั้นก็สามารถรับมือกับฝ่ายของพวกเขาได้ด้วยตัวคนเดียว สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็คงจะเพิ่มขึ้นมากซึ่งทำให้รับมือได้ยากยิ่งกว่าเดิม
หากตัดสินใจลงมือในตอนนี้ วิหารเมฆาโบยบินจะไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่ควรทำสิ่งใดลงไปอย่างบุ่มบ่าม
“หมิงฮ่วน ไปที่จวนตระกูลเยี่ยอีกครั้งและแจ้งข่าวของฉินเหยียน อยากเห็นนักว่าคนตระกูลเยี่ยจะตัดสินใจกันอย่างไร !”