ในเวลานี้ ฉินเหยียนถูกขังไว้ในห้องหนึ่งภายในเขตหวงห้ามของตระกูลหมิง สีหน้าของนางเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใดขณะนั่งขัดสมาธิบนเตียงและบ่มเพาะพลังอย่างเงียบ ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างเป็นสตรีที่ใจใหญ่จริงเชียว ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังคงบ่มเพาะพลังได้อย่างสงบจิตสงบใจ นี่เจ้าไม่ทราบรึว่าเจ้าเป็นเครื่องมือที่ตระกูลหมิงของเราจะใช้เพื่อข่มขู่ตระกูลเยี่ย ?”
เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นภายในห้องและมันคือเสียงของหมิงฮ่วนนั่นเอง
หมิงจื้อเหยี่ยนสั่งให้เขาเดินทางไปที่เมืองเซิ่งหลิงอีกครั้งและกำชับให้เขานำสิ่งของบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉินเหยียนไปแสดงต่อคนที่นั่น
นี่เป็นครั้งแรกที่หมิงฮ่วนได้พบกับฉินเหยียนผู้ซึ่งถูกกักขังไว้ภายในเขตหวงห้าม และหากมองจากพื้นผิวภายนอก มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะนึกสงสัยสิ่งใด
ฉินเหยียนผู้มีใบหน้าเรียบเฉยลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และมองตรงไปที่หมิงฮ่วนก่อนกล่าวอย่างไม่แยแส “พวกเจ้าตระกูลหมิงอยากเห็นท่าทางกระวนกระวายหรือหวาดกลัวของข้าสินะ น่าเสียดายที่พวกเจ้าคงต้องผิดหวัง”
อันที่จริง ทั้งสองได้เริ่มการสื่อสารทางกระแสจิตระหว่างกันแล้วและมีเพียงสองฝ่ายเท่านั้นที่ทราบถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้น
“ฉินเหยียน ข้าจะเดินทางไปที่ตระกูลเยี่ยในไม่ช้า มีสิ่งใดที่อยากให้ข้าบอกกับนายหญิงและเยี่ยเฟิงรึไม่ ?”
เขาเปิดเผยสถานะของตนเองออกไปโดยตรงและไม่คิดปิดบังเรื่องที่เขายอมจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว
ฉินเหยียนก็ไม่คลางแคลงใจแม้แต่น้อย เพราะหากเขาไม่ได้ยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่จริง ผู้อาวุโสของตระกูลหมิงคงไม่มีทางเสียเวลากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้อย่างแน่นอน
“บอกพวกนางว่าสถานการณ์โดยรวมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ในตอนนี้ข้ายังไม่ตกอยู่ในอันตรายใด เพราะฉะนั้น พวกนางก็ไม่ต้องกังวลไป”
ฉินเหยียนกล่าวเพียงสั้น ๆ เนื่องจากทราบดีว่าไม่มีเวลายืดเยื้อมากนัก หากกล่าววาจาไร้สาระมากจนเกินไป เกรงว่ามันอาจทำให้หมิงจื้อเหยี่ยนนึกสงสัยขึ้นมา
ทัศนคติของฉินเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือนางไม่ต้องการทำให้การตัดสินใจของฉินอวี้โม่และทุกคนต้องไขว้เขวเพราะตน
อีกอย่าง ตระกูลหมิงจับตัวนางไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ตระกูลเยี่ย ตราบใดที่ตระกูลเยี่ยไม่คล้อยตามพวกเขา ตระกูลหมิงคงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามจนเกินไปและชีวิตของนางก็จะยังไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน
“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรายงานให้นายหญิงได้ทราบ”
หมิงฮ่วนพยักศีรษะพลางตอบกลับก่อนกล่าวเสียงดัง “หากข้าเป็นเจ้า การที่ต้องกลายเป็นภาระของคนที่ข้ารักและทำให้พวกเขาเดือดร้อนกันเช่นนี้ ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
“เหอะ พวกเจ้าตระกูลหมิงไม่ได้พบกับจุดจบที่ดีแน่ !”
ฉินเหยียนแค่นเสียงเย้ยหยันขณะสอบถามหมิงฮ่วนเกี่ยวกับฉินเฟิง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ผ่านทางกระแสจิต
“ไม่ต้องกังวล ทุกคนสบายดี อีกอย่าง…เราวางแผนสำหรับการรับมือกับตระกูลหมิงไว้แล้ว ครานี้ข้าจะไปที่จวนตระกูลเยี่ยเพื่อหารือว่าจะหาทางช่วยเจ้าและคนของตระกูลเยี่ยออกไปก่อนได้รึไม่”
หมิงฮ่วนอธิบายฉินเหยียนเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และทุกคนผ่านทางกระแสจิตก่อนเปล่งเสียงออกมาอย่างก้าวร้าว “ฉินเหยียน ให้ความร่วมมือเสียดี ๆ เถอะ ส่งกระบี่ยาวของเจ้ามาเดี๋ยวนี้และมันจะช่วยให้เจ้าไม่ต้องทรมานมากจนเกินไป ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด หากยังยืนกรานที่จะขัดขืน อย่าหาว่าข้าเสียมารยาทก็แล้วกัน !”
“คิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือข่มขู่ตระกูลเยี่ยงั้นรึ ? ฝันไปเถอะ !”
แน่นอนว่าฉินเหยียนไม่มีทางยื่นกระบี่ยาวของตนให้ ‘อย่างว่าง่าย’ ทว่าสาดวาจาตอบโต้หมิงฮ่วนอย่างไม่ยินยอม
จากนั้นทั้งสองก็ปลดปล่อยการโจมตีใส่กันหลายกระบวนท่าก่อนที่ฉินเหยียนจะแสร้งทำเป็นเพลี่ยงพล้ำไปและปล่อยให้กระบี่ยาวของตนตกไปอยู่ในมือของหมิงฮ่วนในที่สุด
“เหอะ อยากเห็นนักว่าคนตระกูลเยี่ยจะทำหน้าอย่างไรเมื่อได้เห็นกระบี่เล่มนี้อยู่ในมือของข้า !”
หมิงฮ่วนกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังและเดินจากไป
ทันทีที่ก้าวออกจากพื้นที่ของเขตหวงห้าม เขาก็พบกับหมิงจื้อเหยี่ยนผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
“เป็นอย่างไรบ้าง ? เจ้าได้มารึไม่ ?”
หมิงจื้อเหยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เป็นจริงดังที่คิดไว้ เขาจับตาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างใกล้ชิดและไม่เชื่อใจหมิงฮ่วนโดยสมบูรณ์
“ท่านผู้นำ นี่คือกระบี่ของนาง ข้าเชื่อว่าเยี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ จะต้องจดจำมันได้แน่ เมื่อทราบว่านางอยู่ในกำมือของเรา เกรงว่าตระกูลเยี่ยคงต้องยอมจำนนต่อเราแต่โดยดี !”
หมิงฮ่วนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะยื่นกระบี่เล่มยาวของฉินเหยียนให้หมิงจื้อเหยี่ยนดู
“เอาล่ะ หมิงฮ่วน แม้เจ้าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหมิง เจ้าก็ไม่เคยได้รับความสำคัญมากนัก ข้าให้สัญญาว่าหากเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ข้าจะเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสสิบของตระกูลหมิง เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องทุ่มเทพยายามให้เต็มที่ !”
หมิงจื้อเหยี่ยนพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจและกล่าวต่อ
แม้ภารกิจคราก่อนของหมิงฮ่วนล้มเหลวไม่เป็นท่า ทว่าตราบใดที่ทำผลงานครานี้ได้เป็นอย่างดี เขาก็จะให้โอกาสหมิงฮ่วน
“ขอรับท่านผู้นำ ข้าจะดำเนินการเรื่องนี้ให้สำเร็จอย่างราบรื่น !”
หมิงฮ่วนแสร้งทำเป็นตื่นเต้นกับคำสัญญานั้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“อีกอย่าง หลังจากออกไปครานี้ เจ้าจงไปสืบหาความเคลื่อนไหวของวิหารเมฆาโบยบินมาด้วย ในเมื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าเชื่อว่าวิหารเมฆาโบยบินคงไม่อยู่เฉยแน่”
หมิงฮ่วนพยักศีรษะตอบรับก่อนเดินทางออกจากตระกูลหมิงและมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเยี่ย
ไม่นานหลังจากเขาออกไป ใครคนหนึ่งจากตระกูลหมิงก็เหาะตามไปในทิศทางนั้นอย่างเงียบ ๆ และเห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขา
อย่างไรก็ตาม หมิงฮ่วนคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วและไม่สนใจเท่าใดนัก
ณ จวนตระกูลเยี่ย บรรยากาศในช่วงที่ผ่านมาเงียบสงบอย่างมาก คนกลุ่มหนึ่งถูกส่งออกไปรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานในขณะที่ส่วนที่เหลือจดจ่อกับการฝึกฝนอย่างหนักด้วยหวังว่าจะมีส่วนช่วยได้ไม่มากก็น้อยเมื่อถึงสงครามการประจันหน้ากับตระกูลหมิง
แม้เยี่ยชางไห่จะยังไม่ฟื้นขึ้นมา ทว่าอาการของเขาก็คงที่และไม่เป็นอันตรายใดในช่วงนี้ เยี่ยเฟิงมักถ่ายทอดพลังมายาของตนให้กับเขาเป็นระยะ ๆ ซึ่งช่วยให้สีหน้าของเยี่ยชางไห่ดูสดใสขึ้นเรื่อย ๆ และช่วยให้อาการคงที่มากขึ้น
เวลานี้พวกเขาต้องการเพียงโอสถนิพพานเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้น เยี่ยชางไห่ก็จะฟื้นขึ้นมาและมีโอกาสที่จะทะลวงพลังได้
“เยี่ยเฟิง โผล่หัวออกมาซะ !”
ในวันนี้เยี่ยเฟิงกำลังตรวจดูอาการโดยรวมของเยี่ยชางไห่ตามปกติเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เหอะ หมิงฮ่วน นี่เจ้าเข้ามารนหาที่ตายอีกแล้วรึ ?”
เยี่ยเฟิงเป็นคนไหวพริบดีและทราบได้ทันทีว่าสาเหตุที่หมิงฮ่วนแสดงทัศนคติท่าทางเช่นนี้ออกมาจะต้องเป็นเพราะมีบางอย่างอยู่เบื้องหลังแน่ เพราะเหตุนั้น เขาจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นทราบว่าหมิงฮ่วนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกตนแล้ว
“เยี่ยเฟิง เจ้าคิดว่าสิ่งนี้คืออะไร ?”
หมิงฮ่วนเหาะขึ้นสูงกลางอากาศและโยนกระบี่เล่มยาวตรงไปหาเยี่ยเฟิง
เยี่ยเฟิงรับมันไว้อย่างรวดเร็วและมองดูครู่หนึ่งก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“หมิงฮ่วน ! กระบี่ของเหยียนเอ๋อร์อยู่กับเจ้าได้อย่างไรกัน ?!”
เขาตวัดสายตามองหมิงฮ่วนอย่างดุร้ายและกล่าวอย่างเย็นชา
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นก็เป็นเพราะฉินเหยียนอยู่ในกำมือของพวกเราตระกูลหมิงยังไงล่ะ !”
หมิงฮ่วนหัวเราะอย่างสาแก่ใจก่อนกล่าวต่อ “พวกเราเชิญฉินเหยียนไปเป็นแขกที่ตระกูลมาพักใหญ่แล้วและตอนนี้นางก็อาศัยอยู่ที่จวนตระกูลของเราอย่างมีความสุขดี”
“ไม่มีทาง พวกเจ้าจะต้องใช้กำลังในการจับตัวเหยียนเอ๋อร์เป็นแน่ หมิงฮ่วน ตระกูลหมิงของพวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?”
เยี่ยเฟิงส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อและแผ่แรงกดดันออกไปสู่หมิงฮ่วนทันที
“เยี่ยเฟิง แรงกดดันของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ความแข็งแกร่งของเจ้ายังด้อยกว่าข้านัก ข้าจะกลัวแรงกดดันนี้ได้อย่างไร ? วันนี้ข้ามาในนามของท่านผู้นำเพื่อสั่งให้พวกเจ้าตระกูลเยี่ยยอมจำนนต่อเราเสีย หากพวกเจ้ายอมจำนนแต่โดยดี เราจะปล่อยฉินเหยียนและไว้ชีวิตตระกูลเยี่ย แต่หากไม่เชื่อฟัง..อย่าหาข้าพวกข้าโหดร้ายเกินไปก็แล้วกัน!”
วาจาของหมิงฮ่วนแสดงถึงความข่มขู่อย่างชัดเจนและเสียงดังสนั่นจนได้ยินไปทั่วทั้งเมืองเซิ่งหลิง
“เยี่ยเฟิง อย่ารับปากเขาเด็ดขาด !”
ผู้นำของอีกสองตระกูลทราบข่าวอย่างรวดเร็วและรีบปรี่มาที่นี่ทันที ในเวลานี้เซี่ยโป๋ยวี๋ก็กล่าวเสียงดังฟังชัดก่อนเหาะไปข้างกายเยี่ยเฟิงเพื่อประจันหน้ากับหมิงฮ่วน