……
ไม่ไกลจากเมืองเซิ่งหลิง หมิงหยางก็ได้ยินวาจาของหมิงฮ่วนและเห็นการประจันหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน
“เหอะ เดิมทีข้าคิดว่าหมิงฮ่วนจะแปรพักตร์ไปร่วมมือกับคนของเมืองเซิ่งหลิง เห็นทีข้าคงจะคิดมากเกินไป ช่างน่าเสียดายที่ข้ายังหาโอกาสเล่นงานเขาไม่ได้ !”
หมิงหยางแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์นัก การที่เขาแอบตามมาในครานี้เป็นเพราะสงสัยว่าหมิงฮ่วนแอบร่วมมือกับคนในเมืองเซิ่งหลิงและต้องการพิสูจน์ข้อสงสัยนั้นให้เห็นกับตา น่าเสียดายที่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดไป
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้แสดงให้เห็นว่าหมิงฮ่วนไม่ได้มีข้อตกลงหรือวางแผนสมคบคิดกับคนในเมืองนี้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่มีเหตุผลสมควรเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายดังที่ต้องการ
“พวกเจ้าคิดจะต่อต้านขัดขืนตระกูลหมิงของเราไปจนถึงที่สุดรึ ?”
ในฝั่งของหมิงฮ่วน เขาก็เตรียมคำพูดมาก่อนแล้ว ในเวลานี้เขาก็กล่าวต่ออย่างไม่มีท่าทีโกรธแค้นใด ๆ “คิดดูให้ดีล่ะ ชีวิตของฉินเหยียนอยู่ในกำมือของพวกเราตระกูลหมิง หากพวกเจ้ายังยืนกรานที่จะต่อต้านพวกข้า ชีวิตของนางก็อาจจะต้องจบลง และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต่อให้จะต่อต้านขัดขืนไป พวกเจ้าก็มิใช่คู่มือของพวกข้าตระกูลหมิงอยู่ดี”
น้ำเสียงของเขาแสดงถึงคำข่มขู่อย่างไม่ปิดบังและจงใจกล่าวให้ ‘ทุกคน’ ได้ยินเช่นเดียวกัน
“เหอะ หมิงฮ่วน อย่ามาข่มขู่พวกข้าจะดีกว่า ต่อให้ต้องตาย เราก็ไม่มีวันยอมจำนนต่อตระกูลหมิง !”
เยี่ยเฟิงแค่นเสียงตอบโต้และกล่าวต่อ “ในอดีตที่ตระกูลหมิงทำลายตระกูลมารดาของข้าไป ข้าก็ยังไม่ได้สะสางความแค้นในเรื่องนั้นเลย รอก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำลายตระกูลหมิงของพวกเจ้าด้วยมือของข้าเองและบั่นคอผู้นำตระกูลหมิงเพื่อสังเวยต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษของข้าในสรวงสวรรค์ !”
“หมิงฮ่วน พวกเจ้าตระกูลหมิงอย่าล้ำเส้นกันเกินไปนัก ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีเพียงพวกเราเท่านั้น วิหารเมฆาโบยบินก็ไม่มีทางอยู่เฉยแน่หากพวกเจ้าก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายขึ้นมาในดินแดน ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าหยุดความคิดทั้งหมดนั้นเสียและอย่าทำลายความสมดุลของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกเลย”
เซี่ยโป๋ยวี๋กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“วิหารเมฆาโบยบินงั้นรึ ? พวกเราตระกูลหมิงจะทำลายพวกนั้นให้สิ้นซากอย่างแน่นอน ผู้ที่เชื่อฟังพวกเราจะเจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ส่วนผู้ที่ต่อต้านพวกเราก็จะต้องถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น พวกเจ้ารอดูเถอะ !”
หมิงฮ่วนกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังกลับและเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
“ตระกูลหมิงช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก หากพวกเขายังไม่ล้มเลิกแผนการ เราจะบุกไปที่จวนตระกูลหมิงและต่อสู้กับพวกเขาให้รู้แล้วรู้รอด !”
หูอี้ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาทราบดีว่าฉินเหยียนมีความสำคัญต่อเยี่ยเฟิงมากเพียงใด เขาจึงกล่าวเสนอความคิดไป
“กลับไปกันเถอะ”
เยี่ยเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ และไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดอีก จากนั้นเมื่อทุกคนเข้าไปในห้องโถงด้วยกัน เยี่ยเฟิงก็สร้างม่านป้องกันขึ้นมารอบห้องเพื่อมิให้คนนอกได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในนั้น
“เกิดอะไรขึ้นรึ ?”
ทุกคนนั่งลงและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ทันทีเนื่องจากคาดเดาได้ว่าหมิงฮ่วนน่าจะสื่อสารบางอย่างกับเยี่ยเฟิง
“เหยียนเอ๋อร์ถูกขังอยู่ในเขตหวงห้ามในจวนตระกูลเยี่ย นางยังปลอดภัยดีและอย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่เป็นอันตรายในช่วงนี้ สิ่งที่หมิงฮ่วนต้องการคือให้เราหาทางถ่วงเวลาไว้ในขณะที่เขาจะหาทางช่วยเหยียนเอ๋อร์ หากแผนการนี้ไม่สำเร็จ เราจะหาทางอื่นต่อไป”
ท่ามกลางการสาดวาจาตอบโต้เมื่อครู่ หมิงฮ่วนก็แอบสื่อสารกับเยี่ยเฟิงผ่านทางกระแสจิตและได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันของฉินเหยียน รวมถึงมิให้พวกเขาบุ่มบ่ามลงมือทำสิ่งใด
“ฮู้~ โล่งใจที่นางยังไม่เป็นอันตราย”
เยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนกล่าวต่อ “จู่ ๆ ตาเฒ่าตระกูลหมิงนั่นก็สั่งให้หมิงฮ่วนนำกระบี่ของฉินเหยียนมาให้พวกเราได้เห็น เกรงว่าพวกเขาคงพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อแล้ว เพียงแต่เรายังไม่ทราบเลยว่าวิหารเมฆาโบยบินพร้อมแล้วหรือยัง…”
การผนึกกำลังร่วมกับวิหารเมฆาโบยบินช่วยให้ขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะประจันหน้ากับตระกูลหมิงได้ หากไม่มีคนเหล่านั้น เกรงว่าด้วยลำพังพวกเขาเอง พวกเขาคงไม่มีทางเอาชนะตระกูลหมิงได้อย่างแน่นอน
“อีกอย่าง…อวี้โม่จะกลับมาเมื่อใดรึ ?”
เซี่ยโป๋ยวี๋และคนอื่น ๆ ทราบแล้วเช่นกันว่าฉินอวี้โม่เดินทางกลับไปยังดินแดนมหาเทพเพื่อตามหาฉินอี้เฟย อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ พวกเขาเริ่มคิดว่าจะต้องแจ้งข่าวให้นางทราบเพื่อให้นางกลับมาเร็วยิ่งขึ้น
“นายหญิงกำลังจะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
มารยากล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนหน้านี้มันได้ส่งกระแสจิตไปหาฉินอวี้โม่แล้วและทราบว่านางกำลังจะกลับมาถึงในอีกไม่กี่วัน…
ณ เมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลางในดินแดนมหาเทพ จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ได้รับข่าวล่าสุดจากมารยา
“เกิดอะไรขึ้นรึ ?”
เวลานี้ทุกคนกำลังนั่งประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้า ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยจึงเอ่ยถามด้วยความกังวล
“มีข่าวจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ้าค่ะ สถานการณ์ที่นั่นไม่สู้ดีนัก เราต้องเดินทางกลับไปที่นั่นเพื่อสะสางความวุ่นวายโดยเร็ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวก่อนอธิบายต่อว่าเดิมทีตนวางแผนที่จะอยู่ที่เมืองราชวงศ์สักระยะ ทว่าในตอนนี้ไม่สามารถทำตามแผนการนั้นได้อีกต่อไป
ในเมื่อตระกูลหมิงเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางรออย่างเงียบ ๆ อีกเป็นแน่และเกรงว่าจะมีการเคลื่อนไหวต่อไปในไม่ช้า
ต่อให้ฝ่ายของพวกนางจะยังไม่พร้อมโดยสมบูรณ์ ทว่าพวกเขาก็อาจจะเริ่มลงมือได้ทุกเมื่อ เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงต้องเดินทางกลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และให้ฉินอี้เฟยหลอมโอสถนิพพานโดยเร็วที่สุดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีของตระกูลหมิง
“มารยา ถามศิษย์พี่ของข้าว่าคนของตระกูลเยี่ยที่ถูกส่งออกไปรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถนิพพานอยู่ที่ใด ข้าและพี่ใหญ่จะไปพบคนเหล่านั้นก่อนและเดินทางกลับจวนตระกูลด้วยกัน”
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจว่าจะไปพบกับคนที่ตระกูลเยี่ยส่งออกไปรวบรวมวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถก่อน
ตราบใดที่คนเหล่านั้นพบวัตถุดิบที่ต้องการและได้มันมาครองแล้ว ฉินอี้เฟยก็สามารถดำเนินการหลอมโอสถนิพพานในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที เมื่อกลับถึงเมืองเซิ่งหลิง โอถสนิพพานก็อาจจะถูกหลอมจนสำเร็จแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น เยี่ยชางไห่ก็จะฟื้นขึ้นมาและโอกาสที่จะเอาชนะตระกูลหมิงก็จะเพิ่มมากขึ้น
มารยาก็เอ่ยถามจากเยี่ยเฟิงก่อนแจ้งให้ฉินอวี้โม่ทราบเกี่ยวกับตำแหน่งอย่างคร่าว ๆ ของคนเหล่านั้นเพื่อให้นางไปพบได้โดยตรง
ฉินอวี้โม่ก็รับข้อมูลเหล่านั้นมาและแอบวางแผนอยู่ภายในใจ
หลังจากอยู่ต่อในเมืองราชวงศ์อีกสามวัน ฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วก็เดินทางไปที่สำนักเมฆาครามด้วยกันก่อนมุ่งหน้าไปยังโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้าย
ณ โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หลังจากหมิงฮ่วนออกจากเมืองเซิ่งหลิงได้เพียงไม่นาน หมิงหยางก็เข้ามาขวางทางเขาไว้ทันที
“หมิงฮ่วน เจ้าคิดจะกลับไปง่าย ๆ เช่นนี้รึ?”
หมิงหยางได้ยินบทสนทนาตอบโต้ในเมืองเซิ่งหลิงเมื่อครู่อย่างชัดเจน ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าหมิงฮ่วนจะหันหลังกลับไปเสียดื้อ ๆ และดูไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย
“ทำไมล่ะ ? ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมจำนนต่อตระกูลหมิงของเรา หากข้าอยู่ต่อแล้วข้าจะทำอะไรได้อีก ?”
หมิงฮ่วนตอบกลับอย่างไม่สนใจหมิงหยางเช่นเดิม เขาค้นพบแล้วว่าหมิงหยางแอบตามตนมาอย่างลับ ๆ และเพียงแสร้งทำเป็นไม่ทราบเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่หมิงจื้อเหยี่ยนเริ่มมีท่าทีสงสัยในตัวเขาก็เป็นเพราะหมิงหยางผู้นี้นี่เอง
“หมิงหยาง หากเจ้าต้องการจะจัดการกับคนของเมืองเซิ่งหลิงเหล่านั้นก็เชิญได้เลย แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ คนเหล่านั้นแข็งแกร่งมากและเจ้าก็ไม่มีโอกาสเอาชนะพวกเขาได้แน่ มิเช่นนั้น เจ้าคิดว่าเหตุใดคราก่อนข้าถึงได้ล้มเหลวไปล่ะ ?”
หมิงฮ่วนเอ่ยเตือนหมิงหยางอย่างหวังดีเนื่องจากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายนำชีวิตไปทิ้งก่อน ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้สะสางความบาดหมางและต้องการกำจัดหมิงหยางด้วยตัวเองในสงครามที่จะมาถึง
“เหอะ หากเจ้ากลับไปที่จวนตระกูลเช่นนี้ ท่านผู้นำจะลงโทษเจ้าแน่ หมิงฮ่วน…เกรงว่าเจ้าคงจะรักษาตำแหน่งผู้อาวุโสไม่ได้อีกต่อไป”
หมิงหยางแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยสีหน้ามีความสุข
ครานี้หมิงฮ่วนถูกคนตระกูลเยี่ยและตระกูลอื่นในเมืองเซิ่งหลิงปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า เมื่อกลับไปถึงจวนตระกูลหมิง คาดว่าเขาจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรหมิงฮ่วนก็เป็นผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งรั้งท้ายและไม่มีความสำคัญมาตั้งแต่ต้น เกรงว่าครานี้เขาคงจะรักษาตำแหน่งผู้อาวุโสไม่ได้อีกต่อไป
“แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของเจ้ารึ ?”
หมิงฮ่วนเมินเฉยอีกฝ่ายไปอย่างสิ้นเชิงและเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
“หมิงหยาง หากเจ้าต้องการจะตามข้ามาก็รีบเร็วเข้า แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าจะไปที่วิหารเมฆาโบยบินเป็นจุดหมายต่อไป”