เมื่อฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วเดินทางมาถึงโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกนางก็มุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งของคนตระกูลเยี่ยผู้ซึ่งเดินทางออกไปรวบรวมวัตถุดิบสำหรับโอสถนิพพาน
คนเหล่านั้นก็ได้รับข่าวจากตระกูลเยี่ยแล้วและรอพบฉินอวี้โม่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ‘เมืองเฟิงอวิ๋น’
หลังจากได้พบกับคณะคนตระกูลเยี่ยและได้รับวัตถุดิบเหล่านั้นมา ฉินอี้เฟยก็ตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและเริ่มกระบวนการหลอมโอสถนิพพานทันที
สำหรับเสี่ยวโร่ว ความแข็งแกร่งของนางก็เริ่มพัฒนามากขึ้นหลังจากเข้ามาในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเช่นเดียวกันและเริ่มเก็บตัวบ่มเพาะเพื่อพยายามที่จะทะลวงพลัง
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ส่งคนของตระกูลเยี่ยทั้งหมดเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนขับเคลื่อนตรงไปยังทิศทางของเมืองเซิ่งหลิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัว บรรดาศิษย์ของตระกูลเยี่ยก็เดินชมไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้โดยที่ฉินอวี้โม่ไม่ขัดขวางและปล่อยให้พวกเขาเที่ยวชมได้ตามสบาย
“ซิว ในช่วงนี้ดูเหมือนพลังของเจ้าจะพัฒนาขึ้นมาก”
ในช่วงระหว่างการเดินทางนี้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีอะไรทำมากนัก นางจึงนั่งลงกับบรรดาอสูรและพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ
“ใช่ แต่ข้าก็ยังอ่อนแอพอสมควร หากต้องสู้กับผู้นำตระกูลหมิง ข้าก็ยังไม่มีโอกาสเอาชนะได้ ทว่าหากเทียบกับก่อนหน้านี้ มันก็ถือเป็นการพัฒนาที่มากทีเดียว”
ซิวยังไม่พึงพอใจกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตนเองมากนัก ตอนนี้มันไม่มีโอกาสเอาชนะจอมยุทธ์สองอันดับแรกของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แม้แต่น้อย ต่อให้เป็นเซี่ยโป๋ยวี๋และผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ โอกาสเอาชนะของมันก็ยังไม่สูงนัก ทว่าตอนนี้ความทรงจำของซิวก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมาแล้ว รวมถึงมันได้รับความทรงจำและมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษมามากพอสมควรเช่นกัน มันจึงทราบถึงศักยภาพของตนเองและทราบว่าจะแข็งแกร่งได้อีกเพียงใด น่าเสียดายที่มันยังไม่สามารถฟื้นความแข็งแกร่งในระดับสูงสุดให้กลับคืนมาได้ในเร็ว ๆ นี้
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็มีผลกระทบต่อพลังของซิวเช่นกัน ในฐานะจอมยุทธ์เทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดของนาง ต่อให้ซิวฟื้นคืนความแข็งแกร่งกลับมา อย่างมากมันก็บรรลุได้เพียงระดับเทพสวรรค์เก้าดาราขั้นสูงสุดเท่านั้นและยังไม่สามารถไปได้ไกลกว่านั้น
“นายหญิง พลังของพวกเราก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้หากอสูรทั้งหมดรวมร่างกัน มันก็จะเป็นตัวช่วยให้กับท่านได้อย่างแน่นอน”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ฉินอวี้โม่ พวกมันเองก็ไม่ได้พูดคุยเอื่อยเฉื่อยกับผู้เป็นนายมาเป็นพักใหญ่แล้ว
และก็เป็นจริงดังที่เสี่ยวเฮยกล่าวมา พลังของบรรดาอสูรเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาก เดิมทีพรสวรรค์ของเสี่ยวเฮยอยู่เพียงระดับทั่วไปเท่านั้น ทว่ามันได้โอกาสในการพัฒนาและตอนนี้วิวัฒนาการเข้าสู่ระดับเทพยุทธ์เช่นเดียวกับอสูรอื่นๆโดยมีความแตกต่างกันเพียงไม่มากเท่านั้น
จากวาจาของเสี่ยวเฮย ความแข็งแกร่งของอสูรรวมร่างในตอนนี้บรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด หากประจันหน้ากับเซี่ยโป๋ยวี๋ หูอี้และคนอื่น ๆ พวกมันจะไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน แม้กระทั่งเฟยอวิ๋นในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ดูดซับพลังของผลึกแสงตะวันไป พวกมันก็สามารถรับมือได้เช่นกัน
“นายหญิง หากข้าจำไม่ผิด ในภพก่อนท่านเป็นเด็กกำพร้าใช่รึไม่ ?”
จู่ ๆ ซิวก็นึกถึงชีวิตภพก่อนของฉินอวี้โม่ ในครานั้นนางเป็นสตรีนามว่าชิงเหอและไม่ทราบรายละเอียดภูมิหลังใดแม้แต่น้อย
“ใช่ บางทีอาจจะมีเบาะแสบางอย่างอยู่บ้างหากข้าเดินทางไปที่ดินแดนซึ่งมีระดับที่สูงกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้สนใจนักหรอก ไม่ว่าภูมิหลังที่แท้จริงในชีวิตภพก่อนของข้าจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่สำคัญ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบกลับ หากยังอยู่ในภพก่อน บางทีนางก็อาจจะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของตน ทว่าหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในครานี้ หลายสิ่งหลายอย่างก็ได้เปลี่ยนไปแล้วและนางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับตัวตนในอดีตเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม หากไปที่ดินแดนระดับสูงกว่าและมีโอกาสสืบข้อมูลเหล่านั้น นางก็ไม่รังเกียจที่จะรับรู้ถึงความจริงในภพก่อน
ซิวเพียงยิ้มบาง ๆ และไม่กล่าวสิ่งใดต่อ อันที่จริงมีบางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นในความคิดของมัน อย่างไรก็ตาม ความทรงจำนั้นยังเลือนรางและทราบเพียงว่าสถานะของฉินอวี้โม่ในตอนนั้นไม่ได้ธรรมดาเลย ภาพนับร้อยนับพันฉายวาบไปมาในความคิดของมันซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่บิดามารดาของชิงเหอเคยอาศัยอยู่ในตอนนั้น
หลังจากพูดคุยกับบรรดาอสูรพักใหญ่ พวกมันก็แยกย้ายกันไปฝึกฝนต่อ
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เรียกคนของตระกูลเยี่ยมาพบเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านเรียกพวกเรามาพบเพราะเหตุอันใดหรือขอรับ ?”
คนเหล่านั้นนั่งลงตาม ๆ กันและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
เพราะถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เป็นศิษย์น้องของว่าที่ผู้นำตระกูลในอนาคต อีกทั้งยังแข็งแกร่งและงดงามอย่างยิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาในฐานะศิษย์ของตระกูลเยี่ยย่อมเคารพนางและไม่กล้าเสียมารยาทกับนาง
“ข้าอยากจะถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สักหน่อย”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวต่อ “การที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานแล้ว ไม่ทราบว่าเคยมีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ใดเกิดขึ้นบ้างรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับอดีตของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักและอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
แม้ไม่ทราบว่าผู้ที่สร้างโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คือผู้ใด นางก็มั่นใจว่าคนผู้นั้นจะต้องมีฝีมือที่แกร่งกล้าอย่างที่สุด ในเมื่อโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนเปิดกว้าง แล้วเหตุใดตระกูลหมิงและวิหารเมฆาโบยบินจึงตั้งอยู่ในมิติพิเศษซึ่งแตกต่างจากขุมกำลังอื่น ๆ? นางสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้มีบางอย่างที่ผิดแปลกไปเล็กน้อย
หากผู้ที่ก่อตั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นบรรพบุรุษของตระกูลหมิง ไม่มีทางที่วิหารเมฆาโบยบินก็จะครอบครองมิติพิเศษเช่นนั้นได้และควรที่จะตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในเมืองเซิ่งหลิง
เว้นแต่ว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในอดีต มิเช่นนั้นมันก็คงจะไม่เป็นเหมือนอย่างในปัจจุบันนี้
“เหตุการณ์ใหญ่อย่างนั้นหรือ…”
คนเหล่านั้นใช้ความคิดกันทันที ทว่าพวกเขาก็มิใช่คนแก่คนชราและไม่ทราบเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มากนัก หลายสิ่งหลายอย่างที่ได้ทราบก็มาจากตำราหรือคำบอกเล่าของคนเก่าคนแก่
นอกเหนือจากเหตุการณ์ที่ตระกูลหมิงโจมตีวิหารเมฆาโบยบินและล้มเหลวกลับไปอย่างไม่เป็นท่าก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ใด ๆ เกิดขึ้นอีก
“ข้าหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว นับตั้งแต่ยุคโบราณที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกก่อตั้งขึ้นมา”
ฉินอวี้โม่กล่าวต่อเมื่อเห็นว่าหลายคนตรงหน้านึกสิ่งใดไม่ออก
“หากนึกย้อนไปในอดีตเช่นนั้น มันก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นจริง ๆ”
หนึ่งในนั้นนึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย
“โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตไม่เหมือนทุกวันนี้แม้แต่น้อย ในเวลานั้นยังไม่มีตระกูลใดและมีขุมกำลังใหญ่เพียงแห่งเดียวซึ่งก็คือ ‘เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ กล่าวกันว่าทุกคนในเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีสภาวะร่างกายที่พิเศษและมีความเร็วในการฝึกยุทธ์ที่ใกล้เคียงกัน พวกเขาเป็นตัวตนที่พิเศษมากและทรงพลังเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเทียบชั้นได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทว่าสมาชิกทั้งหมดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หายสาบสูญกันไปและโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเปลี่ยนไปจนกระทั่งมีหลายขุมกำลังก่อกำเนิดขึ้นมาเช่นในปัจจุบัน”
บุรุษผู้นั้นกล่าวถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ทราบซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยินมาจากหลายคนที่ได้พบเมื่อออกไปฝึกยุทธ์นอกเมือง คนเหล่านั้นเล่าเรื่องราวได้อย่างมีคารมคมคายจนไม่น่าเชื่อเท่าใดนัก ทว่าหลังจากที่กลับไปที่จวนตระกูล เขาก็ค้นหาตำราเก่าแก่โบราณและลองศึกษาอ่านดูก่อนพบว่าเคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ตำราเก่าแก่เหล่านั้นไม่มีข้อมูลระบุไว้ว่าเหตุใดเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงหายไปอย่างกะทันหัน แม้หลังจากสอบถามจากบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลก็ไม่มีใครทราบความจริงเช่นกัน และคาดว่าทั้งตระกูลเยี่ยอาจมีเพียงเยี่ยชางไห่เท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้
“กล่าวกันว่าโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตทรงพลังอย่างมากจนสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเทียบไม่ติดฝุ่น ตระกูลหมิงที่ว่ากันว่าทรงพลังยิ่งนักก็มีพลังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตด้วยซ้ำ”
บุรุษผู้นั้นกล่าวพลางถอนหายใจยาว เพียงกล่าวถึงตระกูลหมิง สีหน้าของหลายคนก็แสดงถึงความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและสังหรณ์ใจได้ว่าการหายสาบสูญไปของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน เกรงว่าโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ถูกเก็บเป็นความลับ
หลังจากที่ฉินอี้เฟยหลอมโอสถนิพพานสำเร็จและเยี่ยชางไห่ฟื้นขึ้นมา ฉินอวี้โม่ตั้งใจจะถามเรื่องราวเหล่านั้นจากเขา ในฐานะผู้นำตระกูลเยี่ย เขาควรจะทราบข้อมูลมากกว่าคนทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน