หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดฉินอวี้โม่และทุกคนก็กลับมาถึงเมืองเซิ่งหลิง ฉินอี้เฟยเองก็หลอมโอสถนิพพานสำเร็จแล้วเช่นกัน
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ยังคงปกติทุกอย่าง
หลังจากหมิงฮ่วนกลับไปในวันนั้น เขาก็มุ่งหน้าไปที่วิหารเมฆาโบยบินเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดก่อนเดินทางกลับจวนตระกูลหมิง
จากนั้นเขาก็รายงานต่อผู้นำตระกูลหมิงว่ามีคนของวิหารเมฆาโบยบินที่กำลังจับตาดูสถานการณ์ของเมืองเซิ่งหลิงอย่างใกล้ชิด รวมถึงรายงานเรื่องที่ว่าเยี่ยเฟิงไม่ยอมจำนนต่อตระกูลหมิงแม้ใช้ฉินเหยียนเป็นเครื่องมือข่มขู่ก็ตาม
ในตอนนั้นเอง หมิงจื้อเหยี่ยนก็เดือดดาลขึ้นมาและวางแผนที่จะสังหารฉินเหยียนในทันที ทว่าหมิงฮ่วนโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจเสียก่อนโดยกล่าวว่ายังไม่ควรลงมือทำสิ่งใดบุ่มบ่ามในตอนนี้และการไว้ชีวิตฉินเหยียนจะเป็นประโยชน์อย่างมากในสงครามที่กำลังจะมาถึง
หมิงจื้อเหยี่ยนก็ฟังคำแนะนำของหมิงฮ่วนและปล่อยวางเรื่องของฉินเหยียนเป็นการชั่วคราว ในขณะที่คนอื่น ๆ ในตระกูลเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับสงครามที่จะมาถึง
พวกเขาจะต้องสืบทราบถึงความแข็งแกร่งในปัจจุบันของวิหารเมฆาโบยบินให้ได้เสียก่อนเพื่อที่จะได้มั่นใจถึงโอกาสของการคว้าชัยชนะในสงครามครานี้
ณ เมืองเซิ่งหลิง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กลับมา สีหน้าของทุกคนก็แสดงความตื่นเต้นและคลี่ยิ้มกว้างกันทันที
“ฮ่า ๆ ๆ อวี้โม่ เจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อทราบข่าวการกลับมาของฉินอวี้โม่ เซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ก็รีบเดินทางมาที่จวนตระกูลเยี่ยอีกครั้ง
“นี่คือพี่ใหญ่ของเจ้าที่เป็นผู้หลอมโอสถระดับเทวะสินะ”
สายตาของเขาเลื่อนไปบรรจบลงที่ฉินอี้เฟยผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยแววตาประหลาดใจ ฉินอี้เฟยผู้นี้ทั้งเยาว์วัยและดูมีศักยภาพดังที่เขาคิดไว้ ไม่ต้องสงสัยว่าผู้หลอมโอสถระดับเทวะที่มีอายุน้อยเช่นนี้มีอนาคตยาวไกลอย่างไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พบได้ยากยิ่งกว่าคือระดับพลังยุทธ์ของฉินอี้เฟยก็อยู่ในระดับที่สูงพอสมควรและถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นกว่าจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
ทุกคนอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ หนุ่มสาวตรงหน้าเหมาะสมที่จะเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีด้านที่โดดเด่นและทรงพลังอย่างน่าทึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอิจฉายิ่งนัก
“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งหลายขอรับ”
ฉินอี้เฟยยกกำปั้นประกบกันและโค้งคำนับทุกคนด้วยท่าทางนอบน้อมซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกประทับใจในตัวเขาทันที
“ศิษย์พี่เจ้าคะ พี่ใหญ่ของข้าหลอมโอสถนิพพานสำเร็จแล้ว ท่านนำมันไปป้อนให้กับผู้นำเยี่ยเถิด”
ฉินอวี้โม่ยื่นโอสถนิพพานให้กับฉินเฟิงและส่งสัญญาณให้เขานำมันไปให้กับเยี่ยชางไห่
แม้เยี่ยชางไห่จะยังไม่ฟื้นขึ้นมา เขาก็มีสติรับรู้อยู่และสามารถได้ยินบทสนทนารอบตัว ในเวลานี้เยี่ยเฟิงก็ป้อนโอสถนิพพานให้กับเขาอย่างแผ่วเบาในขณะที่ทุกคนนั่งเรียงรายกันเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลืนกินโอสถนิพพานไปแล้วก็ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดในทันทีและเยี่ยชางไห่ยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา แม้แต่กลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“โอสถนิพพานมิใช่โอสถที่ออกฤทธิ์เร็วนัก ทุกคนเฝ้ารออย่างใจเย็นเถอะ”
สีหน้าของฉินอี้เฟยสงบนิ่งอย่างยิ่งและเขาทราบมานานแล้วว่าฤทธิ์ของโอสถดังกล่าวเป็นอย่างไร
โอสถนิพพานเป็นโอสถในตำนานที่ทรงพลังซึ่งจะต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อให้คุณสมบัติของมันเริ่มแสดงผลจนถึงขั้นฟื้นขึ้นมา
ในเวลานี้ ร่างกายของเยี่ยชางไห่ก็อยู่ในสภาวะที่ผิดปกติมาก แม้สติรับรู้ของเขาจะกลับคืนมาแล้ว เขาก็ไม่สามารถเร่งความเร็วในการดูดซับพลังจากโอสถได้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงทำได้เพียงอาศัยปฏิกิริยาธรรมชาติของร่างกาย
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า และภายในชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
ทันใดนั้น เยี่ยชางไห่ก็ลืมตาโพลงและแสงสีทองอร่ามส่องมาจากดวงตาของเขาขณะลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วและหลับตาลงอีกครั้ง สภาวะพลังรอบตัวหลั่งไหลตรงเข้าไปที่ร่างของเขาและคลื่นพลังเดิมที่สูญหายไปก็กำลังฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“สถานการณ์ของผู้นำเยี่ยในตอนนี้เปรียบเสมือนกับการฟื้นคืนจากความตาย การกลืนกินโอสถนิพพานจะช่วยให้เขาได้รับโอกาสที่คาดไม่ถึง สำหรับเรื่องที่ว่าเขาจะทะลวงพลังไปได้ไกลเพียงใดนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว”
ฉินอี้เฟยอธิบายกับทุกคนว่าโอสถนิพพานมีคุณสมบัติที่คนทั่วไปไม่สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าความตายใกล้มาเยือนเยี่ยชางไห่เต็มที ทว่าหัวใจต้นโพธิ์และโอสถนิพพานได้พลิกความตายให้กลายเป็นโอกาสและจะช่วยให้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นมาก การที่จะทะลวงพลังหนึ่งหรือสองระดับไม่ถือว่าเป็นปัญหาแม้แต่น้อย ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะทะลวงพลังไปได้ไกลเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเขาเองและผู้อื่นมิอาจเข้าไปแทรกแซงได้
“ช่วงการทะลวงพลังนี้คงจะยาวนานพอสมควร ทุกคนไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แยกย้ายกันไปจัดการเรื่องของตัวเองเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและกล่าวออกไปเพื่อมิให้ทุกคนเฝ้ารออยู่ที่นี่ อาการของเยี่ยชางไห่คงที่แล้วและเขาจะต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรกว่าที่จะทะลวงพลังได้สำเร็จ เพราะเหตุนั้น การเฝ้ารออยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่มีความหมายและทุกคนควรแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตนเองหรือฝึกฝนบ่มเพาะวิชาจะดีกว่า
ทุกคนเข้าใจดีและกล่าวอำลากันก่อนออกจากเรือนของเยี่ยชางไห่ไปทีละคน
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยและฉินเฟิงยังไม่ออกไปกับคนเหล่านั้นเนื่องจากกังวลว่าอาจเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อเยี่ยชางไห่ทะลวงพลังสำเร็จ พวกนางจึงรออยู่ที่นี่เพื่อที่จะช่วยเหลือได้ทันเวลา
ภายในชั่วพริบตา อีกหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จู่ ๆ คลื่นพลังรุนแรงก็ปะทะเข้าที่ฉินอวี้โม่และอีกสองคนจนกระเด็นออกจากห้องในขณะที่เยี่ยชางไห่บนเตียงตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์
“ฮ่า ๆ ๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นในหูของทุกคนพร้อมกับแรงกดดันที่มิอาจอธิบายได้ซึ่งทำให้พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกถึงความยำเกรงจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ท่านผู้นำ ! ในที่สุดท่านผู้นำก็ฟื้นแล้ว !”
ทุกคนในตระกูลเยี่ยตกตะลึงและตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังกล่าว
“ท่านปู่ขอรับ…”
ฉินเฟิง ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟิงก็พยายามทรงตัวให้คงที่ก่อนเงยหน้าขึ้นพบกับเยี่ยชางไห่ที่ก้าวออกมาจากในห้องและต้องตกตะลึงในทันที
เมื่อเยี่ยชางไห่หมดสติไปก่อนหน้านี้ เส้นผมและหนวดเคราของเขาก็เป็นสีขาวโพลน อีกทั้งยังดูชราภาพเหมือนคนวัยเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี ทว่าหลังจากกลืนกินโอสถนิพพานและทะลวงพลังสำเร็จ รูปลักษณ์ของเขาก็ดูอ่อนวัยลงหลายสิบปีและตอนนี้ดูเหมือนบุรุษที่มีอายุเพียงประมาณสี่สิบปีเท่านั้น
รูปลักษณ์ของเยี่ยชางไห่โดดเด่นเป็นทุนเดิมและตอนนี้เขาก็ดูเหมือนบุรุษวัยทองที่หล่อเหลา กลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของเขาในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความทรงเสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นมาก
“เสี่ยวอวี้โม่ พ่อหนุ่มอี้เฟย ครานี้ข้าต้องขอบคุณเจ้าทั้งสองมากจริง ๆ”
เขากล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยด้วยแววตาซาบซึ้งใจ
“ไม่ต้องสุภาพกับพวกเราหรอกเจ้าค่ะ การที่ท่านเป็นท่านปู่ของศิษย์พี่ของข้า ท่านก็ถือว่าเป็นท่านปู่ของพวกเราทั้งสองด้วยเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องช่วยท่าน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าคำว่า ‘ท่านปู่’ จากปากของนางก็ฟังดูติดขัดเล็กน้อย
เยี่ยชางไห่ตรงหน้าในตอนนี้ดูอ่อนวัยกว่าก่อนหน้านี้มากนัก หากไม่เคยเห็นเขามาก่อน เกรงว่านางคงไม่มีทางทราบได้ว่าบุรุษผู้นี้คือผู้นำของตระกูลเยี่ย
“ฮ่า ๆ ๆ ถูกต้องแล้ว ๆ พวกเจ้าก็ถือเป็นคนของตระกูลเยี่ยเช่นกัน ไม่ว่าจะต้องการทำสิ่งใด พวกเจ้าก็สามารถทำได้ตามสบายและไม่ต้องเกรงใจล่ะ หากต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดในอนาคตก็บอกมาได้เลย หากเป็นสิ่งที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่”
เยี่ยชางไห่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข บุคลิกนิสัยของเขาก็คล้ายคลึงกับฉินเฟิงมากซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเมื่อพูดคุยด้วย
“ท่านพ่อ ?”
น้ำเสียงแสดงความประหลาดใจดังขึ้นเมื่อเยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงปรากฏตัวขึ้นมา เดิมทีพวกเขาทั้งสองกำลังจัดการดูแลเรื่องทั่วไปในตระกูล ทว่าเมื่อได้ยินข่าว ทั้งสองก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่ทันที เมื่อเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้า เยี่ยหมิงก็ถึงกับอ้าปากค้างและแววตาแสดงถึงความไม่อยากเชื่ออย่างชัดเจน
“ท่านพ่อดูหนุ่มกว่าก่อนหน้านี้มาก หลังจากนี้หากไปบอกใครว่าท่านคือบิดาของข้า เกรงว่าผู้คนคงไม่เชื่อเป็นแน่”
เยี่ยหลิงซีก้าวออกไปข้างหน้าและกอดแขนเยี่ยชางไห่พลางกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
“ใช่ ใช่เลย ท่านพ่อดูหนุ่มกว่าข้าเสียอีก”
เยี่ยหมิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ทว่าการที่ผู้เป็นบิดาดูหนุ่มกว่าบุตรชายเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจไม่น้อย
“ท่านพ่อ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของท่านบรรลุถึงระดับใดรึเจ้าคะ ?”
เยี่ยหลิงซีพยายามสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเยี่ยชางไห่และเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้