ความแข็งแกร่งของเยี่ยชางไห่ในปัจจุบันบรรลุถึงขอบเขตเทพสวรรค์เก้าดาราขั้นสูงสุดแล้ว
เมื่อเขาหมดสติไปก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในขั้นแรก ๆ ของขอบเขตเทพสวรรค์เท่านั้นและยังต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาไปถึงขั้นสูงสุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชีวิตของเขาตกอยู่ในสภาวะเฉียดตายและได้ความช่วยเหลือจากหัวใจต้นโพธิ์และโอสถนิพพาน เขาก็ได้รับผลประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อกลับมา ความแข็งแกร่งเดิมของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วและทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตเทพสวรรค์โดยตรง ตอนนี้ในทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เป็นรองเพียงผู้นำตระกูลหมิงและเฟยอวิ๋นเท่านั้น
เซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวทันทีที่เยี่ยชางไห่ฟื้นขึ้นมา ทั้งสองจึงไม่รอช้าและรีบปรี่เข้ามาทันทีโดยที่ทันได้ยินวาจาของเยี่ยชางไห่พอดิบพอดี
“ขอแสดงความยินดีกับผู้นำเยี่ยด้วย ขอแสดงความยินดีกับผู้นำเยี่ยจริง ๆ”
ถึงแม้ตอนนี้จะรับรู้ว่าเยี่ยชางไห่แข็งแกร่งกว่าพวกตนมากนัก ผู้นำตระกูลทั้งสองก็ไม่มีความคิดริษยาแม้แต่น้อย
ยิ่งเยี่ยชางไห่แข็งแกร่งมากเพียงใด มันก็เป็นผลดีสำหรับสงครามที่จะมาถึงมากเพียงนั้น อย่างน้อยที่สุด เมื่อประจันหน้ากับคนตระกูลหมิง พวกเขาก็ยังมีไพ่ตายที่ทรงพลังอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีความแข็งแกร่งโดยรวมของเยี่ยชางไห่ก็เหนือกว่าเซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้อยู่แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้คนอื่น ๆ ในตระกูลจะไม่ทรงพลังมากนัก ทว่าเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเยี่ยชางไห่ที่ทำให้ตระกูลเยี่ยรักษาความรุ่งเรืองและความมั่นคงได้เสมอมา
“ข้าก็ต้องขอขอบคุณพวกเจ้าสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา”
เยี่ยชางไห่กล่าวขอบคุณเซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ด้วยความจริงใจ
เขาทราบดีว่าหากทั้งสองตระกูลตัดสินใจโจมตี ตระกูลเยี่ยของเขาก็คงจะถูกทำลายไปนานแล้ว ทว่าผู้นำทั้งสองตระกูลไม่ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและการกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายถือเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
“ผู้นำเยี่ยไม่ต้องเกรงใจหรอก ตระกูลเยี่ยไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเรามาก่อน หากเราฉวยโอกาสโจมตีตระกูลเยี่ย เราก็คงไม่ต่างจากคนเหล่านั้นที่เรารังเกียจเดียดฉันท์เป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวายในตระกูลของเราทั้งสอง ผู้นำเยี่ยก็ไม่เคยคิดฉวยโอกาสในตอนนั้น เพราะฉะนั้นแล้วเราไม่คู่ควรกับคำขอบคุณของท่านหรอก”
ผู้นำตระกูลทั้งสองยิ้มอย่างใจเย็นและคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่เยี่ยชางไห่จะต้องขอบคุณพวกตน
พวกเขาเพียงทำในสิ่งที่พึงกระทำเท่านั้นและมันมิใช่เรื่องที่ต้องคำนึงถึง
เยี่ยชางไห่ก็เพียงโบกมือเบา ๆ เพื่อมิให้พวกเขาทั้งสองกล่าวถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
“ท่านพ่อ เราเชิญทุกคนในเมืองเซิ่งหลิงมาร่วมงานเลี้ยงและหารือถึงการรับมือกับตระกูลหมิงต่อไปจะดีรึไม่ ?”
เยี่ยหลิงซีกล่าวข้อเสนอออกไปเนื่องจากตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับบรรดาขุมกำลังใหญ่ในเมืองซึ่งจะทำให้ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น
“เป็นความคิดที่ดี ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดงานเลี้ยงในอีกสองวัน”
เยี่ยชางไห่พยักศีรษะตอบตกลงทันที อย่างไรก็ตาม เขาก็เพิ่งฟื้นขึ้นมาและไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานัก เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์เหล่านั้นเสียก่อน
“ถ้าเช่นนั้นเรากลับไปแจ้งข่าวให้คนในตระกูลทราบกันเถอะ”
หลังจากที่ได้เห็นอาการของเยี่ยชางไห่ซึ่งปลอดภัยดีแล้ว เซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ก็กล่าวอำลาและเดินทางกลับจวนตระกูลของตน
จากนั้นเยี่ยชางไห่ก็เรียกฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าไปในห้องเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อทราบว่าฉินเหยียบถูกคนตระกูลหมิงจับตัวไปและกักขังไว้ สีหน้าของเยี่ยชางไห่ก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นทันที
“เป็นความผิดของข้าแท้ ๆ ตอนที่ข้าส่งคนไปที่ดินแดนมหาเทพเพื่อรับตัวฉินเหยียน ข้าพลาดเองและลืมส่งจอมยุทธ์ฝีมือดีไปเพื่อคุ้มกันความปลอดภัย คนตระกูลหมิงจึงฉวยโอกาสจากช่องโหว่นั้นได้ เฟิงเอ๋อร์…ไม่ต้องกังวลล่ะ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะพาฉินเหยียนกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ !”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอย่างยิ่ง
เมื่อเขาสั่งให้คณะของเยี่ยซาออกไปรับตัวฉินเหยียนมาที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในครานั้น เดิมทีเขาวางแผนที่จะส่งจอมยุทธ์ฝีมือดีไปด้วย น่าเสียดายที่อาการของเขาทรุดลงมากจนหมดสติไป เขาจึงไม่มีโอกาสดำเนินการเรื่องนั้นต่อในขณะที่เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงก็ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ อีกทั้งในตอนนั้นตระกูลเยี่ยก็เริ่มตกอยู่ท่ามกลางความแตกตื่น ฉินเหยียนจึงต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนตระกูลหมิงในที่สุด
“ท่านปู่อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ ในตอนนั้น เว้นแต่ว่าท่านจะไปรับฉินเหยียนด้วยตัวเองก็ไม่มีใครอื่นที่จะรับมือกับคนตระกูลหมิงได้ อีกอย่าง…ต่อให้ท่านไปที่นั่นด้วยตัวเอง หากผู้นำตระกูลหมิงเคลื่อนไหวออกมา ท่านก็คงจะพาตัวฉินเหยียนกลับมาไม่ได้เช่นกัน”
แน่นอนว่าเยี่ยเฟิงไม่โทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของใครในตระกูลเยี่ย นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลหมิงวางแผนไว้นานแล้วและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ด้วยความแข็งแกร่งของคนตระกูลหมิง การจับตัวฉินเหยียนไปมิใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย ต่อให้เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงร่วมเดินทางเพื่อไปรับตัวนาง ผลลัพธ์ก็คงจะไม่ต่างกัน ซ้ำร้ายคือทั้งสองอาจจะถูกคนตระกูลหมิงจับตัวไปเช่นเดียวกันซึ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
“เอาล่ะ เราไม่ต้องโทษตัวเองหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้หมิงฮ่วนจับตาดูสถานการณ์ทางนั้นอยู่ พี่สะใภ้จะไม่เป็นอันตรายแน่ เมื่อถึงเวลาที่เราเปิดศึกกับตระกูลหมิง เราก็จะให้หมิงฮ่วนคุ้มกันความปลอดภัยให้กับพี่สะใภ้เป็นการล่วงหน้า ซึ่งจะไม่เกิดเรื่องร้ายใดขึ้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพื่อให้เยี่ยชางไห่และเยี่ยเฟิงเลิกกังวลเรื่องนี้ไปก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ หากไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ นางก็สามารถหาโอกาสแอบลักลอบเข้าไปในจวนตระกูลเยี่ยและพาตัวฉินเหยียนออกมาในคฤหาสน์เฟิงหัว หลังจากนั้นพวกนางก็จะสามารถวางแผนสำหรับอนาคตกันอีกครั้ง
หลังจากนั้นเยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีก็นั่งอยู่ในห้องเป็นพักใหญ่ก่อนถูกเรียกตัวออกไป
เยี่ยเฟิงเองก็ปลีกตัวไปจัดการธุระบางอย่างเช่นกันในขณะที่ฉินอี้เฟยเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อไปพบกับเสี่ยวโร่วผู้ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการทะลวงพลัง เวลานี้จึงมีเพียงฉินอวี้โม่และเยี่ยชางไห่เท่านั้นที่ยังหารือกันอยู่
“ท่านปู่เยี่ย ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะถามจากท่านเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่เกริ่นสั้น ๆ และกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตแตกต่างจากปัจจุบันมากนัก ว่ากันว่าในอดีตในดินแดนนี้มีเพียงเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นขุมกำลังหนึ่งเดียวและเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุด สิ่งที่ข้าอยากทราบก็คือในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายไป ? และตอนนี้ไม่มีขุมกำลังนั้นอยู่ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วรึเจ้าคะ ?”
นี่คือเรื่องที่ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง การที่ขุมกำลังที่ทรงพลังเช่นนั้นล่มสลายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะคิดหาคำตอบมากเพียงใด นางก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป
“เจ้าทราบถึงเรื่องนี้ด้วยหรือ ?”
เยี่ยชางไห่คิดไม่ถึงว่าฉินอวี้โม่จะทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เรื่องนี้ถือเป็นความลับสูงสุดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบเกี่ยวกับมัน แม้แต่ข้อมูลที่เขาทราบก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
“ในเมื่อเจ้าถามเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังสิ่งใด เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตล่มสลายไปเพราะมีผู้ทรยศปรากฏตัวขึ้นมา”
เยี่ยชางไห่ได้ยินเรื่องนี้มาจากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยและเขาไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของมันเท่าใดนัก
ในอดีต เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นขุมกำลังเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ดำรงอยู่ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกในขุมกำลังดังกล่าวล้วนแข็งแกร่งและมากพรสวรรค์อย่างยิ่ง โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้นจึงทรงพลังอย่างมากและเหนือชั้นกว่าโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันหลายต่อหลายเท่านัก
“กล่าวกันว่าผู้ทรยศของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คือบรรพบุรุษของตระกูลหมิง ในอดีตบรรพบุรุษของตระกูลหมิงใช้วิธีการที่ชั่วช้าและน่ารังเกียจบางอย่างซึ่งทำให้คนของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ล้มตายไปจนมีคนหลบหนีรอดชีวิตไปได้เพียงไม่มากและต้องเก็บตัวเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเป็นระยะเวลานานหลายปี ทว่าหลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น พวกเขาก็ก่อตั้งขุมกำลังใหม่ ๆ ขึ้นมา”
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่าบรรพบุรุษของตระกูลจำนวนมากในเมืองเซิ่งหลิงและวิหารเมฆาโบยบินล้วนเคยเป็นสมาชิกของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รึเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามสิ่งที่คาดเดาไว้ในใจ หากเป็นจริงดังที่เยี่ยชางไห่กล่าว สิ่งที่นางสันนิษฐานก็คงจะไม่ผิดพลาด
“ถูกต้อง บรรพบุรุษของตระกูลเยี่ยเคยเป็นสมาชิกของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
เยี่ยชางไห่พยักศีรษะและกล่าวพลางถอนหายใจ “ในอดีตก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงใช้วิธีการใด ทว่าทายาทของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่รอดชีวิตมาได้ล้วนไม่มีสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่ในร่างกายอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เฟิงเอ๋อร์สืบสายเลือดดังกล่าวมาบางส่วน เขาจึงสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้สำเร็จ”