เยี่ยเฟิงมีสายเลือดส่วนหนึ่งที่สืบทอดจากเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คิดไม่ถึงมาก่อน
เยี่ยชางไห่เป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลเยี่ย เยี่ยเฟิงซึ่งเป็นหลานชายของเขาจึงนับเป็นทายาทรุ่นที่ห้าของตระกูล ทายาททั้งสามรุ่นไม่มีร่องรอยของสายเลือดเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปนเปื้อนอยู่ในร่างกายแม้แต่น้อย ทว่าเยี่ยเฟิงผู้เป็นถึงทายาทรุ่นที่ห้ากลับมีสายเลือดดังกล่าวอยู่ในร่างกายและสามารถปลุกมันขึ้นมาได้ สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
“สาเหตุที่ศิษย์พี่ตกลงไปอยู่ในดินแดนระดับต่ำ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่รึไม่เจ้าคะ?”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงเรื่องนี้และเอ่ยถามเพื่อยืนยัน
“ใช่”
เยี่ยชางไห่พยักศีรษะและกล่าวต่อ “เรื่องที่น่าแปลกคือเมื่อเฟิงเอ๋อร์ถือกำเนิดขึ้นมา ในตอนนั้นสายเลือดของเขายังไม่ถูกปลุกขึ้น ทว่าเมื่อเขามีอายุครบสามขวบ เยี่ยหลานและหลี่เยว่ก็พาเขาไปอยู่ที่จวนตระกูลเยว่ ซึ่งเป็นในตอนนั้นเองที่สายเลือดเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฟิงเอ๋อร์ถูกปลุกขึ้นมา”
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่เยี่ยชางไห่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้เลย สาเหตุที่จู่ ๆ สายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในร่างเยี่ยเฟิงก็ถูกปลุกขึ้นมายังคงเป็นปริศนาสำหรับเขามาเสมอ
“เป็นเพราะศิษย์พี่ปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ คนตระกูลหมิงจึงเปิดศึกโจมตีและทำลายตระกูลหลี่ใช่รึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามและรู้สึกได้ว่าสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้สูงมาก
“ถูกต้อง ตระกูลหมิงคงจะมีวิธีการพิเศษบางอย่างที่สามารถตรวจจับสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ เกรงว่าสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีปริศนาบางอย่างซ่อนไว้ เมื่อทราบว่าสายเลือดนั้นถูกปลุกขึ้นมา คนของตระกูลหมิงจึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกวาดล้างพวกเขาไป”
เยี่ยชางไห่พยักศีรษะและกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังอย่างชัดเจน
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตรวดเร็วมากจนตระกูลหลี่ตั้งตัวไม่ทัน ตระกูลหมิงทรงพลังจนเกินไปและตระกูลหลี่ไม่อาจหยุดยั้งพวกเขาได้เลย เยี่ยหลานก็พยายามอย่างสุดความสามารถทว่าสุดท้ายก็ยังต้องเพลี่ยงพล้ำไป อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเสียชีวิตไป เขาก็รวบรวมพลังสุดท้ายเพื่อส่งเยี่ยเฟิงไปยังดินแดนเทพมายาได้สำเร็จและรักษาชีวิตของบุตรชายไว้ได้
“ตระกูลหมิงคงจะไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ที่ปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ การที่เฟิงเอ๋อร์กลับมาในตอนแรกและตระกูลหมิงยังไม่ลงมือทำสิ่งใดก็พิสูจน์ประเด็นนี้ได้อย่างชัดเจน ตอนนี้พลังของสายเลือดนั้นราวกับถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยพลังบางอย่าง ตระกูลหมิงจึงยังตรวจจับไม่ได้ มิเช่นนั้น ตระกูลหมิงก็คงจะพยายามกำจัดเฟิงเอ๋อร์ไปนานแล้ว”
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตถือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ในตอนนั้นตระกูลเยี่ยยังไม่ทราบว่าเยี่ยเฟิงมีสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างกายและตระกูลหมิงเองก็ไม่ทราบว่าผู้ที่ปลุกสายเลือดดังกล่าวขึ้นมาคือผู้ใด เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจฆ่าล้างตระกูลหลี่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยก็คือเยี่ยเฟิงเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ครานั้นมาได้และตอนนี้ก็กลับมาเยือนที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น นอกเหนือจากศิษย์พี่ของข้ายังมีใครอื่นที่ปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อีกรึเจ้าคะ ?”
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตล้วนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคิดถึงมันอีกต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการวางแผนสำหรับอนาคตข้างหน้า…
ตระกูลหมิงดำรงอยู่ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มานานและมีรากฐานที่มั่นคงอย่างที่สุด สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่กังวลใจคือในเมื่อบรรพบุรุษของตระกูลหมิงเป็นผู้ที่ทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในอดีตได้สำเร็จ ภายในตระกูลหมิงจะยังมีไพ่ตายที่พวกนางยังไม่ทราบอีกหรือไม่ ?
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด จ้าววิหารเมฆาโบยบินก็คงจะปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว สำหรับตระกูลอื่น ๆ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
เยี่ยชางไห่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและกล่าวออกไป เห็นได้ชัดว่าจ้าววิหารเมฆาโบยบินปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จแล้ว และหมิงจื้อเหยี่ยน—ผู้นำตระกูลหมิงก็คงจะปลุกสายเลือดดังกล่าวได้สำเร็จแล้วเช่นกัน สำหรับตระกูลอื่น ๆ เขาไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีผู้ใดปลุกสายเลือดดังกล่าวได้หรือไม่
เพราะต่อให้จะปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางเปิดเผยมัน เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่ทราบเลยว่าในดินแดนนี้ยังมีผู้ใดสืบทอดสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่
“หากมีผู้ใดที่ปลุกสายเลือดดังกล่าวได้สำเร็จอีก พวกเขาจะต้องเปิดเผยมันออกมาเมื่อถึงเวลาของสงครามอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่นึกถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
“เหตุใดบรรพบุรุษของตระกูลหมิงจึงต้องการทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรกรึเจ้าคะ ?”
เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีทั้งพลังอำนาจและอิทธิพลที่ไร้ผู้ใดเทียบเทียม เพราะเหตุนั้น การเป็นสมาชิกของขุมกำลังดังกล่าวจึงย่อมดีกว่าการดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลหมิง อย่างไรก็ตาม บรรพบุรุษตระกูลหมิงกลับเลือกที่จะโค่นล้มอำนาจของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอวี้โม่คาดเดาได้ว่าจะต้องมีเบื้องหลังบางอย่างที่นางไม่ทราบอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น คนปกติทั่วไปคงไม่ตัดสินใจกระทำการเช่นนั้นแน่
“ข้าเองก็ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ บรรพบุรุษของเราไม่ได้กล่าวไว้ จะว่าไปแล้ว..บรรพบุรุษของตระกูลเยี่ยก็มาจากสาขาย่อยของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ส่วนทายาทสายตรงของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกกำจัดไปทั้งหมดแล้ว”
เยี่ยชางไห่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หลังจากเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายไป มีสมาชิกที่เหลือรอดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกเหนือจากบรรพบุรุษของตระกูลหมิง คนอื่น ๆ ก็ล้วนเป็นเพียงสมาชิกที่มีสถานะต่ำต้อยในเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังที่เกิดขึ้นมากนัก สิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลเยี่ยทราบก็คือบรรพบุรุษของตระกูลหมิงเป็นกบฏที่วางแผนทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก สำหรับสาเหตุที่พวกเขาทำเช่นนั้น บรรพบุรุษตระกูลเยี่ยก็ไม่ทราบแม้แต่น้อย
“หมิงจื้อเหยี่ยนควรจะรับรู้ถึงเรื่องนี้ดีที่สุด บางทีหลังจากเอาชนะตระกูลหมิงได้สำเร็จ เราอาจจะสอบถามจากเขาได้”
เยี่ยชางไห่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไปด้วยแววตาที่แสดงความมุ่งร้ายเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่ถามสิ่งใดต่อไป
“ถ้าเช่นนั้นท่านปู่พักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะออกไปเดินข้างนอกสักหน่อย”
นางกล่าวก่อนยืนขึ้นและออกจากเรือนของเยี่ยชางไห่ไป
ในเวลานี้ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เดินเท้าไปรอบ ๆ จวนตระกูลเยี่ยก่อนออกไปบนถนนสายหลักของเมือง
บนถนนหนทางยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนที่สัญจรไปมา ตลาดนัดกลางคืนถูกจัดขึ้นทั้งสองข้างทางและมีร้านค้าแผงลอยสำหรับสินค้าทุกรูปแบบ เมื่อฉินอวี้โม่มองไปเห็นกำไลหยกวงหนึ่ง จู่ ๆ นางก็นึกถึงหานโม่ฉือขึ้นมา…
ณ จวนตระกูลหมิง ในเวลานี้ทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“ท่านผู้นำ ข้าสืบสถานการณ์ของวิหารเมฆาโบยบินมาแล้ว ตอนนี้เฟยอวิ๋นกำลังเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่และยังทะลวงพลังไม่สำเร็จ ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่เราควรจะเริ่มลงมือ”
หมิงหยางก้าวออกไปข้างหน้าและชำเลืองมองหมิงฮ่วนด้วยแววตายั่วยุก่อนกล่าวออกมา
คราก่อนหมิงฮ่วนทำภารกิจล้มเหลวและได้รับบทลงโทษไปแล้ว และในครานี้ที่เขาออกไปดำเนินภารกิจใหม่ เขาก็กลับมาพร้อมกับความล้มเหลวอีกครั้ง ซึ่งนี่ก็ทำให้หมิงหยางรู้สึกสบายใจไม่น้อย
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ หมิงหยางพยายามยั่วยุหมิงฮ่วนซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับเมินเฉยและไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
เมื่อหลายวันก่อน ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้ใดส่งข่าวมาโดยกล่าวไว้ว่าเฟยอวิ๋นกำลังเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินและยังทะลวงพลังไม่สำเร็จ
เดิมทีเขาก็กังวลว่าจะเป็นแผนการสมคบคิดบางอย่างและพยายามสืบความจริงให้แน่ชัดจนพบว่าเฟยอวิ๋นกำลังเก็บตัวบ่มเพาะอยู่จริงจึงไม่นึกสงสัยสิ่งใดอีกต่อไป ตราบใดที่รายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำตระกูล มันจะถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของเขาและจะได้รับความดีความชอบอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้น เมื่อหมิงจื้อเหยี่ยนเรียกพบทุกคนเพื่อหารือแผนการต่อไป หมิงหยางจึงอดกล่าวออกไปไม่ได้
“ผู้อาวุโสสิบเอ็ด หากคิดจะกล่าวสิ่งใดก็ต้องรับผิดชอบในวาจาของตนเอง หากเฟยอวิ๋นไม่ได้กำลังเก็บตัวบ่มเพาะอยู่แล้วเราบุ่มบ่ามทำสิ่งใดลงไป ซึ่งสุดท้ายก็เผชิญกับความล้มเหลว เจ้าคงจะทราบดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”
หมิงฮ่วนลังเลครู่หนึ่งก่อนยืนขึ้นและกล่าวออกไป
“หมิงฮ่วน เจ้ามีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับคนในเมืองเซิ่งหลิงรึไม่ เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากให้พวกเราโจมตีพวกเขาในตอนนี้?”
หมิงหยางชำเลืองมองหมิงฮ่วนเล็กน้อยก่อนกล่าวกับหมิงจื้อเหยี่ยนด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านผู้นำ เรื่องนี้เป็นความจริงขอรับ ข้าสืบข้อมูลเพื่อยืนยันหลายครั้งหลายคราแล้วจึงกล้ากล่าวออกมาเช่นนี้และมันไม่ผิดแน่ หากเรารอจนกระทั่งเฟยอวิ๋นทะลวงพลังสำเร็จ การที่เดินหน้าโจมตีในตอนนั้นจะทำให้โอกาสชนะของเราลดน้อยลงมากอย่างแน่นอน ทว่า…หากเราตัดสินใจลงมือในตอนนี้ พวกเราจะทำลายขุมกำลังในเมืองเซิ่งหลิงและวิหารเมฆาโบยบินได้ในคราวเดียว ซึ่งในอนาคตพวกเราก็จะไม่เผชิญกับปัญหาอีกต่อไป !”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเชื่อเจ้า…ทุกคนเตรียมความพร้อมสำหรับการโจมตี !”
หมิงจื้อเหยี่ยนยืนขึ้นและตัดสินใจโดยตรง
.