ณ เมืองเซิ่งหลิง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้รับข่าวว่าตระกูลหมิงกำลังจะเริ่มการโจมตีครั้งใหญ่ในไม่ช้า
“ตระกูลหมิงอดทนรอไม่ไหวแล้วสินะ !”
หลังจากถ่วงเวลามาได้นานพอสมควร การที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจโจมตีในตอนนี้ก็มิใช่สิ่งที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ตอนนี้วิหารเมฆาโบยบินควรจะเตรียมตัวใกล้พร้อมแล้ว ส่วนในฝั่งของเมืองเซิ่งหลิง เยี่ยชางไห่ก็ฟื้นขึ้นมาแล้วเช่นกันพร้อมกับความแข็งแกร่งที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก
ต่อให้ตระกูลหมิงเปิดฉากโจมตีในตอนนี้ พวกเขาก็มีความแข็งแกร่งพอที่จะรับมือได้
“ได้เวลาพอดี เราจะบอกกับทุกคนในงานเลี้ยงว่าให้เตรียมความพร้อมได้เลย”
เยี่ยเฟิงคำนวณเวลาและรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป คนของตระกูลหมิงจะต้องใช้เวลาเดินทางเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อมาถึงที่เมืองเซิ่งหลิงและพวกเขายังมีเวลาเตรียมตัวอีกพอสมควร
“อวี้โม่ สถานการณ์ของวิหารเมฆาโบยบินเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เมื่อนึกถึงวิหารเมฆาโบยบิน แม้เชื่อว่าฉินอวี้โม่จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย เขาก็อดเอ่ยถามเพื่อยืนยันไม่ได้
“ข้าได้รับข่าวล่าสุดแล้วและพวกเขากำลังเดินทางกันออกมา อย่างไรก็ตาม จ้าววิหารเฟยอวิ๋นยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อทะลวงพลังให้สำเร็จ บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ของวิหารจะเดินทางมาที่นี่ก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ อันที่จริง เรื่องที่เฟยอวิ๋นยังคงอยู่ในช่วงเก็บตัวและต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการทะลวงพลังคือข่าวที่วิหารจงใจเผยแพร่ออกไป
พลังอำนาจของตระกูลหมิงแกร่งกล้าจนเกินไป ต่อให้วิหารเมฆาโบยบินและขุมกำลังใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงจะผนึกกำลังร่วมกัน พวกเขาก็ยังมีโอกาสพ่ายแพ้อยู่พอสมควร ดังนั้นการจงใจปล่อยข่าวว่าเฟยอวิ๋นจะเก็บตัวบ่มเพาะอีกเป็นเวลานานก็มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ตระกูลหมิงคลายความระแวดระวังลง เมื่อถึงตอนนั้น เฟยอวิ๋นจะปรากฏตัวอย่างกะทันหันซึ่งจะทำให้ตระกูลหมิงตั้งตัวไม่ทันและเพิ่มโอกาสคว้าชัยได้มากยิ่งขึ้น
“เมื่อตระกูลหมิงยกทัพออกมา ข้าจะเข้าไปช่วยพี่สะใภ้ออกมาก่อน ข้าเชื่อว่าครานี้พวกเขาจะต้องพาตัวพี่สะใภ้ออกมาด้วยแน่ ถึงอย่างไรในดินแดนนี้ก็ไม่มีใครที่สามารถตรวจจับคฤหาสน์เฟิงหัวของข้าได้”
เนื่องจากทราบดีว่าศิษย์พี่ยังกังวลถึงเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่จึงกล่าวเสริมออกไป
“ดีเลย”
เยี่ยเฟิงพยักศีรษะทันที การที่ฉินเหยียนอยู่ในการควบคุมของคนตระกูลหมิงจะเป็นภัยต่อพวกเขาเสมอ การช่วยนางออกมาก่อนจะทำให้พวกเขาต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่และไม่ต้องยั้งมืออีกต่อไป
ในเมื่อมีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ที่นี่ ตราบใดที่ตระกูลหมิงกล้าพาตัวฉินเหยียนออกมา ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะช่วยนางออกมาจากเงื้อมมือของตระกูลหมิงได้อย่างแน่นอน
ไม่นานนัก วันของงานเลี้ยงที่ตระกูลเยี่ยเป็นเจ้าภาพก็มาถึง
เซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้พาบุคคลสำคัญของตระกูลมาที่จวนตระกูลเยี่ยตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองการฟื้นขึ้นมาของเยี่ยชางไห่ บรรดาผู้นำของตระกูลเล็ก ๆ ต่างก็มาที่จวนตระกูลเยี่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดีเช่นกัน
หลังจากทุกคนได้รับการต้อนรับและเดินเข้าไปประจำที่อย่างพร้อมหน้า เยี่ยชางไห่ก็เดินออกมา
เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของเยี่ยชางไห่ในวันนี้ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงไม่น้อย พวกเขาทราบดีว่าก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลเยี่ยมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้เขากลับดูอ่อนวัยลงมาก อีกทั้งความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาก็ล้ำลึกเกินกว่าที่คนเหล่านั้นจะหยั่งถึงซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“ทุกคนไม่ต้องเกรงใจล่ะ ทำตัวตามสบายได้เลย”
เยี่ยชางไห่โบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง
“การที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เราได้รับข่าวว่าตระกูลหมิงวางแผนที่จะโจมตีเมืองเซิ่งหลิงของเราในเร็วนี้ ๆ เราติดต่อพันธมิตรอย่างวิหารเมฆาโบยบินไปแล้วและพวกเขากำลังเดินทางกันออกมา หลังจากนี้หวังว่าทุกคนจะผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันและร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อต่อกรกับตระกูลหมิงไปด้วยกัน”
เขาประกาศเรื่องนี้ออกไปโดยตรงเพื่อให้ทุกคนในเมืองเตรียมความพร้อม
ในช่วงที่ผ่านมา แม้ไม่มีสัญญาณหรือการประกาศโดยตรง ตระกูลต่าง ๆ ในเมืองเซิ่งหลิงก็มีความเข้าใจที่ตรงกันโดยไม่ต้องใช้วาจาเกี่ยวกับการร่วมมือเพื่อประจันหน้ากับตระกูลหมิง
เพราะเหตุนั้น เมื่อได้ยินวาจาของเยี่ยชางไห่ สีหน้าของทุกคนจึงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักและยังสงบนิ่งเช่นเดิม
“ท่านผู้นำเยี่ย ต่อให้เราต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง เราก็ไม่มีทางยอมให้ตระกูลหมิงได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างแน่นอน !”
ทุกคนกล่าวด้วยความฮึกเหิม ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตของตน พวกเขาก็จะแสดงฝีมืออย่างสุดความสามารถ
ปฏิกิริยาท่าทางของทุกคนทำให้เยี่ยชางไห่และคนอื่น ๆ พึงพอใจอย่างยิ่ง จากนั้นทุกคนก็ไม่กล่าวสิ่งใดต่อและเริ่มรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข
เวลานี้ บรรยากาศในเมืองเซิ่งหลิงสงบสุขอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน ทุกคนในตระกูลหมิงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีอย่างจริงจัง
“ท่านผู้นำ เราจะจัดการเรื่องคนของตระกูลเยี่ยอย่างไรขอรับ ?”
หมิงหยางเดินเข้ามาและเอ่ยถามหมิงจื้อเหยี่ยนเกี่ยวกับฉินเหยียนและสมาชิกของตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ ที่ถูกจับมา
“นำตัวไปด้วย ถึงอย่างไรฉินเหยียนก็เป็นคนรักของเยี่ยเฟิง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่สนใจชีวิตและความปลอดภัยของนาง”
หมิงจื้อเหยี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา
สำหรับสมาชิกตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ หากปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่ในขณะที่ไม่มีคนตระกูลหมิงเฝ้าดูอยู่มากนัก หากมีใครแอบลักลอบเข้ามา พวกเขาเหล่านั้นก็อาจจะช่วยคนตระกูลเยี่ยออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเหยียนเองก็เป็นคนรักของเยี่ยเฟิงและหมิงจื้อเหยี่ยนไม่เชื่อว่าคนตระกูลเยี่ยจะไม่สนใจความเป็นความตายของนาง
สิ่งที่สำคัญคือการพาตัวฉินเหยียนและคนตระกูลเยี่ยไปด้วยในครานี้จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายของพวกเขาเช่นกัน
“หากท่านผู้นำยังไม่มีแผนการเตรียมไว้ ข้าขออาสาที่จะควบคุมดูแลคนพวกนั้นเอง”
หมิงหยางกล่าวเสนอตัวออกไป เขาสงสัยมาเสมอว่าหมิงฮ่วนมีข้อตกลงบางอย่างกับตระกูลเยี่ย เพราะเหตุนั้น การที่เขาได้คุมตัวฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ออกไปในครานี้อาจจะทำให้จับพิรุธของหมิงฮ่วนได้
“ไม่มีปัญหา ข้าจะปล่อยให้เจ้าดูแลความเรียบร้อยของคนเหล่านั้น จงจับตาดูและเฝ้าระวังให้ดีล่ะ อย่าปล่อยให้คนจากเมืองเซิ่งหลิงช่วยพวกนางไปได้”
หมิงจื้อเหยี่ยนพยักศีรษะก่อนออกคำสั่งสั้น ๆ และไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป
หมิงหยางก็รับคำสั่งและขอตัวออกไปทันที ทว่าเมื่อออกไปได้เพียงครู่เดียว เขาก็พบกับหมิงฮ่วนที่เดินผ่านมาพอดิบพอดี
“หมิงฮ่วน ข้ากำลังจะนำตัวคนของตระกูลเยี่ยออกมา เจ้าสนใจจะไปกับข้ารึไม่ ?”
เขาหยุดหมิงฮ่วนไว้ทันทีและสีหน้าแสดงความเย่อหยิ่งอย่างไม่อาจปิดบัง
“ตกลง บังเอิญว่าข้าเองก็ไม่มีอะไรทำพอดิบพอดี การไปกับเจ้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
หมิงฮ่วนตอบตกลงพร้อมรอยยิ้มทันทีซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ตรงกันข้ามกับความคาดหมายของหมิงหยาง
เขาได้รับข่าวจากฉินอวี้โม่ผ่านอุปกรณ์สื่อสารแล้ว เพราะเหตุนั้น หมิงฮ่วนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้และสามารถปล่อยให้ตระกูลหมิงพาตัวฉินเหยียนและคนตระกูลเยี่ยเดินทางไปที่เมืองเซิ่งหลิงได้อย่างอิสระ
แม้ทราบว่าฉินเหยียนและคนเหล่านั้นเมื่ออยู่ในกำมือของหมิงหยางอาจจะต้องทุกข์ทรมานอยู่บ้าง เขาก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาต้องทนต่อการเป็นผู้ถูกกระทำไปก่อน และในอนาคตเมื่อโอกาสมาถึง พวกเขาจะชำระความแค้นเหล่านั้นได้อย่างสาสม
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
หมิงหยางเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและแค่นเสียงเบา ๆ ก่อนกล่าวออกไป “หมิงฮ่วน เมื่อพวกเขาตกมาอยู่ในกำมือของข้า ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้แน่ หากเจ้าคิดจะช่วยพวกนางก็รีบเร่งมือเข้าเถอะ มิเช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสอีกแน่”
“หมิงหยาง เหตุใดข้าจะต้องช่วยคนพวกนั้นด้วย ? ตระกูลหมิงของเราและขุมกำลังของเมืองเซิ่งหลิงเป็นศัตรูต่อกัน คนพวกนั้นเป็นตัวประกันที่พวกเราจะใช้เพื่อข่มขู่ตระกูลเยี่ย เหตุใดข้าจะต้องช่วยพวกนางกัน ?”
สีหน้าของหมิงฮ่วนเรียบเฉยและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ น้ำเสียงที่ฟังดูตรงไปตรงมาของเขาก็แนบเนียนอย่างไร้จุดบกพร่อง
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น !”
แม้ว่าหมิงหยางจะพยายามหยั่งเชิงอยู่นาน ทว่าสุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ ในเวลานี้สีหน้าของเขาจึงเหยเกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขายังสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับหมิงฮ่วนและยังต้องจับตาดูไม่ห่าง
หมิงฮ่วนไม่สนใจแม้แต่น้อยและทั้งสองมุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้ามที่ฉินเหยียนและคนตระกูลเยี่ยถูกกักขังไว้
“เจ้า มากับข้า”
หมิงหยางกล่าวเพียงสั้น ๆ ขณะชายตามองฉินเหยียนอย่างรังเกียจเดียดฉันท์และไม่คิดเสียเวลาพูดจากับนางมากนัก
ฉินเหยียนไม่ทราบเลยว่าหมิงหยางต้องการทำสิ่งใด ทว่าเมื่อเห็นหมิงฮ่วนพยักศีรษะให้กับตน นางก็ลุกขึ้นและเดินตามคนทั้งสองไปแต่โดยดี