ในเวลานี้ เยี่ยซาและคณะคนตระกูลเยี่ยก็ถูกพาตัวออกมาจากที่กักขังเช่นกัน
สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายกว่าฉินเหยียนมากนัก พวกเขาทุกคนดูซีดเซียว ผอมแห้งและลมหายใจอ่อนแอ อีกทั้งยังมีรอยแผลเป็นทั่วทั้งร่างกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทุกข์ทรมานเพียงใดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ดวงตาของเยี่ยซาเป็นประกายทันทีที่เห็นฉินเหยียนเดินตามหมิงหยางออกมา เขาอ้าปากเพื่อพยายามจะกล่าวบางอย่าง ทว่าเนื่องจากไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเป็นเวลานาน เขาจึงไม่สามารถเค้นเสียงออกไปได้
“เดินออกไป !”
หนึ่งในสมาชิกตระกูลหมิงที่คุ้มกันเยี่ยซาเตะเขาอย่างแรงพร้อมตวาดเสียงดัง อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเยี่ยซาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและยังคงยืนนิ่งราวกับคุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้ไปแล้ว
“ในเมื่อพวกเจ้าต้องการจะใช้พวกเราเพื่อข่มขู่ตระกูลเยี่ย ทางที่ดีก็เลิกทรมานพวกเราจะดีกว่า มิเช่นนั้น หากเราระเบิดตัวเองเสีย พวกเจ้าทุกคนจะถูกลงโทษแน่”
ฉินเหยียนกล่าวอย่างเย็นชาและน้ำเสียงเจือด้วยคำข่มขู่
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ในเมื่อยังมีประโยชน์อยู่ ข้าก็จะให้ทุกคนปฏิบัติต่อพวกเจ้าดีขึ้นสักหน่อย อย่างไรก็ตาม หากตระกูลเยี่ยไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะทรมานพวกเจ้าทั้งหมดด้วยมือของข้าเอง”
หมิงหยางโบกมืออย่างไม่สนใจนักเพื่อให้คนตระกูลหมิงเลิกทรมานเยี่ยซาและคนอื่น ๆ
“หมิงฮ่วน ข้าจะพาคนพวกนี้ออกไปเอง”
เขาหันไปยิ้มให้กับหมิงฮ่วนอย่างยียวนก่อนนำตัวฉินเหยียนและคณะคนตระกูลเยี่ยออกไป
หลังจากนั้น หมิงฮ่วนก็ส่งข่าวไปแจ้งกับฉินอวี้โม่เพื่อบอกว่าหมิงหยางพาตัวฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ออกจากจวนตระกูลหมิงไปแล้วเพื่อให้นางเตรียมความพร้อมล่วงหน้า
ณ จวนตระกูลเยี่ย เมื่อฉินอวี้โม่ได้รับข่าว นางก็ชี้แจงกับทุกคนว่านางจะออกไปช่วยฉินเหยียน
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
เยี่ยเฟิงกล่าวอย่างหนักแน่นและต้องการไปกับฉินอวี้โม่ด้วย
“ไม่ ข้าจะไปคนเดียว”
ฉินอวี้โม่โบกมือปฏิเสธทันทีก่อนใช้ความคิดครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “หากศิษย์พี่อยากจะช่วยละก็ ท่านพากำลังคนไปเบี่ยงเบนความสนใจของคนตระกูลหมิงเถอะเจ้าค่ะ ในเมื่อรับรู้ว่าพวกเขาพาพี่สะใภ้ออกมาและเรานิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว เกรงว่าตระกูลหมิงจะนึกสงสัยเอาได้”
ตราบใดที่วิหารเมฆาโบยบินยังไม่มีการเคลื่อนไหว หมิงจื้อเหยี่ยนก็คงจะไม่เคลื่อนไหวง่าย ๆ เช่นกัน หากต้องการไปก่อกวนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจชั่วคราว พวกเขาอาจเผชิญกับปัญหาบางอย่าง ทว่ามันก็มิใช่ปัญหาที่ใหญ่จนเกินไป
“เฟิงเอ๋อร์ประจำอยู่ในเมืองเถอะ ข้าจะไปเบี่ยงเบนความสนใจของคนตระกูลหมิงในระหว่างทางเอง ส่วนเสี่ยวอวี้โม่จะไปช่วยฉินเหยียนออกมา”
เยี่ยชางไห่กล่าวออกมาและตัดสินใจโดยตรง
ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดก็คือการปล่อยให้เขาออกไปประจันหน้ากับคนตระกูลหมิง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน ต่อให้หมิงจื้อเหยี่ยนลงมือ เขาก็มั่นใจว่าจะถอยออกมาได้
ในทางกลับกัน หากเยี่ยเฟิงประจันหน้ากับหมิงจื้อเหยี่ยน เขาจะไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น การให้เขาอยู่ที่เมืองเซิ่งหลิงเพื่อเตรียมความพร้อมและจับตาดูสถานการณ์จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางพยักศีรษะ และหลังจากที่คำนวณเวลา นางก็พบว่าใกล้ถึงเวลาที่ควรออกเดินทางแล้ว
หลังจากพูดคุยกับคนอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงไปยังเส้นทางที่ตระกูลหมิงจะใช้เพื่อเดินทางมาที่เมืองเซิ่งหลิงทันที
เยี่ยชางไห่ก็ยังไม่รีบร้อนออกเดินทางโดยเขาจะรอเวลาอีกสองวันก่อนออกไปประจันหน้ากับตระกูลหมิงเพื่อถ่วงเวลาให้กับฉินอวี้โม่
ในเวลานี้ ภายในฝั่งของตระกูลหมิง ผู้อาวุโสใหญ่หมิงชิงเป็นผู้ที่นำกองกำลังออกไปในครานี้โดยมีหมิงหยางและคนอื่น ๆ อยู่ด้วย สำหรับหมิงจื้อเหยี่ยน เขาจะรอเวลาอีกไม่กี่วันและจะยังไม่เริ่มออกเดินทางจนกว่ากองกำลังของตระกูลหมิงจะเข้าใกล้เมืองเซิ่งหลิง
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ เราจะต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่จะเดินทางไปถึงเมืองเซิ่งหลิงได้ ?”
หลายคนในตระกูลหมิงไม่เคยเดินทางไปที่เมืองเซิ่งหลิงมาก่อน และแม้แต่ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็เช่นกัน
“ประมาณสี่ถึงห้าวัน”
หมิงชิงกล่าวตอบก่อนกำชับทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนต้องระวังตัวด้วยล่ะ ตอนนี้ฉินเหยียนและคนตระกูลเยี่ยอยู่ในกำมือของเรา มีโอกาสเป็นไปได้ว่าคนตระกูลเยี่ยอาจพยายามชิงตัวพวกนางไป”
หมิงหยางไม่สนใจแม้แต่น้อยและกล่าวตอบ “ผู้อาวุโสใหญ่ หากตระกูลเยี่ยกล้ามาจริง ๆ เราก็ถือโอกาสนี้ฆ่าพวกเขาให้สิ้นซากไปเสียเลยและจะเป็นการกำจัดภัยคุกคามไปในคราวเดียว พวกเรามีกันมากเช่นนี้ อยากเห็นนักว่าตระกูลเยี่ยจะช่วยพวกนางไปจากมือเราได้อย่างไร !”
แม้หมิงจื้อเหยี่ยนยังไม่เคลื่อนไหวออกมา ทว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก็มิใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้เลย ตราบใดที่คนตระกูลเยี่ยกล้าออกมาประจันหน้า พวกเขาก็มั่นใจว่าจะกำจัดอีกฝ่ายไปได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้พวกเขาลืมนึกถึงฉินอวี้โม่ผู้ครอบครองคฤหาสน์เฟิงหัวไปโดยปริยาย
หมิงฮ่วนตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทว่าไม่คิดที่จะเตือนคนเหล่านี้ ถึงอย่างไรการปล่อยให้พวกเขาประมาทต่อไปก็เป็นสิ่งที่ดีซึ่งจะทำให้ฉินอวี้โม่ช่วยฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ได้ง่ายมากขึ้น
“ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่า แม้ความแข็งแกร่งของตระกูลเยี่ยจะไม่มากเท่าเรา พวกเขาก็ไม่อ่อนแอเลย หากเราประมาทเกินไปและทำให้พวกเขามีโอกาส เกรงว่าฝ่ายเราจะเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ถูกช่วยออกไปได้สำเร็จ เราจะถูกท่านผู้นำลงโทษอย่างหนักเป็นแน่ !”
หมิงชิงสงบนิ่งและใจเย็นกว่าหมิงหยางมากนัก เขาจึงกล่าวเตือนอีกครั้งขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจสถานการณ์รอบตัว
หมิงหยางก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทว่าสีหน้าแววตายังบ่งบอกชัดเจนว่าไม่สนใจคำเตือนเหล่านั้น จากนั้นสายตาของเขาเลื่อนไปหยุดลงที่หมิงฮ่วน เมื่อเทียบกับตระกูลเยี่ยแล้ว หมิงฮ่วนคือคนที่พวกเราควรจับตาดูมากที่สุด !
“มีคนมา !”
พลังวิญญาณของหมิงชิงรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและส่งเสียงเตือนทุกคน
อึดใจต่อมา ร่างของเยี่ยชางไห่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาไม่ไกลนัก
“ส่งตัวฉินเหยียนและสมาชิกตระกูลเยี่ยของข้ามาเดี๋ยวนี้ !”
แรงกดดันอันทรงพลังแผ่ออกไปกดข่มคนตระกูลหมิงทันทีขณะเยี่ยชางไห่ตะโกนเสียงดังออกมา
“เยี่ยชางไห่ ไม่ได้พบกันเสียนาน พลังของเจ้าพัฒนาขึ้นมากทีเดียว ข้าได้ยินว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้ายังอยู่ในสภาพที่ใกล้ตายอยู่เลย นี่เจ้าไปได้โอกาสประเภทใดมากัน ?”
หมิงชิงและเยี่ยชางไห่เคยประจันหน้ากันมาก่อนซึ่งครานั้นเยี่ยชางไห่ด้อยกว่าเขามากและไม่ถือเป็นภัยคุกคามต่อเขาแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม เยี่ยชางไห่ในตอนนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมนักและเพียงแค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาก็ทำให้หมิงชิงรู้สึกอึดอัดได้แล้ว
“เหอะ หมิงชิง หยุดพูดพล่ามไร้สาระจะดีกว่า พวกเจ้าตระกูลหมิงจับตัวฉินเหยียนและคนตระกูลเยี่ยไป ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องส่งตัวพวกนางคืนมาแล้ว มิเช่นนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน !”
เยี่ยชางไห่แค่นเสียงเย้ยหยันและปล่อยฝ่ามือวายุออกไปโจมตีหมิงชิงทันที
“หึ อยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด เยี่ยชางไห่ แม้ความแข็งแกร่งของเจ้าจะพัฒนาขึ้นมา เจ้าก็ยังมิใช่คู่มือของข้าอยู่ดี ในเมื่อกล้าโผล่หน้าออกมาเช่นนี้ก็จงตายอยู่ที่นี่เสียเถอะ !”
ใบหน้าของหมิงชิงแสดงความเย้ยหยันอย่างที่สุด แม้เยี่ยชางไห่ในตอนนี้จะทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามได้ เขาก็ยังมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะเขาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายของพวกเขาในตอนนี้ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ในขณะที่เยี่ยชางไห่อยู่เพียงลำพัง เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีทางเลยที่เขาจะช่วยฉินเหยียนและคนตระกูลเยี่ยออกไปได้
“จะเอาชนะได้รึไม่นั้น เราจะได้ทราบก็ต่อเมื่อต่อสู้กันจริง ๆ!”
เยี่ยชางไห่ไม่มีความคิดที่จะเอาชนะหมิงชิงแม้แต่น้อย เป้าหมายของเขาก็คือการถ่วงเวลาและเปิดโอกาสให้กับฉินอวี้โม่เท่านั้น เขาเพียงต้องเบี่ยงเบนความสนใจคนเหล่านี้และปล่อยให้ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของฉินอวี้โม่
จากนั้นทั้งสองก็เข้าประจันหน้ากันทันทีโดยที่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ไม่ลงมือทำสิ่งใด
หมิงชิงก็ได้กำชับให้หมิงหยางจับตาดูสถานการณ์เพื่อระวังมิให้ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ถูกช่วยออกไปได้
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
น่าเสียดายที่เมื่อเยี่ยชางไห่และหมิงชิงประจันหน้ากันได้เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เสียงอุทานดังกล่าวก็ดังขึ้นมา เพราะว่าจู่ ๆ ในจุดที่ฉินเหยียนและคณะของเยี่ยซายืนอยู่ก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นความว่างเปล่าไปอย่างกะทันหัน แม้แต่สมาชิกตระกูลหมิงหลายคนที่คุ้มกันคนเหล่านั้นก็หายไปเช่นกัน
“คฤหาสน์เฟิงหัว ! ข้าลืมไปได้อย่างไรกันว่าฉินอวี้โม่มีมิติที่สองที่ทรงพลังอยู่กับตัว !”
สีหน้าของหมิงชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีและแผ่พลังมายาออกไปรอบตัวเพื่อพยายามกดดันให้คฤหาสน์เฟิงหัวปรากฏตัวขึ้นมา