ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่พาฉินเหยียนและคณะของเยี่ยซาเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว
“อวี้โม่ !”
การถูกเคลื่อนย้ายอย่างกะทันหันทำให้ฉินเหยียนตื่นตระหนกขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้า นางก็โล่งใจในที่สุด
เยี่ยซาและคนอื่น ๆ ก็ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ พวกเขาจึงตกตะลึงกันเล็กน้อย
“พี่สะใภ้ ทุกคน เป็นอะไรกันรึไม่ ?”
แม้ว่าฉินเหยียนจะดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทว่าสถานการณ์ของเยี่ยซาและคนอื่น ๆ ก็ดูย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาคงจะเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างหนักในช่วงที่ถูกกักขังอยู่ในจวนตระกูลหมิง
“เราไม่เป็นไร ดำเนินตามแผนการต่อไปเถิด”
ในที่สุดเยี่ยซาและคนอื่น ๆ ก็เรียกสติจากความตกตะลึงและรอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อครู่พวกเขาคิดว่าพวกตนถูกใครบางคนจับตัวไปอีกครา โชคดียิ่งนักที่คนผู้นั้นก็คือฉินอวี้โม่ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือพวกเขานั่นเอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาพยายามอดทนอดกลั้นเป็นอย่างมากเนื่องจากทราบดีว่าตระกูลเยี่ยไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาไป และตอนนี้ก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการช่วยเหลือและไม่ถูกทรมานโดยคนตระกูลหมิงอีกต่อไป
“อวี้โม่ บุรุษอาวุโสที่อยู่ข้างนอกนั่นคือใครรึ ?”
ฉินเหยียนมองเห็นเยี่ยชางไห่ที่กำลังต่อสู้กับหมิงชิงและเอ่ยถามด้วยแววตากังวลเล็กน้อย
“เขาคือท่านปู่ของศิษย์พี่เจ้าค่ะ เรื่องมันยาว ข้าจะอธิบายกับท่านหลังจากนี้ ตอนนี้เรากลับไปที่จวนตระกูลกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ ศิษย์พี่กำลังรออยู่ที่นั่น”
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดและทราบดีว่าการอยู่ที่นี่ต่อไปอาจเป็นอันตรายได้ เพราะเหตุนั้น การมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองเซิ่งหลิงและอธิบายรายละเอียดในภายหลังจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
สถานการณ์ของคนตระกูลหมิงในโลกภายนอกก็โกลาหลวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เยี่ยชางไห่คาดเดาได้ไม่ยากว่าฉินอวี้โม่ช่วยฉินเหยียนและทุกคนสำเร็จแล้ว
ในเวลานี้ เขาก็ปลดปล่อยการโจมตีเพื่อผลักให้หมิงชิงกระเด็นออกไปและเตรียมตัวที่จะล่าถอยไปทันที อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะไปได้ไกล จู่ ๆ แรงกดดันอันทรงพลังก็แผ่ครอบงำจนยากที่เขาจะขยับเขยื้อนร่างกายได้
“เยี่ยชางไห่ การที่ชิงตัวคนที่อยู่กำมือของเราและต้องการจะหนีกลับไปเฉย ๆ คิดว่าข้าผู้นี้จะปล่อยให้เจ้ามีโอกาสนั้นรึ ?!”
น้ำเสียงเฉยเมยไม่แยแสดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นมาบนอากาศ บุรุษผู้นั้นก็คือหมิงจื้อเหยี่ยน—ผู้นำตระกูลหมิงและแรงกดดันรุนแรงเมื่อครู่ก็แผ่มาจากเขานั่นเอง
“หมิงจื้อเหยี่ยน !”
สีหน้าของเยี่ยชางไห่บิดเบี้ยวไปทันที คิดไม่ถึงเลยว่าผู้นำตระกูลหมิงจะปรากฏตัวในตอนนี้
หมิงจื้อเหยี่ยนมีพลังอำนาจที่แกร่งกล้าเกินไปและตอนนี้เขาเพียงลำพังไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสมาชิกจำนวนมากของตระกูลหมิง การหนีเอาตัวรอดออกในตอนนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ
“ฉินอวี้โม่ ในเมื่ออยู่ที่นี่แล้วก็โผล่หัวออกมาซะ คิดว่าการที่ซ่อนตัวอยู่ในมิติที่สองแล้วข้าผู้นี้จะไม่รับรู้ถึงตัวตนของเจ้ารึ ?”
หมิงจื้อเหยียนกล่าวพลางชายตามองไปยังจุดหนึ่งซึ่งเป็นทิศทางของคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองตรงมาราวกับมองเห็นทะลุคฤหาสน์ล่องหนและสบตากับตนโดยตรง
“โอ้ ผู้นำตระกูลหมิงช่างเป็นบุคคลที่น่ากลัวจริง ๆ เลย !”
ฉินอวี้โม่ไม่คิดซ่อนตัวอีกต่อไปและก้าวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวโดยตรง จากนั้นนางก็มองตรงไปที่หมิงจื้อเหยี่ยนอย่างไม่มีทีท่าหวาดกลัวใด ๆ
“มิติที่สองของเจ้าช่างลึกลับพิศวงยิ่งนัก มันบดบังกลิ่นอายของเจ้าได้อย่างมิดชิดและสามารถขับเคลื่อนไปมาได้อย่างอิสระ ไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริง ๆ!”
จิตสังหารปรากฏในแววตาของหมิงจื้อเหยี่ยนทันที ตราบใดที่กำจัดฉินอวี้โม่สำเร็จ เขาก็อาจจะครอบครองมิติที่สองอันลึกลับของนางมาได้ ซึ่งเพียงแค่คิดเขาก็แทบจะเก็บกดความตื่นเต้นของตนเองไว้ไม่ได้
“เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า ส่งมิติที่สองมาให้ข้าเสียดี ๆ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าและเยี่ยชางไห่ไป”
เขากล่าวอย่างเย็นชาและวาจาเต็มไปด้วยคำข่มขู่อย่างชัดเจน
“หมิงจื้อเหยี่ยน นี่เจ้าฝันกลางวันอยู่รึไง ?”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะมีโอกาสได้ตอบกลับ เยี่ยชางไห่ก็ตะโกนแทรกขึ้นมาขณะเดินเข้ามาอยู่ข้างฉินอวี้โม่และจ้องหน้าผู้นำตระกูลหมิงด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
“เยี่ยชางไห่ รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
การที่เยี่ยชางไห่กล่าววาจาถากถางอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ทำให้สีหน้าของผู้นำตระกูลหมิงมืดมนขึ้นมา ในเวลานี้เขาก็ระงับอารมณ์ของตนเองไม่ได้อีกต่อไปก่อนเหวี่ยงฝ่ามือวายุตรงไปยังเยี่ยชางไห่ซึ่งแอบแฝงไปด้วยพลังที่รุนแรงอย่างที่สุด
สีหน้าของเยี่ยชางไห่ก็เปลี่ยนไปทันทีและควบแน่นเกราะป้องกันขึ้นมารอบตัวอย่างรวดเร็ว
ตูมมม !
อย่างไรก็ตาม เกราะป้องกันของเยี่ยชางไห่ก็แตกสลายไปในพริบตาส่งผลให้เยี่ยชางไห่และฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ข้างเขาถูกฝ่ามือวายุโจมตีอย่างจังจนลอยกระเด็นออกไป
เมื่ออยู่ตรงหน้าหมิงจื้อเหยี่ยนผู้ยิ่งใหญ่นี้ ต่อให้ทั้งสองจะร่วมมือกัน พวกนางก็ไม่มีพลังที่จะต้านทานได้เลย
“ฉินอวี้โม่ การที่ข้าจะฆ่าเจ้า มันง่ายดายยิ่งกว่าการบีบมดตัวเล็ก ๆ ให้ตายคามือเสียอีก ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ มีเพียงเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่จะทำให้ข้าหวั่นใจได้บ้าง ทางที่ดี ส่งมิติที่สองมาให้ข้าแต่โดยดีเถอะ มิเช่นนั้น…อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน !”
หมิงจื้อเหยี่ยนเหาะเข้าไปหยุดตรงหน้าฉินอวี้โม่และเยี่ยชางไห่ขณะแผ่แรงกดดันอันทรงพลังออกไปกดข่มฝ่ายตรงข้ามจนพวกนางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
“หมิงจื้อเหยี่ยน ข้าสงสัยมานานแล้วว่าในอดีตเป็นเพราะสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลหมิงไม่ลังเลที่จะทรยศต่อเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และถึงขั้นทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนสิ้นซากไป”
ฉินอวี้โม่ไม่มีท่าทีตื่นตระหนักขณะสบตาหมิงจื้อเหยี่ยนด้วยแววตาที่เรียบเฉย
“ทั้งที่ความตายรออยู่ตรงหน้า เจ้ายังคิดจะสนใจเรื่องอื่นอีกรึ ? ฉินอวี้โม่…ข้าควรจะคิดว่าเจ้าไม่รู้จักการประมาณตน…หรือว่าเจ้าไม่กลัวตายดีล่ะ ?”
แน่นอนว่าหมิงจื้อเหยี่ยนไม่ตอบคำถามของนางและตอบโต้ด้วยวาจาเย้ยหยันก่อนเหวี่ยงฝ่ามือวายุออกไปอีกครั้ง
ตูมมม !
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ซิวก็กระโดดออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและใช้ฝ่ามือรับการโจมตีของหมิงจื้อเหยี่ยนไว้
“ใครกัน ?!”
หมิงจื้อเหยี่ยนชะงักไปทันทีและรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบกับผู้มาใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าอย่างกะทันหัน
“เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นอายนี้อยู่กับตัวได้ ?”
เขาเอ่ยถามด้วยความงุนงง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของซิวทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะและมันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างมาก สำหรับเขาแล้ว ต้นตอของกลิ่นอายนี้คือตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวและน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตเสียอีก
“เหอะ ใครกันที่มอบความกล้าหาญให้กับเจ้า ไม่คาดคิดว่าจะกล้าข่มขู่นายหญิงของข้า…ซิวผู้นี้ ?!”
ซิวแค่นเสียงอย่างเย็นชาทันที แม้ความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้จะไม่มากเท่ากับหมิงจื้อเหยี่ยน ทว่าคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของมันก็ไม่ด้อยกว่าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพียงแค่ปรากฏตัว มันก็ทำให้คนตระกูลหมิงเกิดความคิดยอมจำนนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เหอะ ที่แท้ก็เป็นอสูรมายาที่ยังไม่ได้มีพลังอยู่ในสภาวะสูงสุดนี่เอง การที่มีกลิ่นอายเช่นนี้แผ่ออกมาคงจะเป็นเพราะเจ้ามีสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นั้นอยู่ส่วนหนึ่งสินะ !”
หมิงจื้อเหยี่ยนสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของซิวและสีหน้าใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว
หากสืบสายเลือดมาจากบุคคลผู้นั้นโดยตรง เขาก็คงจะหวาดกลัวมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ซิวเป็นเพียงอสูรมายาที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพยุทธ์เก้าดาราขั้นสูงสุดเป็นอย่างมากเท่านั้นซึ่งมิใช่ระดับที่เขาจะต้องหวาดกลัว
“มันมิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า !”
ซิวก็ไม่ทราบเลยว่าหมิงจื้อเหยี่ยนหมายถึงผู้ใด มันจึงไม่สนใจนักและกล่าวตอบโต้อย่างเย็นชา
“เหอะ เจ้าหยุดข้าไม่ได้หรอก !”
หมิงจื้อเหยี่ยนแค่นเสียงเย็นชาและเหวี่ยงฝ่ามือวายุออกไปเพื่อโจมตีตรงไปที่ซิว
ซิวก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยและปล่อยฝ่ามือวายุออกไปเพื่อขัดขวางการโจมตีของอีกฝ่ายเช่นกัน
ตูมมม !
พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงส่งผลให้ร่างของซิวถอยหลังไปหลายก้าวก่อนทรงตัวได้อีกครั้ง ในขณะที่หมิงจื้อเหยี่ยนไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฝ่ายที่ทรงพลังกว่ามาก
“ซิว กลับมาก่อน !”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นในโสตประสาทของซิว เมื่อครู่ซิวเพียงต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น และในเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็วางข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพจนสำเร็จแล้ว แม้จะทำร้ายหมิงจื้อเหยี่ยนให้บาดเจ็บไม่ได้ นางก็สามารถขัดขวางเขาได้และยื้อเวลาได้นานพอที่จะให้ทุกคนหลบหนีได้พ้น
ฟึ่บ !
ในเวลานี้ ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาใต้เท้าของหมิงจื้อเหยี่ยนก่อนที่จะล้อมรอบเขาไว้
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ ซิวและเยี่ยชางไห่ก็ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและขับเคลื่อนตรงไปยังทิศทางของเมืองเซิ่งหลิงอย่างรวดเร็ว
“บัดซบ !”
หมิงจื้อเหยี่ยนสบถเสียงดังด้วยความไม่พอใจและปลดปล่อยคลื่นพลังรุนแรงออกไปรอบตัวจนทำลายข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของความพยายามดังกล่าวก็นานพอที่จะทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หลบหนีออกจากระยะการไล่ล่าของเขาจนไม่มีทางตามได้ทันอีก
พรวดดด !
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กระอักเลือดคำโตออกมาและใบหน้าซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด
ต้องยอมรับว่าหมิงจื้อเหยี่ยนมีพลังอำนาจที่แกร่งกล้าจนเกินไป เพียงการต้านทานพลังโจมตีจากฝ่ามือวายุของเขาก็ทำให้นางบาดเจ็บได้ในระดับหนึ่งแล้ว