“อวี้โม่ เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?!”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของฉินอวี้โม่ ฉินเหยียนก็ปรี่เข้าไปใกล้และเอ่ยถามด้วยความกังวลทันที
“ข้าไม่เป็นไร พักสักหน่อยก็คงจะหาย”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ เพื่อมิให้ฉินเหยียนเป็นกังวล ตอนนี้นางบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากการปรับสภาวะพลังภายในร่างกายพักหนึ่ง นางก็จะหายดีและไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
“หมิงจื้อเหยี่ยนแข็งแกร่งมากจริง ๆ!”
เยี่ยชางไห่เองก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าด้วยความแข็งแกร่งที่มากกว่าฉินอวี้โม่ อาการบาดเจ็บดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเขามากนัก
คลื่นพลังของซิวในตอนนี้ก็เกิดการผันผวนเล็กน้อยเช่นกัน มันและหมิงจื้อเหยี่ยนปะทะกันถึงสองคราและใช้พลังงานในร่างกายไปเกือบทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหมิงจื้อเหยี่ยนคือจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เฟยอวิ๋นจะกล่าวว่าตัวเขาไม่มีทางเอาชนะผู้นำตระกูลหมิงได้เลยหากไม่ทะลวงพลังเสียก่อน…
ตอนนี้ต่อให้เฟยอวิ๋นทะลวงพลังได้สำเร็จ การเอาชนะหมิงจื้อเหยี่ยนก็มิใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
“โชคดีที่ภารกิจของเราครานี้สำเร็จผล พี่สะใภ้ เยี่ยซาและคนอื่น ๆ ถูกช่วยออกมาแล้ว ตระกูลหมิงไม่มีตัวประกันที่จะใช้ข่มขู่เราได้อีก หากเราต่อสู้อย่างสุดความสามารถ เรายังมีโอกาสเอาชนะได้”
ในเวลานี้เยี่ยชางไห่ก็มองไปที่เยี่ยซาและคนอื่น ๆ ก่อนสายตาหยุดลงที่ฉินเหยียน
“เจ้าคือหลานสะใภ้ของข้าและเป็นภรรยาของเยี่ยเฟิง—ฉินเหยียนสินะ”
เขาไม่เคยพบหน้าฉินเหยียนทว่าเคยได้เห็นภาพวาดของนางมาก่อนแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนคือสตรีงามอันดับต้น ๆ ซึ่งยากที่จะมีสตรีใดเทียบชั้นได้ ไม่คิดเลยว่ารูปลักษณ์และความสง่างามของฉินเหยียนผู้นี้จะไม่ด้อยไปกว่าคนทั้งสองแม้แต่น้อย
ลักษณะท่าทางของฉินเหยียนก็ดูสงบนิ่งและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าสตรีทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม สตรีงามทั้งสามมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปและล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตนเอง
“นี่คือกำไลที่ท่านย่าของเจ้าทิ้งไว้ เดิมทีมันจะเป็นของแม่สามีของเจ้า ทว่าเกิดเรื่องกับนางเสียก่อนจึงไม่ได้รับมันไปและข้าเก็บมันไว้เสมอมา ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องส่งต่อให้กับเจ้าแล้ว”
เยี่ยชางไห่หยิบกำไลประดับรูปดาวสีเงินซึ่งดูสวยงามเป็นเอกลักษณ์ออกมาและยื่นให้กับฉินเหยียนพลางกล่าวถึงที่มาของมัน
“ขอบคุณท่านปู่เจ้าค่ะ”
ฉินเหยียนรับมันไว้และเก็บลงในแหวนมิติอย่างระมัดระวังก่อนกล่าวขอบคุณเยี่ยชางไห่พร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้ยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัด นางก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและความจริงใจจากบุรุษตรงหน้า ในเมื่อเป็นคนที่ฉินเฟิงให้การยอมรับแล้ว นางก็จะไม่คัดค้านสิ่งใด
“ข้ารู้สึกผิดต่อเฟิงเอ๋อร์จริง ๆ และต้องขอบคุณเจ้ามากที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้น คิดไม่ออกเลยว่าสถานการณ์ของพ่อหนุ่มนั่นจะเป็นอย่างไร”
เยี่ยชางไห่โบกมือเบา ๆ เพื่อบ่งบอกว่าฉินเหยียนไม่จำเป็นต้องเกรงใจและกล่าวแสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อนาง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉินเหยียนคอยอยู่เคียงข้างเยี่ยเฟิงหลายชายของเขามาเสมอโดยที่ไม่ตัดใจยอมแพ้และช่วยเหลือเขามามาก หากมิใช่เพราะมีฉินเหยียนอยู่ด้วย เกรงว่าเยี่ยเฟิงคงจะไม่เติบโตกลายเป็นบุรุษที่น่าเคารพเช่นทุกวันนี้
“ท่านปู่ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ มันคือสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
ฉินเหยียนยิ้มอย่างเคอะเขินทว่าแอบยอมรับท่านปู่ตรงหน้าอยู่ในใจ
หลังจากการเดินทางสองถึงสามวัน ทุกคนก็มาถึงเมืองเซิ่งหลิง
ภายในเมืองเซิ่งหลิง เยี่ยเฟิงและคนอื่น ๆ ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่เห็นว่าฉินอวี้โม่ช่วยฉินเหยียนออกมาสำเร็จ ทุกคนก็โล่งใจและมีความสุขกันอย่างมาก
เยี่ยเฟิงก็เข้าไปจับมือฉินเหยียนไว้แน่นและไม่ต้องการปล่อยไปแม้แต่เสี้ยวอึดใจ
“เหยียนเอ๋อร์ ข้าทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานมามาก…”
เขากล่าวด้วยแววตาเห็นใจ แม้ภายนอกฉินเหยียนจะดูปลอดภัยดี เขาก็ทราบดีว่านางต้องเผชิญกับแรงกดดันทางจิตใจระหว่างที่ถูกกักขังภายในจวนตระกูลหมิงในช่วงที่ผ่านมา
“พี่เฟิง ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”
ฉินเหยียนส่ายศีรษะเบา ๆ ขณะสบตาฉินเฟิงตรงหน้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากและแววตาของเขาแสดงถึงความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
แม้ฉินอวี้โม่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงคร่าว ๆ ในระหว่างที่เดินทางกลับมา ฉินเหยียนก็สัมผัสได้ดีว่าฉินเฟิงต้องทนทุกข์เพียงใดตลอดเวลาที่ผ่านมา แรงกดดันที่ได้รับระหว่างการสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษในดินแดนต้องห้ามเป็นสิ่งที่รุนแรงเกินจินตนาการ
จากนั้นทั้งสองก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กันและกันได้รับรู้ในขณะที่เยี่ยซาและคนอื่น ๆ ถูกส่งกลับไปพักฟื้นในที่พักเดิมที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่
“ตอนนี้ตระกูลหมิงกำลังเดินทางมาที่นี่ ภายในเวลาห้าวัน พวกเขาจะบุกโจมตีเมืองเซิ่งหลิงได้อย่างแน่นอน ตอนนี้คนของวิหารเมฆาโบยบินเดินทางถึงที่ใดกันแล้ว ?”
เยี่ยชางไห่กล่าวก่อนเอ่ยถามเพื่อตัดสินใจต่อไปว่าจะรอคนเหล่านั้นภายในเมืองหรือออกไปสมทบกัน
“พวกเขาจะมาถึงในอีกสามวันเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเราควรออกไปนอกเมืองจะดีกว่าเพื่อที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นในเมืองเซิ่งหลิง”
เยี่ยหลิงซีไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสนอความคิดเห็นออกไป แม้การอยู่ในเมืองเซิ่งหลิงจะช่วยให้ฝ่ายของตนมีข้อได้เปรียบมากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดสงครามขึ้น อาคารสิ่งปลูกสร้างมากมายในเมืองและประชากรผู้ที่อ่อนแอจะได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะเหตุนั้น การนำกองทัพออกไปนอกเมืองเพื่อประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ออกไปนอกเมืองและจัดตั้งแนวป้องกันกันก่อนเถอะ”
เยี่ยชางไห่และคนอื่น ๆ ก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด หลังจากตกลงกับตระกูลอื่น ๆ ทุกคนก็มุ่งหน้าออกไปนอกเมืองด้วยกันและจัดตั้งแนวป้องกันขึ้นที่นอกผืนป่าซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองประมาณสิบลี้
ฉินอวี้โม่และมารยาก็วางข่ายอาคมไว้รอบบริเวณเพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีจากตระกูลหมิงในขณะที่ทุกคนเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ
หลังจากเวลาอีกสองวันผ่านไป ในที่สุดคณะจากวิหารเมฆาโบยบินก็เดินทางมาถึง
ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของขุมกำลังเป็นผู้ที่นำกองทัพมาในครานี้ นอกเหนือจากเพียงไม่กี่คนที่ประจำอยู่ที่วิหารเมฆาโบยบิน สมาชิกเกือบทั้งหมดได้เดินทางมาที่นี่แล้ว ผู้อาวุโสมากกว่าสิบคน จอมยุทธ์ยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของขุมกำลังและบรรดาศิษย์มากพรสวรรค์ทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันอยู่ข้างนอกเมืองเซิ่งหลิง
“ลูกพี่อวี้โม่ !”
ทันทีที่มองเห็นฉินอวี้โม่ เฟยโม่ อวิ๋นซานและคนอื่น ๆ ก็ปรี่เข้ามาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อครั้งยังอยู่ในวิหารเมฆาโบยบินก่อนหน้านี้ พวกนางได้รับการชี้แนะจากฉินอวี้โม่และเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าฉินอวี้โม่ถือเป็น ‘ลูกพี่’ ของพวกตน
บรรดาผู้อาวุโสของวิหารเมฆาโบยบินก็ไม่สนใจนัก ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงคำเรียกเท่านั้น หากมันทำให้ศิษย์เหล่านั้นมีความสุข พวกเขาก็ไม่เก็บมาคิดให้เสียเวลา
“ไม่ได้พบกันเสียนาน ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าพัฒนาขึ้นมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายคนเหล่านั้นพร้อมรอยยิ้มและพบว่าความแข็งแกร่งของทุกคนล้วนพัฒนาขึ้นมาในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ชัดเจนนัก มันก็เป็นความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับเฟยโม่ผู้ซึ่งกอดแขนฉินอวี้โม่อยู่ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางก็บรรลุถึงขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราขั้นสูงสุดแล้วซึ่งสูงกว่าก่อนหน้านี้ถึงหนึ่งระดับเต็ม
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่แล้ว ทุกคนนึกถึงวันที่จะได้พบกับเจ้าอีกครั้งและไม่อยากถูกซัดจนน่วมเช่นคราก่อน”
อวิ๋นซานกล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกันและบรรลุถึงขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราขั้นสูงสุดแล้วซึ่งถือว่าพัฒนาขึ้นพอสมควร
คนอื่น ๆ ล้วนมองมาที่ฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางตื่นเต้นไม่ต่างกัน
หากอวิ๋นหลิงไม่ก้าวออกมาขัดจังหวะไว้ก่อน เกรงว่าพวกเขาคงจะสรรหาเรื่องมาพูดคุยกับฉินอวี้โม่เป็นระยะเวลาหลายวันหลายคืนติดต่อกันเป็นแน่
“ตอนนี้คนของตระกูลหมิงอยู่ที่ใดรึ ?”
เมื่อทราบว่าก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้ประจันหน้ากับคนตระกูลหมิงแล้ว อวิ๋นหลิงจึงเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“คาดการณ์ได้ว่าคงจะอยู่ไกลออกไปไม่เกินหนึ่งร้อยลี้เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ได้ส่งคนไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของคนตระกูลหมิงและได้เพียงคาดการณ์อย่างคร่าว ๆ เท่านั้น ทว่าหากคำนวณจากเวลาที่ผ่านมา นางก็คิดว่าพวกเขาเหล่านั้นใกล้ที่จะเข้ามาถึงที่นี่เต็มที
“ท่านจ้าววิหารเตรียมตัวถึงไหนแล้วเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามเบา ๆ ก่อนหน้านี้เฟยอวิ๋นส่งข่าวมาแจ้งว่าเขาทะลวงพลังได้สำเร็จแล้วและตอนนี้เขาอาจจะกำลังเดินทางมาที่นี่
“ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างพร้อมแล้ว !”
อวิ๋นหลิงพยักศีรษะและยิ้มให้กับฉินอวี้โม่