หลังจากฉินอวี้โม่และทุกคนปักหลักอยู่ที่นอกเมืองเซิ่งหลิงนานสี่วัน กองทัพของตระกูลหมิงก็ปรากฏขึ้นมาในระยะสายตา
“เหอะ คนของวิหารเมฆาโบยบินมาเร็วทีเดียว !”
เมื่อเห็นคนของวิหารเมฆาโบยบินที่กำลังรวมตัวอยู่กับขุมกำลังจำนวนมากของเมืองเซิ่งหลิง หมิงจื้อเหยี่ยนก็แค่นเสียงเย็นชาและเดินตรงเข้าไปทันที
“หมิงจื้อเหยี่ยน ตระกูลหมิงของเจ้าคิดจะทำลายสมดุลของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รึ ?”
อวิ๋นหลิงกล่าวอย่างเย็นชา ทว่าทั้งสองฝ่ายไม่รีบร้อนโจมตี
“ใช่ว่าเราอยากจะทำลายสมดุลของดินแดนนี้ ทว่าคนบางคนไม่รู้ว่าสิ่งใดควรหรือสิ่งใดไม่ควร หากฉินอวี้โม่ยอมยกมิติที่สองของนางมาให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะพาคนของข้ากลับไป !”
หมิงจื้อเหยี่ยนชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่และเปิดเผยจุดประสงค์ของตนออกไป ราวกับว่าการบุกโจมตีของตระกูลหมิงในครานี้ไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากการที่ต้องการครอบครองมิติที่สองในมือของฉินอวี้โม่
“ใช่สิ หากอวี้โม่ยอมยกมิติที่สองให้เจ้า เจ้าก็จะกลับไปรับคนของตระกูลหมิงมาที่นี่ได้สะดวกยิ่งขึ้น”
ถ้อยคำยั่วยุปลุกปั่นของหมิงจื้อเหยี่ยนไม่สามารถทำให้อวิ๋นหลิงและคนของวิหารเมฆาโบยบินหลงกลแม้แต่น้อย พวกนางเพียงกล่าวอย่างประชดประชันก่อนกล่าวต่อทันที “หมิงจื้อเหยี่ยน ตระกูลหมิงของเจ้าคงจะไม่มีศีลธรรมในหัวใจเลยสินะ การที่ต้องการจะยุให้รำ ตำให้รั่วเช่นนี้ คิดว่าใครจะเชื่อเจ้างั้นรึ ?”
* 挑拨离间 ยุให้รำ ตำให้รั่ว ความหมายคือ ยุแยงให้ผู้อื่นแตกคอกัน ความหมายเหมือนกับเสี้ยมเขาให้ชนกันและยุแยงตะแคงรั่ว
อวิ๋นหลิงไม่ปิดบังความชิงชังที่มีต่อตระกูลหมิงแม้แต่น้อย คนเหล่านี้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของทุกคนในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
“อวิ๋นหลิง ไม่ได้พบกันนานหลายปี ดูเหมือนว่าฝีปากของเจ้าจะแกร่งกล้าขึ้นมาก !”
หมิงชิงก้าวออกมาและยืนประจันหน้ากับอวิ๋นหลิง
“จ้าววิหารเมฆาโบยบินของพวกเจ้าอยู่ที่ใดกัน ? บอกให้เขารีบโผล่หัวออกมาเถอะ หากไม่มีเขาอยู่ที่นี่ ท่านผู้นำของพวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาลงมือด้วยซ้ำ และพวกเจ้าทุกคนก็ควรจะยอมจำนนแต่โดยดี”
“หมิงชิง เลิกพูดพล่ามไร้สาระเถอะ ผ่านมานานหลายปีแล้วแต่ความแข็งแกร่งของเจ้าก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเท่าใดนัก ข้าอยากจะดวลกับเจ้ามานานแล้วและอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด !”
ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของวิหารเมฆาโบยบินก้าวออกจากฝูงชนและเปิดฉากโจมตีหมิงชิงทันที
“ตามที่เจ้าปรารถนา !”
หมิงชิงก็ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใดและตรงเข้าไปประจันหน้ากับผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของวิหารเมฆาโบยบินเช่นกัน
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลหมิงก็เลือกคู่ต่อสู้ของพวกตนก่อนตรงเข้าโจมตีจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของเมืองเซิ่งหลิงและวิหารเมฆาโบยบิน
“เข้ามาพร้อมกันได้เลย ข้าไม่อยากเสียเวลา !”
หมิงจื้อเหยี่ยนโบกมือเชื้อเชิญให้อวิ๋นหลิงและฉินอวี้โม่ รวมถึงคนอื่น ๆ ซึ่งยังไม่มีคู่ต่อสู้ให้โจมตีตนพร้อมกันในคราวเดียว เขาไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรเฟยอวิ๋นก็ยังอยู่ในช่วงเก็บตัวและไม่มีผู้ใดจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้ ครานี้ตระกูลหมิงของเขาไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“อย่าเพิ่งมั่นใจไปนักเลย !”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็สบตากันเล็กน้อยก่อนตรงเข้าโจมตีหมิงจื้อเหยี่ยนด้วยกัน ครานี้นางไม่จำเป็นต้องซ่อนไพ่ตายอีกต่อไป ฉินอวี้โม่จึงเรียกกองทัพอสูรของตนออกมาทันที อึดใจต่อมา เสี่ยวเฮยและบรรดาอสูรก็รวมร่างเข้าด้วยกันก่อนกลายเป็นอสูรยักษ์ที่ทรงพลังและฟาดฝ่ามือเข้าใส่หมิงจื้อเหยี่ยนอย่างรวดเร็ว
หมิงจื้อเหยี่ยนก็เรียกอสูรมายาของตนออกมาเช่นกัน มันคือพยัคฆ์นรกที่มีความแข็งแกร่งในระดับเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดซึ่งมีสายเลือดที่บริสุทธิ์และทรงพลังอย่างยิ่ง
“พวกเราจะจัดการเจ้านี่เอง”
หานอวี้และมารยาตรงเข้าโจมตีพยัคฆ์นรกทันที สำหรับการรับมือกับอสูรระดับเทพสวรรค์ขั้นสูงสุด การร่วมมือของพวกมันทั้งสองถือว่ามากพอแล้ว
สงครามเริ่มต้นอย่างเป็นทางการและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้นิ่งดูดายแต่อย่างใดโดยที่ตรงเข้าไปประจันหน้ากับคนตระกูลหมิงเช่นกัน
พลังอำนาจของตระกูลหมิงถือว่าแกร่งกล้าอย่างยิ่ง ทว่าการผนึกกำลังร่วมกันของขุมกำลังในดินแดนและวิหารเมฆาโบยบินทำให้พวกเขามีความได้เปรียบในด้านจำนวน ทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดและยากจะที่จะกำหนดผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่ต่อสู้กับหมิงจื้อเหยี่ยนก็ตกเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ผู้นำตระกูลหมิงมีพลังที่แกร่งกล้าจนเกินไป แม้พวกนางหลายคนจะร่วมมือกันก็ทำได้เพียงรับมืออย่างจวนเจียนเท่านั้นและไม่มีพลังมากพอที่จะตอบโต้กลับได้
รอบตัวของหมิงจื้อเหยี่ยนก็ปกคลุมไปด้วยม่านป้องกันที่ทรงพลังซึ่งยากที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะฝ่าทะลวงผ่านไปได้ นับประสาอะไรกับการทำให้เขาบาดเจ็บ
เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้หมิงจื้อเหยี่ยนรู้สึกกังวลได้คืออสูรยักษ์ใหญ่ที่ก่อตัวจากการรวมร่างของเสี่ยวเฮยและกองทัพอสูรของฉินอวี้โม่
ในขณะที่ความแข็งแกร่งของบรรดาอสูรพัฒนามากขึ้น รูปลักษณ์ของอสูรยักษ์ใหญ่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
อสูรรวมร่างในปัจจุบันนี้ก่อตัวขึ้นจากอสูรนับพันนับหมื่นตัวและรูปลักษณ์ของมันในตอนนี้ดูคล้ายมนุษย์ทว่ามีขนาดใหญ่ดุจดั่งภูเขาทั้งลูก อสูรยักษ์ใหญ่ถือขวานเล่มใหญ่ในมือและโดยรวมดูคล้ายคลึงกับ ‘ผานกู่’ ผู้สร้างโลกในตำนาน
* บรรพบุรุษของมวลมนุษย์ นามว่า 盘古 ผานกู่ เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกสุดของโลก เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
ขวานเล่มใหญ่ฟาดฟันเข้าที่ม่านป้องกันของหมิงจื้อเหยี่ยนอย่างจังจนเกิดการสั่นสะเทือนที่รุนแรงในทุกครา ในขณะที่การโจมตีของหมิงจื้อเหยี่ยนก็กระทบลงที่ร่างของอสูรยักษ์เช่นกัน
“ช่างทรงพลังยิ่งนัก”
เยี่ยชางไห่และคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ในระยะห่างออกไปก็มองเห็นอสูรยักษ์ผานกู่ของฉินอวี้โม่และอดกล่าวชื่นชมพลางถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้
พลังการต่อสู้ของอสูรยักษ์ตนนี้อยู่เหนือกว่าพวกเขาทุกคนอย่างแท้จริง และมันเป็นตัวตนที่ทรงพลังมากที่สุดในสมรภูมิรบแห่งนี้นอกเหนือจากหมิงจื้อเหยี่ยน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอสูรยักษ์จะแข็งแกร่งมาก มันก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงเช่นกัน นั่นคือความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันที่เชื่องช้าอย่างมากในขณะที่พลังมายาก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วและไม่สามารถต่อสู้ได้นานนัก ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของหมิงจื้อเหยี่ยนก็เหนือกว่าฉินอวี้โม่มากและอสูรรวมร่างทำได้เพียงคุกคามเขาในระดับหนึ่งโดยที่ไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้กับเขาได้เลย
หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน
“ยอมแพ้เสียเถอะ พวกเจ้าทำร้ายข้าไม่ได้และไม่มีทางเอาชนะข้าได้”
สีหน้าของหมิงจื้อเหยี่ยนแสดงความทะนงตนเล็กน้อย ทว่าเขาก็แอบหวาดหวั่นต่อฉินอวี้โม่อยู่เช่นกัน เพียงแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าและยังคงวางท่าราวกับไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
“ฉินอวี้โม่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากยอมจำนนต่อข้าแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง หากสามารถข่มขู่ให้นางก้มหัวศิโรราบได้ นางจะเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังต่อเขามากและจะเป็นประโยชน์สำหรับแผนการต่อไปในอนาคต
“นี่เจ้าไม่เหนื่อยหน่ายกับการกล่าวเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ารึ ?”
ฉินอวี้โม่ยังคงไม่แยแสเช่นเดิมและไม่มีทางเป็นไปได้ที่นางจะยอมจำนนต่อผู้นำตระกูลหมิง
อย่างไรก็ตาม นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีตมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ หมิงจื้อเหยี่ยนมีสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทว่าเขากลับทรงพลังมากถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนผู้นั้นจะทรงพลังเพียงใด…
สำหรับการล่มสลายของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางก็ต้องการทราบถึงสาเหตุมากยิ่งกว่า เกิดอะไรขึ้นในอดีตจึงทำให้บรรพบุรุษของตระกูลหมิงตัดสินใจเช่นนั้น ?
“ถ้าเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน !”
คลื่นพลังจากร่างของหมิงจื้อเหยี่ยนพุ่งพรวดขึ้นอีกครั้ง หากไม่สามารถใช้งานอัจฉริยะเช่นนี้ได้ นางก็จะต้องถูกกำจัดไปเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ฉินอวี้โม่ก็จะต้องตาย !
ทันใดนั้น ก้อนพลังมายาจำนวนหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นในมือของหมิงจื้อเหยี่ยนก่อนถูกปล่อยตรงไปที่อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ผู้ซึ่งกำลังโจมตีเขาจากด้านข้าง ในขณะเดียวกัน เขาก็ปล่อยคลื่นพลังที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาที่น่าสะพรึงกลัวตรงไปที่อสูรยักษ์
ตูมม ตูมม ตูมมม !
พลั่ก !
หลังจากเสียงปะทะหลายครา ฉินอวี้โม่ อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปและร่วงลงพื้นในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน
ร่างของอสูรยักษ์ใหญ่ก็เซไปมาเล็กน้อยเช่นกัน เวลานี้มันสูญเสียพลังมายาไปแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่งและอสูรรวมร่างก็ใกล้ที่จะสลายไปเต็มที
“ใช้ท่าไม้ตายกันเถอะ !”
เสียงของเสี่ยวเฮยดังขึ้นในโสตประสาทของอสูรทั้งหมดและขวานเล่มใหญ่เปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นมาทันที