จู่ ๆ ขวานยักษ์ใหญ่ในมือของอสูรยักษ์ก็เปล่งแสงสว่างออกมา จากนั้นมันก็ยกมือขึ้นสูงและเหวี่ยงขวานตรงไปยังจุดที่หมิงจื้อเหยี่ยนยืนอยู่
หมิงจื้อเหยี่ยนไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย มือของเขาร่ายไปมาเล็กน้อยเพื่อสร้างผนึกบางอย่างและกระบี่สีทองอร่ามเล่มยาวก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งตรงไปประจันหน้ากับขวานเล่มใหญ่นั้น
พลังทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างจัง และสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อหมิงจื้อเหยี่ยนและอสูรยักษ์ชะงักอยู่กับที่โดยที่ไม่มีฝ่ายใดที่สามารถทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้
ตูมมม !
หลังจากทุกอย่างหยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง เสียงดังสนั่นก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และพลังงานจากควันหลงของการปะทะก็ทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กระเด็นออกไป เรียกได้ว่าการปะทะครานี้ส่งผลกระทบต่อทุกคนในวงกว้าง
“นายหญิง เราพยายามอย่างสุดฝีมือแล้ว”
เสียงของเสี่ยวเฮยดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และลมหายใจของมันก็อ่อนแอลงมาก จากนั้นอสูรยักษ์ก็หายวับไปต่อหน้าทุกคนและอสูรทั้งหมดกลับคืนสู่คฤหาสน์เฟิงหัวทันที การโจมตีเมื่อครู่ทำให้พวกมันบาดเจ็บหนักพอสมควร
ในตอนนี้บนมุมปากของหมิงจื้อเหยี่ยนก็มีคราบเลือดปรากฏอย่างชัดเจน แม้การโจมตีเมื่อครู่จะเอาชนะอสูรยักษ์ได้ ทว่าตัวเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจของเขาก็แกร่งกล้าเกินไปและอาการบาดเจ็บเช่นนี้มิใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงแม้แต่น้อย
“ฉินอวี้โม่ เจ้ายังมีไพ่ตายอะไรอีกล่ะ ? นำมันออกมาสิ !”
เขาชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตามุ่งร้ายอย่างไม่ปิดบังก่อนพุ่งตรงเข้าไปโจมตีนาง
“โร่ววว !”
แต่ทว่า…ก่อนที่เขาจะเข้าไปถึงตัวเป้าหมาย หมิงจื้อเหยี่ยนก็พบว่าตนติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่ดังขึ้นมา
ในเวลานี้ ร่างของซิวก็ปรากฏขึ้นและตรงเข้าโจมตีหมิงจื้อเหยี่ยนเช่นกัน
“ฉินอวี้โม่ ต้องยอมรับเลยว่าผู้ใช้ข่ายอาคมเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ หากเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ละก็ เจ้าก็อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อข้าได้ น่าเสียดายที่เจ้ายังอ่อนแอเกินไป !”
ภายในข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ หมิงจื้อเหยี่ยนยังคงดูสงบนิ่งและใจเย็นอย่างมาก
ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพเป็นข่ายอาคมที่ทรงพลังอย่างแท้จริง หากพลังของฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์เก้าดาราขั้นสูงสุด ข่ายอาคมของนางก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเขาได้มาก น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของหมิงจื้อเหยี่ยนในปัจจุบันมิใช่ขอบเขตเทพสวรรค์อีกต่อไป ทว่าบรรลุถึงขอบเขตที่เหนือกว่า เพราะเหตุนั้น ข่ายอาคมของฉินอวี้โม่จึงส่งผลกระทบต่อเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ตายเสียเถอะ !”
เขาตะโกนกร้าวและแรงกดดันอันทรงพลังแผ่ตรงไปยังมังกรขนาดใหญ่ทั้งเก้าตัวภายในข่ายอาคม
เคร๊ง !
มีเพียงเสียงหนึ่งดังขึ้นและข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของฉินอวี้โม่ก็แตกสลายไปโดยที่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของหมิงจื้อเหยี่ยนได้เพียงเสี้ยวอึดใจ
ซิวก็ปล่อยการโจมตีเข้าใส่หมิงจื้อเหยี่ยนได้หลายครา ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วและมิใช่คู่มือของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“หากเก็บตัวสงบเสงี่ยมและใช้เวลาเตรียมตัวอีกสักพัก บางทีพวกเจ้าก็อาจจะมีโอกาสทำให้ตระกูลหมิงของเราสั่นคลอนได้ น่าเสียดายที่พวกเจ้าบุ่มบ่ามใจร้อนจนเกินไป และวันนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องชดใช้เพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนนั้น !”
หลังจากที่สิ้นเสียง หมิงจื้อเหยี่ยนก็เหวี่ยงฝ่ามือวายุที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาเก้าในสิบส่วนของตนออกไปเพื่อโจมตีฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
“หมิงจื้อเหยี่ยน อย่ารีบดีใจไปหน่อยเลย !”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นในหูของทุกคนและการโจมตีของหมิงจื้อเหยี่ยนก็ถูกขัดขวางไว้ทันที เวลานี้เกิดคลื่นพลังบางอย่างในอากาศและร่างของเฟยอวิ๋นก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน
“เฟยอวิ๋น เจ้าทะลวงพลังได้สำเร็จแล้วรึ ?!”
สีหน้าของหมิงจื้อเหยี่ยนเปลี่ยนไปทันทีที่สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเฟยอวิ๋น คิดไม่ถึงเลยว่าการทะลวงพลังของจ้าววิหารเมฆาโบยบินจะเสร็จสมบูรณ์ในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้
เดิมทีความแข็งแกร่งของเฟยอวิ๋นยังอ่อนแอกว่าหมิงจื้อเหยี่ยนพอสมควร ทว่าหลังจากการทะลวงพลังครานี้ เฟยอวิ๋นก็คงจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับเขาได้ กอปรกับการร่วมมือจากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ซึ่งมีฝีมือไม่น้อยทำให้ยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าผลลัพธ์ของสงครามครานี้จะเป็นอย่างไร
“หมิงจื้อเหยี่ยน คิดว่าข้าจะทะลวงพลังไม่สำเร็จในเวลาสั้น ๆ รึ ? และการที่เจ้าส่งคนของตระกูลหมิงไปจับตาดูสถานการณ์ข้างนอกวิหารเมฆาโบยบินของข้า เจ้าคิดว่าพวกเขาจะขัดขวางข้าได้รึ ? ช่างเป็นความคิดที่เพ้อฝันสิ้นดี !”
เฟยอวิ๋นแสยะยิ้มเย็นชา ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาเตรียมบางสิ่งบางอย่างไว้สำหรับการประจันหน้ากับหมิงจื้อเหยี่ยน
แม้การทะลวงพลังของเขาจะสำเร็จแล้ว การเอาชนะหมิงจื้อเหยี่ยนก็ยังเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม ด้วยของสิ่งนี้ เขาจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้ได้อย่างแน่นอนและนี่เป็นสาเหตุที่เฟยอวิ๋นไม่ปรากฏตัวจนกระทั่งถึงตอนนี้
“ออกมาเถอะ คู่หูของข้า !”
เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ และดาบสันโค้งรูปร่างแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
ดาบโค้งเล่มนี้มีลักษณะที่แปลกประหลาดและแผ่กลิ่นอายความเยือกเย็นออกมา เพียงมันปรากฏขึ้นมา บรรยากาศรอบบริเวณก็เริ่มเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที
“ดาบผลึกน้ำแข็ง !”
ทันทีที่เห็นดาบโค้งเล่มนั้น สีหน้าของหมิงจื้อเหยี่ยนก็เคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ
‘ดาบผลึกน้ำแข็ง’ คือสมบัติล้ำค่าของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีพลังที่ไร้เทียมทานและเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับหมิงจื้อเหยี่ยน การป้องกันที่แข็งแกร่งของหมิงจื้อเหยี่ยนจะไม่มีผลใด ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับดาบผลึกน้ำแข็งเล่มนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากการทะลวงพลัง ความแข็งแกร่งของเฟยอวิ๋นก็ด้อยกว่าเขาเพียงไม่มากนักและการที่มีดาบผลึกน้ำแข็งเล่มนี้เสริมขึ้นมา มันจะช่วยให้กดข่มหมิงจื้อเหยี่ยนได้โดยสมบูรณ์
“ฮ่า ๆ ๆ เฟยอวิ๋น คิดว่าข้าไม่มีอาวุธงั้นรึ ?”
อย่างไรก็ตาม เพียงครู่เดียว สีหน้าของหมิงจื้อเหยี่ยนก็เปลี่ยนไปอีกครั้งและกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
ทันใดนั้น กระบี่เล่มยาวก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างตรงหน้าเขาจนปรากฏเป็นกระบี่สีแดงเพลิงซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลราวกับสามารถแผดเผาทุกสรรพสิ่งตรงหน้า เพียงได้เห็นมัน หัวใจของหลายคนก็หวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่า ๆ ๆ ที่แท้กระบี่วิญญาณอัคคีก็อยู่ในมือของเจ้านี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะมั่นใจนัก”
เฟยอวิ๋นไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาที่เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายไป สมบัติบางส่วนที่ถูกรวบรวมไว้ที่นั่นก็ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ดาบผลึกน้ำแข็งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของวิหารเมฆาโบยบินได้มาโดยบังเอิญ การที่หมิงจื้อเหยี่ยนจะมีสมบัติของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครองจึงมิใช่เรื่องที่เหนือจินตนาการ
กระบี่วิญญาณอัคคีและดาบผลึกน้ำแข็งมีคุณสมบัติต่อต้านกันและกัน ในตอนแรก เฟยอวิ๋นผู้ครอบครองดาบผลึกน้ำแข็งดูจะมีข้อได้เปรียบเหนือกว่า ทว่าเขาก็ต้องกลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้งหลังจากที่กระบี่วิญญาณอัคคีปรากฏขึ้นมา
“มาสู้กันเถอะ !”
เฟยอวิ๋นไม่กล่าวสิ่งใดให้เสียเวลาและตรงเข้าโจมตีหมิงจื้อเหยี่ยนโดยที่ใช้ความเร็วสูงและใช้พลังอย่างเต็มที่
หมิงจื้อเหยี่ยนก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เขากวัดแกว่งกระบี่วิญญาณอัคคีในมือและต่อสู้กับเฟยอวิ๋นอย่างไม่ออมมือเช่นกัน
การโจมตีของทั้งสองรวดเร็วอย่างยิ่งส่งผลให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แทบมองตามไม่ทัน
เฟยอวิ๋นปลดปล่อยการโจมตีอย่างสุดความสามารถและทุกกระบวนท่าของเขาก็เต็มไปด้วยพลังที่รุนแรง ในขณะเดียวกัน หมิงจื้อเหยี่ยนเองก็ไม่ยอมตั้งรับการโจมตีเหล่านั้นโดยที่ไม่โต้ตอบ ในเวลานี้ กระบี่วิญญาณอัคคีของเขาดูราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง ทุกคราที่เขาโจมตี เขาจะจู่โจมเข้าไปใกล้จุดสำคัญของเฟยอวิ๋นและยากที่เฟยอวิ๋นจะป้องกันได้
ภายในชั่วพริบตา ทั้งสองฝ่ายก็ปลดปล่อยการโจมตีออกไปหลายสิบกระบวนท่าโดยที่ยังไม่สามารถหาผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
“หมิงจื้อเหยี่ยน ความพยายามของตระกูลหมิงในการยึดอำนาจวิหารเมฆาโบยบินของข้าล้มเหลวไปตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนและครานี้ก็จะต้องล้มเหลวไปเช่นกัน สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือคราก่อนพวกเจ้าหนีกลับไปที่จวนตระกูลหมิงได้ ทว่าครานี้พวกเจ้าจะต้องถูกฝังอยู่ในเมืองเซิ่งหลิงไปตลอดกาล !”
น้ำเสียงของเฟยอวิ๋นแสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมและแผ่จิตสังหารออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ในการต่อสู้กว่าร้อยปีก่อน แม้ว่าวิหารเมฆาโบยบินของเขาจะด้อยกว่าตระกูลหมิงพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในครานั้น ตระกูลหมิงก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าเท่าใดนักและได้เผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน
และครานี้พวกเขาจะไม่มีโอกาสหนีรอดกลับไปได้อีก ไม่ว่าจะต้องยอมแลกมาด้วยต้นทุนใด เฟยอวิ๋นก็จะต้องขุดหลุมฝังหมิงจื้อเหยี่ยนอยู่ที่นี่ตลอดไปและไม่ปล่อยให้มีโอกาสวางท่าโอหังเหนือผู้ใดได้อีก
หมิงจื้อเหยี่ยนแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันและกล่าวออกมา “ในอดีต หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา วิหารเมฆาโบยบินของเจ้าก็คงจะล่มสลายไปนานแล้ว ครานี้พวกข้าจะถอนรากถอนโคนทั้งวิหารเมฆาโบยบินและเมืองเซิ่งหลิงให้สิ้นซาก ถึงอย่างไรขุมกำลังของพวกเจ้าก็ไม่ควรจะมีอยู่ตั้งแต่ต้น !”
วาจาของผู้นำตระกูลหมิงทำให้ทุกคนในเมืองเซิ่งหลิงตกตะลึงไปชั่วขณะ
เขาหมายความว่าอย่างไรกัน ?ขุมกำลังเหล่านี้ไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ ?