การประจันหน้าระหว่างหมิงจื้อเหยี่ยนและเฟยอวิ๋นดุเดือดอย่างที่สุด ในขณะที่การต่อสู้ของคนอื่น ๆ ก็รุนแรงไม่แพ้กัน
ในตอนนี้หมิงชิง—ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหมิงกำลังต่อสู้กับเฟยปู้—ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของวิหารเมฆาโบยบินและยากที่จะกำหนดผู้ชนะได้
ความแข็งแกร่งของทั้งสองใกล้เคียงกันและความสามารถในการต่อสู้ก็แทบจะเหมือนกัน ทันทีที่เริ่มลงมือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลดปล่อยการโจมตีที่โหดเหี้ยมใส่โดยที่ไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย
ด้วยพลังในขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดซึ่งเข้าใกล้การทะลวงพลังเต็มที การต่อสู้ของทั้งสองจึงก่อให้เกิดความผันผวนเป็นอย่างมาก สภาวะพลังโดยรอบหลั่งไหลเข้าไปในบริเวณที่ทั้งสองประจันหน้ากันและก่อตัวรวมในกระบวนท่าโจมตีอันทรงพลังก่อนระเบิดออกกลางอากาศ
เซี่ยโป๋ยวี๋และหูอี้ก็กำลังประจันหน้ากับผู้อาวุโสของตระกูลหมิง ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้อาวุโสของวิหารเมฆาโบยบินก็เลือกคู่ต่อสู้ที่มีพลังใกล้เคียงกันจากตระกูลหมิงเช่นกันและต่อสู้อย่างดุเดือดโดยที่ไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้
วาจาของหมิงจื้อเหยี่ยนทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกนางไม่เข้าใจเลยว่าขุมกำลังที่ไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่ต้นนั้นหมายถึงอะไร
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และทุกคนยังไม่เอ่ยถามสิ่งใด ตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับการสืบหาความจริง หากแต่เป็นการเอาชนะหมิงจื้อเหยี่ยนให้ได้โดยเร็วที่สุด ในเวลานี้พวกนางก็สบตากันเล็กน้อยและเลือกใช้ไพ่ตายทั้งหมดของพวกตนเพื่อสมทบกับเฟยอวิ๋นในการต่อสู้กับหมิงจื้อเหยี่ยน
ระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนถูกโยนเข้าใส่หมิงจื้อเหยี่ยนอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับไม่มีความคิดเสียดายแม้แต่น้อยและมันส่งผลกระทบต่ออีกฝ่ายมากพอสมควร
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็วางข่ายอาคมหลายชนิดไว้รอบตัวหมิงจื้อเหยี่ยนซึ่งส่งผลกระทบต่อความเร็วในการเคลื่อนไหวและการโจมตีของเขา
สิ่งที่ทำให้หมิงจื้อเหยี่ยนหวั่นใจได้มากที่สุดในเวลานี้ก็คือการโจมตีของเฟยอวิ๋นและซิว ทั้งสองมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้ หากต้องรับมือกับการโจมตีจากทั้งสองพร้อม ๆ กัน เขาจะต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้น ผู้นำตระกูลหมิงจึงตัดสินใจเลือกในวิธีที่หยาบกร้านที่สุด นั่นคือการต้านทานการโจมตีของฉินอวี้โม่ อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ไว้ ทว่าจดจ่อกับการกำจัดซิวและเฟยอวิ๋นไปก่อน
เมื่อซิวและเฟยอวิ๋นร่วมมือกัน ดาบผลึกน้ำแข็งในมือของเฟยอวิ๋นสามารถฝ่าทะลวงผ่านการป้องกันของหมิงจื้อเหยี่ยนได้ในขณะที่พลังโจมตีของซิวก็อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลซึ่งการป้องกันของหมิงจื้อเหยี่ยนแทบที่จะต้านทานพลังเหล่านั้นไม่ได้
ด้วยการร่วมมือกันของหนึ่งมนุษย์และหนึ่งอสูร พวกเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในที่สุด
ไม่ไกลจากบริเวณนั้น หานอวี้และมารยาก็รวมพลังกันเพื่อต่อสู้กับพยัคฆ์นรกโดยที่อีกฝ่ายแทบจะต้านทานไว้ไม่ไหว
ต้องยอมรับว่าความสามารถในการวางข่ายอาคมของมารยาไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่เลย ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการวางข่ายอาคมของอสูรสาวก็รวดเร็วยิ่งกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก
แม้จะเป็นเพียงข่ายอาคมขนาดเล็กทั้งหมด ทว่าเมื่อรวมเข้าด้วยกัน พวกมันก็มีผลกระทบต่ออสูรมายาของหมิงจื้อเหยี่ยนเป็นอย่างมาก
แม้หานอวี้จะมีความแข็งแกร่งที่อ่อนแอกว่าพยัคฆ์นรก มันก็มีแรงกดดันทางสายเลือดและความช่วยเหลือจากมารยาส่งผลให้ทั้งสองกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างช้า ๆ การโจมตีของหานอวี้ทำให้พยัคฆ์นรกถึงกับต้องร้องเสียงหลง ทว่าทุกคราที่ต้องการตอบโต้ มันก็ต้องตกอยู่ในวงล้อมของข่ายอาคมทุกครั้งไปซึ่งทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างที่สุด
“เจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย ยอมจำนนต่อท่านแม่ของข้าจะดีกว่า เหตุใดจะต้องทนติดตามนายที่ชั่วร้ายต่อไปด้วยเล่า ?”
ในขณะที่โจมตีอยู่นั้น หานอวี้ก็พยายามสื่อสารกับพยัคฆ์นรกตลอดเวลาเพื่อเบี่ยงเบนสมาธิของมัน
“หุบปากเสีย !”
ทันใดนั้น ร่างของพยัคฆ์นรกก็พองโตขึ้นเรื่อย ๆ และตะโกนกร้าวด้วยความโกรธแค้นเพื่อขัดจังหวะวาจาของหานอวี้
“โฮกกกก !”
พลังในร่างของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากขณะคำรามเสียงดังและตรงเข้าโจมตีหานอวี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การโจมตีจะไปถึงตัวอีกฝ่าย ข่ายอาคมของมารยาก็เริ่มทรงพลังขึ้นอีกครั้งและกักขังมันไว้ภายใน ในเวลานี้ พยัคฆ์นรกขยับเขยื้อนไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการทำร้ายหานอวี้
หานอวี้ก็กลับคืนร่างเดิมของตนและมังกรทองห้าเล็บที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีก็ปรากฏตรงหน้าทุกคนก่อนตรงเข้าไปหาพยัคฆ์นรก
“โฮกก วี๊ดดด !”
เสียงร้องแหลมดังขึ้นเมื่อการโจมตีของหานอวี้ทำให้พยัคฆ์นรกบาดเจ็บสาหัสและลมหายใจอ่อนแอลงในทันที
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พยัคฆ์นรกได้รับบาดเจ็บสาหัส มันก็ส่งผลกระทบต่อหมิงจื้อเหยี่ยนในระดับหนึ่งเช่นกัน ร่างของเขาในตอนนี้เริ่มชะงักเล็กน้อยและเลือดในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้นมา
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ สังเกตเห็นช่องโหว่นี้ พวกนางจึงสบตากันเล็กน้อยก่อนใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกตนเพื่อโจมตีหมิงจื้อเหยี่ยนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ตูมม ตูมม ตูมมม !
การโจมตีอันทรงพลังพุ่งตรงเข้าไปที่หมิงจื้อเหยี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก เกราะป้องกันที่เขาสร้างไว้ด้วยพลังมายาพังทลายลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้ทั้งหมด
น่าเสียดายที่การป้องกันทางกายภาพของหมิงจื้อเหยี่ยนก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ตัวเขาต้องรับการโจมตีหลายกระบวนท่าเข้าไปอย่างจัง เขาก็ยังบาดเจ็บเพียงไม่มาก
เพราะถึงอย่างไร เขาก็เลือกที่จะขัดขวางกระบวนท่าโจมตีของซิวและเฟยอวิ๋นไว้ก่อน การโจมตีอื่น ๆ จึงไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับตัวเขาได้มากนัก
“ฮ่า ๆ ๆ มีฝีมือแค่นี้เองรึ ?”
หมิงจื้อเหยี่ยนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ทันใดนั้น อาการบาดเจ็บของร่างกายเขาก็ค่อย ๆฟื้นฟูและพลังมายาที่ใช้หมดไปก็ถูกเติมเต็มกลับคืนมาอีกครั้งจนกระทั่งบรรลุถึงระดับสูงสุด
“พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ !”
เฟยอวิ๋นคุ้นเคยกับพลังที่ปรากฏในร่างของหมิงจื้อเหยี่ยนเป็นอย่างดี มันคือพลังพิเศษที่เป็นของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์—พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พลังดังกล่าวมีพลังทำลายล้างมากกว่าพลังยุทธ์ทั่วไปและมีความสามารถในการฟื้นฟูที่ทรงพลัง กล่าวได้ว่ามันเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม หลังจากการล่มสลายของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หายสาบสูญไปเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าหมิงจื้อเหยี่ยนจะบ่มเพาะพลังอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้สำเร็จ
“คงจะคิดไม่ถึงสินะ !”
น้ำเสียงของหมิงจื้อเหยี่ยนแสดงถึงความถากถางอย่างชัดเจน พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ถือเป็นไพ่ตายที่สำคัญที่สุดของเขาในครานี้และเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทราบมาก่อน
ในอดีต เขาปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้และภายในตระกูลหมิงก็มีวิธีการในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ หลังจากการทุ่มเทอย่างหนักเป็นเวลานาน ในที่สุดหมิงจื้อเหยียนก็สามารถแปลงพลังยุทธ์ทั้งหมดในร่างกายให้กลายเป็นพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาเพียงไม่เคยแสดงมันออกมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครานี้ก็บีบบังคับและกดดันให้เขาต้องแสดงพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าฉินอวี้โม่และทุกคนเป็นภัยคุกคามต่อเขามากเพียงใด…
“หมิงจื้อเหยี่ยน สุดท้ายแล้วพวกเจ้าตระกูลหมิงขโมยสิ่งที่เป็นของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปมากมายเพียงใดกัน !”
แม้ว่าการที่ได้ทราบว่าหมิงจื้อเหยี่ยนถือครองพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ประหลาดใจเล็กน้อย เฟยอวิ๋นก็ไม่ตกตะลึงจนเกินไปขณะกล่าวอย่างเย็นชาและจิตสังหารก็ปรากฏในแววตาอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะบอกเจ้าในตอนที่เจ้าตายไปแล้ว !”
หมิงจื้อเหยี่ยนหัวเราะเยาะและเหวี่ยงฝ่ามือวายุเพื่อโจมตีเฟยอวิ๋นอีกครั้ง ทว่าพลังที่อัดแน่นอยู่ในการโจมตีครานี้ก็แกร่งกล้ากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวนัก
ตูมมม !
พลั่ก !
เฟยอวิ๋นถูกฝ่ามือวายุโจมตีอย่างจังจนกระเด็นออกไปและร่วงลงบนพื้นอย่างแรง
“เฟยอวิ๋น วันนี้ข้าจะจบทุกอย่างเอง !”
หมิงจื้อเหยี่ยนก้าวตรงเข้าไปหาเฟยอวิ๋นอย่างช้า ๆ ขณะแผ่แรงกดดันอันทรงพลังซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคนในสมรภูมิรบ
“หมิงจื้อเหยี่ยน ถึงเวลาที่เรื่องนี้จะต้องจบลงแล้ว !”
เฟยอวิ๋นยืนขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น ทันใดนั้น คลื่นพลังในร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและพลังที่สูญเสียไปก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่ระดับสูงสุดอีกครั้ง
การที่หมิงจื้อเหยี่ยนมีไพ่ตายอยู่ เขาเองก็มีเช่นกัน !
“เจ้ามีพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน?!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของจ้าววิหารเมฆาโบยบิน สีหน้าของหมิงจื้อเหยี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที ไม่คาดคิดเลยว่าเฟยอวิ๋นจะฝึกฝนพลังพิเศษนี้ได้เช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ การที่เจ้ามีพลังนี้ได้ ข้าก็ย่อมมีได้เช่นกัน”
เฟยอวิ๋นหัวเราะเย้ยหยันและไม่ปฏิเสธใด ๆ พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นการเก็บเกี่ยวที่เขาได้รับมาในการเก็บตัวทะลวงพลังครั้งที่ผ่านมานี้
ระหว่างการทะลวงพลัง สายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในร่างของเขาก็เกิดความผันผวนอย่างที่คาดไม่ถึงและพลังยุทธ์ที่เขาฝึกฝนก็กลายเป็นพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“บัดซบชะมัด !”
หมิงจื้อเหยี่ยนเดือดดาลมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีเขามั่นใจว่าพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนเป็นสิ่งที่เหนือกว่าทุกคนและมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่จะถือครองมัน ทว่าตอนนี้การที่ได้ทราบว่าผู้อื่นมีพลังดังกล่าวเช่นกัน เป็นธรรมดาที่เขาจะโกรธแค้นและเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง
อึดใจต่อมา ผู้นำตระกูลหมิงก็ไม่รอช้าและพุ่งตรงเข้าไปโจมตีเฟยอวิ๋นอีกครั้งด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม