เฟยอวิ๋นและหมิงจื้อเหยี่ยนต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง และเนื่องจากพลังที่เพิ่มขึ้นของทั้งสองฝ่าย ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จึงไม่อาจเข้าไปแทรกแซงในการประจันหน้าระหว่างพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเฟยอวิ๋นเพียงลำพังก็ยังไม่สามารถเอาชนะหมิงจื้อเหยี่ยนได้ ฉินอวี้โม่และทุกคนจึงเร่งฟื้นฟูพลังของตนเองอย่างรวดเร็วก่อนร่วมมือกันโจมตีผู้นำตระกูลหมิงอีกครั้ง
เวลานี้ ระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนถูกใช้ไปจนหมดและไม่หลงเหลืออีกต่อไป นางจึงต้องหันมาใช้ทักษะยุทธ์ในการโจมตี เซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกตนเช่นกัน ต่อให้จะทำให้หมิงจื้อเหยี่ยนบาดเจ็บไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด การโจมตีเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายได้พอสมควรและช่วยเปิดโอกาสให้กับเฟยอวิ๋นมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ลงมือโจมตี ทว่ากลับนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นอย่างเงียบ ๆ โดยที่แยกจากการต่อสู้เหล่านั้นและกำลังดำดิ่งกับทักษะยุทธ์ที่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้อย่างฉับพลัน
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายมาก เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่สามารถช่วยเหลือเฟยอวิ๋นหรือทำร้ายหมิงจื้อเหยี่ยนได้ มีเพียงการใช้ทักษะพิเศษบางอย่างเท่านั้นที่นางจะทำอันตรายต่อหมิงจื้อเหยี่ยนได้สำเร็จ
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉินอวี้โม่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพลังที่บรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดซึ่งแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวนัก
“ซิว อสูรเสริมร่าง !”
ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับซิวก่อนอสูรแห่งโชคชะตาจะกลายร่างเป็นชิ้นส่วนเกราะและสวมเข้าที่ร่างของนาง
ชุดเกราะสีแดงเพลิงปกคลุมทั่วร่างและหอกเพลิงในมือของนางก็เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมหาศาล
และแล้วฉินอวี้โม่ก็เข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง
“ไสหัวไปให้พ้น !”
ในตอนแรก หมิงจื้อเหยี่ยนยังไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของฉินอวี้โม่ เขาเพียงตะโกนกร้าวและเหวี่ยงฝ่ามือวายุโจมตีเพื่อผลักนางออกไปให้พ้นทาง
“ทำลายมันเสีย !”
หอกเล่มยาวในมือของฉินอวี้โม่จ้วงแทงเข้าที่ฝ่ามือวายุโดยตรง ด้วยการโจมตีเพียงคราเดียว ฝ่ามือวายุของหมิงจื้อเหยี่ยนก็สลายหายไปในทันที แต่หอกดังกล่าวยังพุ่งตรงเข้าไปที่ร่างของเขาต่อไป
“อะไรกัน?!”
หมิงจื้อเหยี่ยนรับรู้ได้ถึงวิกฤตอย่างฉับพลันและสีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่รอช้าและโบกมือเล็กน้อยก่อนสร้างเกราะป้องกันขึ้นมารอบตัวเพื่อขวางกั้นการโจมตีของฉินอวี้โม่ไว้
อย่างไรก็ตาม ม่านป้องกันของเขาถูกฉินอวี้โม่ทำลายไปในทันทีและชะลอการโจมตีของนางได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น
จากนั้นหอกเล่มยาวก็แทงตรงไปที่ไหล่ของหมิงจื้อเหยี่ยนและทิ้งรอยแผลลึกไว้ได้ในที่สุด
“เหอะ !”
หมิงจื้อเหยี่ยนแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจทันทีและคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะทำให้ตนบาดเจ็บได้สำเร็จ
“เหตุใดจู่ ๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าจึงเพิ่มขึ้นมากเพียงนี้ ?!”
เขาจับจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่ไม่อยากเชื่อ ต่อให้ใช้ทักษะยุทธ์ที่พิเศษบางอย่าง พลังของนางก็ไม่ควรจะเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าไม่มีทางทำเช่นนี้ได้แน่
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ตอบสิ่งใดและยังคงปล่อยการโจมตีต่อไปด้วยความเร็วสูง
ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดของขอบเขตเทพสวรรค์เป็นการชั่วคราว ทว่าสภาวะนี้จะคงอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หลังจากครบเวลา พลังของนางจะกลับคืนสู่ระดับเดิมและจะตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอระยะหนึ่ง เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้นี้ก็จะต้องสิ้นสุดลงภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม
ด้วยพลังในขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดในตอนนี้ ฉินอวี้โม่สามารถประจันหน้ากับเฟยอวิ๋นได้แล้ว ต่อให้ยังเอาชนะหมิงจื้อเหยี่ยนไม่ได้ก็ถือว่าด้อยกว่าเขาเพียงไม่มากนัก
การร่วมมือกันของนางและเฟยอวิ๋นจึงค่อย ๆ ทำให้สถานการณ์ได้เปรียบมากยิ่งขึ้น
สำหรับการต่อสู้ในส่วนอื่น ๆ หานอวี้และมารยาบีบไล่ต้อนพยัคฆ์นรกจนจิตใจของมันล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิง มันแตะต้องอสูรทั้งสองไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการจะทำให้พวกมันบาดเจ็บ การฝืนสู้ต่อไปจึงไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อย
เพราะเหตุนั้น พยัคฆ์นรกจึงตัดสินใจหยุดการต่อสู้แต่โดยดี ถึงอย่างไรมันก็ไม่สามารถกำหนดทิศทางของผลลัพธ์ได้ การรอดูสถานการณ์ของผู้เป็นนายจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ตราบใดที่หมิงจื้อเหยี่ยนเป็นผู้ชนะ นั่นก็หมายความว่าฝ่ายตระกูลหมิงจะคว้าชัยชนะในครานี้และมันจะประหยัดพลังในการต่อสู้ได้มาก
เฟยปู้และหมิงชิงยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทว่าหมิงชิงค่อย ๆ กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
พลังในการต่อสู้ของเฟยปู้ในปัจจุบันพัฒนาขึ้นมากและทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่ได้เรียนรู้มาจากฉินอวี้โม่คราก่อนก็ถือเป็นส่วนเสริมที่สำคัญในการต่อสู้ครานี้ หลังจากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดหมิงชิงก็รับมือไม่ได้และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
การโจมตีด้วยทักษะที่แปลกประหลาดเกินคาดเดาเหล่านั้นทำให้หมิงชิงกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย
ในส่วนอื่น ๆ ของการต่อสู้ หลายคนในเมืองเซิ่งหลิงได้เปรียบเหนือกว่า อย่างไรก็ตาม การยุติสงครามในเวลาสั้น ๆ ยังคงเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะได้เปรียบเพียงใด มีเพียงหมิงจื้อเหยี่ยนและเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย
ณ มุมหนึ่งของสมรภูมิรบ การต่อสู้ระหว่างหมิงหยางและเยี่ยหลิงซีก็คุกรุ่นไม่น้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหมิงหยางถือไพ่เหนือกว่า
พลังของหมิงหยางอยู่ในระดับเดียวกับหมิงฮ่วน เป็นธรรมดาที่เยี่ยหลิงซีจะรับมือไม่ได้
“เหอะ ยอมแพ้เสียเถอะ เจ้ามิใช่คู่มือของข้าหรอก ยอมจำนนแต่โดยดีและกลับไปเป็นนางสนมของข้าเถิด ข้าจะได้ไว้ชีวิตเจ้า !”
ในเวลานี้ เมื่อเยี่ยหลิงซีถูกฝ่ามือผลักกระเด็นออกไป หมิงหยางก็ยืดอกกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่งเป็นที่สุด
“เหอะ อยากให้ข้าเป็นสนม คิดว่าคนอย่างเจ้าคู่ควรงั้นรึ !”
เยี่ยหลิงซีแสดงแววตารังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง นางมองหมิงหยางอย่างโกรธแค้นในขณะที่ยังโจมตีต่อไป
เห็นได้ชัดว่าหมิงหยางไม่เห็นเยี่ยหลิงซีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาเพียงสร้างม่านป้องกันขึ้นมาขวางกั้นไว้และเมินเฉยต่อการโจมตีของอีกฝ่าย
“ไปลงนรกเสีย !”
เยี่ยหลิงซีเหาะเข้าไปตรงหน้าหมิงหยางก่อนหยุดลงอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของนางและเอ่ยเพียงสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“อ๊ากกก !”
เสียงร้องแหลมดังขึ้นเมื่อหน้าอกของหมิงหยางถูกแทงทะลุโดยกระบี่เล่มยาวและลมหายใจของเขาก็อ่อนแอลงทันที
“หมิงฮ่วน เจ้าแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับขุมกำลังของเมืองเซิ่งหลิงแล้วจริง ๆ !”
เมื่อหันหลังกลับไป เขาไม่แปลกใจเลยที่พบกับหมิงฮ่วนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตน
“แล้วอย่างไรเล่า ? หมิงหยาง เจ้าหมายหัวและพยายามหาเรื่องเล่นงานข้ามาตลอด คิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ ?”
หมิงฮ่วนยิ้มเยาะ ก่อนหน้านี้เขาจงใจเสแสร้งต่อสู้กับเยี่ยหมิงอย่างจริง ๆ จัง ๆ เพียงเพราะต้องการทำให้หมิงหยางปล่อยวางความสงสัยในตัวเขาและใช้โอกาสนี้เพื่อลอบสังหารอีกฝ่ายในขณะที่ไม่ทันตั้งตัว
เป็นจริงดังที่คิดไว้ หมิงหยางลืมเรื่องของเขาไปเสียสนิทและนั่นเป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดซึ่งทำให้หมิงฮ่วนมีโอกาสสังหารเขาด้วยกระบวนท่าเดียว
“เจ้า…”
หมิงหยางจ้องหน้าหมิงฮ่วนอย่างเคียดแค้นทว่าพูดไม่ออก เขาค้นพบความผิดปกติของบุรุษผู้นี้มาตั้งแต่แรก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ต้องยอมรับว่าเมื่อครู่เขาเองก็ประมาทจนเกินไป อีกฝ่ายจึงสบโอกาสเช่นนี้
“ตายเสียเถอะ !”
หมิงฮ่วนใช้ฝ่ามือฟาดเข้าใส่หมิงหยางอย่างจังซึ่งทำลายทั่วทั้งร่างของเขา จากนั้น ด้วยแรงเอื้อมคว้าอย่างสบาย ๆ จิตวิญญาณของหมิงหยางที่ต้องการจะหลบหนีก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา
“คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีไปได้อย่างนั้นหรือ ? หึหึ”
หมิงฮ่วนหัวเราะอย่างเย้ยหยันและจากนั้นเขาก็บดขยี้จิตวิญญาณของหมิงหยางจนแหลกละเอียด
“หมิงฮ่วน เจ้าทรยศท่านผู้นำได้อย่างไร ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหมิงสังเกตเห็นการกระทำของหมิงฮ่วนและกล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“โอ้ คิดว่าข้าไม่รับรู้หรือว่าท่านผู้นำคิดจะทำสิ่งใด ? เหตุใดข้าจะต้องสนับสนุนสิ่งที่ผิดศีลธรรมเช่นนั้นด้วย ? ข้าไม่ได้ทรยศ ข้าเพียงเลือกทางที่ถูกต้องต่างหาก”
หมิงฮ่วนยิ้มเยาะและกล่าวออกไป ไม่มีใครทราบดีไปกว่าเขาว่าแท้จริงแล้วตระกูลหมิงเป็นตระกูลเช่นไร
การที่เขาเลือกทรยศต่อตระกูลหมิงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยที่สุด ในอนาคตข้างหน้า เขาก็ไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรและการใช้ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก
“ทำไมกัน ? เจ้าอยากจะลงเอยเช่นเดียวกับหมิงหยางงั้นหรือ ?”
เขาไม่โจมตีต่อไปและเพียงใช้วาจาข่มขู่ ทว่านั่นก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของผู้อาวุโสคนนั้นหวาดหวั่นได้แล้ว
กลางอากาศ ฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นบีบไล่ต้อนอีกฝ่ายเข้าไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้สถานการณ์ของหมิงจื้อเหยี่ยนเลวร้ายลงอย่างเห็นได้ชัด
“บัดซบ ! บัดซบจริง ๆ !”
หมิงจื้อเหยี่ยนคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดใจ