บทที่ 1162 การกลับมาของนักพรตหญิงชิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,162 การกลับมาของนักพรตหญิงชิน

เว่ยหมิงเฉินคิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บ

แม้มันจะเป็นเพียงรอยบาดเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เขาโกรธแค้นขึ้นมาถึงขีดสุด

ไม่ต่างจากพญาราชสีห์ที่ถูกยุงกัด ความรำคาญใจที่เกิดขึ้นคือบาปที่ให้อภัยไม่ได้

ปรากฏว่ากระบี่ในมือของหลินเป่ยเฉินมีอานุภาพแตกต่างจากกระบี่ทั่วไปในใต้หล้า

กระบี่เงินของผู้อาวุโสเฉินมีความยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

นับเป็นกระบี่ที่ประเสริฐนัก

ยอดกระบี่ในแผ่นดินตงเต้าเช่นนี้สมควรตกเป็นของเว่ยหมิงเฉิน

กระบี่ของหลินเป่ยเฉินสะดุดตาของเขาเข้าอย่างจัง

ความคิดมากมายผุดพราวขึ้นมาในหัวสมองของเว่ยหมิงเฉิน

แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เว่ยหมิงเฉินมึนงงสงสัยก็คือหลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีได้อย่างไร?

การแทรกตัวผ่านก้อนหินได้อย่างอิสรเสรีเช่นนี้นับเป็นพลังวิเศษชนิดหนึ่ง

ถึงจะมีพลังขั้นเซียน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถกระทำได้

ยังไม่ต้องเอ่ยว่านี่เป็นวิชาลับสุดยอดของหลายสำนักที่ต่อให้ตายก็ไม่มีทางเปิดเผยออกมาเด็ดขาด

ตำนานเล่าขานกันว่าวิชาดำดินแทรกตัวผ่านก้อนหินเช่นนี้ เป็นวิชาที่ตกทอดมาจากดินแดนทวยเทพ และต้องเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เท่านั้นถึงจะได้มีวาสนาศึกษาวิชาและได้รับพลังวิเศษชนิดนี้

หรือว่าการที่หลินเป่ยเฉินสามารถเพิ่มพลังขึ้นมาได้อย่างก้าวกระโดด จะเป็นเพราะว่าเขาได้รับการหนุนหลังจากหลายสำนักใหญ่?

เมื่อคิดได้ดังนี้ จิตสังหารของเว่ยหมิงเฉินก็แรงกล้ามากขึ้น

เขาจะปล่อยหลินเป่ยเฉินไว้เป็นหนามยอกอกไม่ได้

บุคคลที่อันตรายเช่นนี้ไม่ควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

วูบ!

รังสีกระบี่พุ่งผ่านอากาศ

หลินเป่ยเฉินกลับออกมาโจมตีอีกครั้ง

เขายังคงโจมตีในรูปแบบเดิม คือพุ่งทะลวงออกมาจากผนังหินและปลดปล่อยรังสีกระบี่ออกมาจากตัวกระบี่ในมือ

ด้วยระดับพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉิน ต่อให้เป็นผู้มีพลังขั้นเซียนตอนปลาย ก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าจากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรของเขาได้อีกแล้ว

แต่เว่ยหมิงเฉินกลับไม่หลบหลีก เขาเพียงยกมือขึ้นโบกสะบัด

รังสีกระบี่สีทองแปรเปลี่ยนเป็นรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ และเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น มวลพลังกดดันก็ครอบคลุมรอบบริเวณ

รังสีกระบี่ของหลินเป่ยเฉินปะทะเข้ากับฝ่ามือทองคำของเว่ยหมิงเฉิน

สะเก็ดไฟสาดกระจาย

“เชี่ย นี่มันวิชาฝ่ามือเทพเจ้ายูไลหรือไง?”

หลินเป่ยเฉินสบถออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่ตัวคนจะลอยกลับไปข้างหลังและแสยะยิ้ม “เจ้าสุนัขไร้ยางอาย วันนี้ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้…”

วูบ!

ลมหายใจต่อมา ร่างของหลินเป่ยเฉินก็จมหายเข้าไปในผนังหินไม่ต่างจากปลาน้อยกระโดดลงสู่บ่อน้ำ

พลังโจมตีจากฝ่ามือทองคำของเว่ยหมิงเฉินนั้น หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงร่างกายแหลกสลายไปแล้ว

แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีได้รวดเร็วมากพอ เขาโคจรพลังปราณธาตุดิน ใช้ความสามารถในการดำดินแหวกว่ายลงไปใต้พื้นดิน ไม่ต่างจากมัจฉาแหวกว่ายในมหาสมุทร

เว่ยหมิงเฉินยังคงโจมตีต่อไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ปรากฏฝ่ามือทองคำของเขาพุ่งออกไปในอากาศอีกหลายครั้ง

เปรี้ยง!

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า

พลังปราณทองคำรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ประทับเข้าใส่ผนังหินของสุสานใต้ดินกัดกินเนื้อหินทะลวงลึกเข้าไปเป็นรูกลวงโบ๋

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงรสชาติขมฝาดในลำคอขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ถึงเขาจะสามารถดำดินหลบหนีผ่านก้อนหินได้ แต่เว่ยหมิงเฉินเล่นปล่อยพลังฝ่ามือยูไลเข้ามารัว ๆ ขนาดนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถหลบหนีได้ทันเวลา…

และนั่นก็ทำให้หนึ่งในกระแสพลังจากฝ่ามือทองคำกระแทกเข้าใส่แผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินอย่างแรง

เด็กหนุ่มกระอักเลือดออกมาจากปาก

สถานการณ์ไม่สู้ดี

นี่เขาจะไม่มีทางหลบหนีการโจมตีจากเว่ยหมิงเฉินได้เชียวหรือ?

เป็นไปได้อย่างไรที่เว่ยหมิงเฉินมีความสามารถถึงขั้นนี้?

หมอนั่นรู้ได้อย่างไรว่าเขาหลบหนีมาทางไหน?

หลินเป่ยเฉินได้แต่สงสัยใจว่าหรือเมื่อสักครู่นี้เขาจะปรากฏตัวออกไปเร็วเกินไป?

เด็กหนุ่มพยายามกลืนเลือดที่อยู่ในลำคอกลับลงไป

“ไม่ได้การ หากสู้กันเช่นนี้ต่อไป มีหวังเราได้ตายแน่ ๆ”

หลินเป่ยเฉินรีบคำนวณหาหนทางรอดชีวิต

แต่บัดนี้ เขากลับพบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ จะไปข้างหน้าต่อก็ไม่ได้ จะย้อนกลับก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน หนทางรอดเดียวที่หลินเป่ยเฉินเหลืออยู่ในขณะนี้ คือการกางอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์และลากเว่ยหมิงเฉินเข้าไปต่อสู้วัดดวงกันในนั้น…

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงอีกหนึ่งความเป็นไปได้ขึ้นมา…

จะเกิดอะไรขึ้นหากเขานำตัวเว่ยหมิงเฉินเข้าไปในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะหมอนั่นได้อยู่ดี?

นั่นไม่เท่ากับเขารนหาที่ตายเองเลยหรือ?

เปรี้ยง!

ฝ่ามือทองคำชุดใหม่กระแทกเข้าใส่ก้อนหินที่หลินเป่ยเฉินใช้กำบังกาย

แรงอัดหนักหน่วงกระแทกเข้าใส่รอบกาย

“ฟู่!”

หลินเป่ยเฉินกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่ กระดูกแขนขาของเขาแทบจะแตกละเอียด ความเร็วในการหลบหนีเชื่องช้าลง

บัดนี้ ฝ่ามือทองคำจากเว่ยหมิงเฉินชุดใหม่กำลังจะเข้ามาอีกแล้ว

“ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่…”

หลินเป่ยเฉินตกตะลึงหยุดอยู่กับที่ กำลังหันซ้ายหันขวาเพื่อตัดสินใจว่าตนเองควรหลบหนีไปตรงไหนดี

ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

“ไม่เป็นไร ข้ามาช่วยแล้ว”

รังสีกระบี่สีเงินพลันระเบิดประกายเจิดจ้า

วูบ!

รังสีกระบี่นั้นตัดผ่านฝ่ามือทองคำ

แล้วทั้งรังสีกระบี่กับฝ่ามือทองคำก็หายวับไปในอากาศราวกับเป็นฟองน้ำที่แตกตัวระเหยหายไปพร้อม ๆ กัน

ก่อนที่รังสีกระบี่สีเงินจะกลับมารวมตัวในอากาศอีกครั้ง

และรังสีกระบี่สีเงินนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นเรือนร่างของสตรีนางหนึ่ง ผมสีเงินปลิวไสว ดูสูงส่งและสง่างามเป็นอย่างยิ่ง

สตรีนางนี้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมนักบวช ผมสีเงินยาวสลวยราวกับหิมะ บนแผ่นหลังปรากฏปีกกระบี่คู่หนึ่งกางออกกว้าง และปีกกระบี่ของนางก็กำลังกระพือพัดอยู่ในอากาศ

ผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินเป็นหญิงสาวหน้าตาอ่อนเยาว์ นางมีอายุเพียง 23-24 ปีเท่านั้น ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพู มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ

“ท่านเองหรือ?”

เมื่อเว่ยหมิงเฉินเห็นหน้าสตรีนางนี้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป

ความเยือกเย็นในแววตาสลายหายไปหมดสิ้น

“ท่านนักพรตหญิงชินสุดที่…”

หลินเป่ยเฉินยื่นหน้าออกมาจากกำแพงหินด้วยความตกตะลึง เขาเกือบจะหลุดปากเรียกนางว่า ‘นักพรตหญิงชินสุดที่รักของข้า’ แต่โชคดีที่ห้ามปากตนเองได้ทันจึงเปลี่ยนคำในตอนท้ายเป็น “…แสนเคารพรักของข้าน้อย”

ผู้ที่มาช่วยเหลือเขาย่อมต้องเป็นนักพรตหญิงชิน

นักพรตสาวผู้ที่ยึดครองจิตใจของหลินเป่ยเฉินยังคงมีความเยือกเย็นและสงบสุขุมไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

“ออกมารักษาตัวก่อนเถอะ”

นักพรตหญิงชินชำเลืองมองมาที่หลินเป่ยเฉิน ดวงตาทอประกายอ่อนโยนอย่างหายากยิ่งขณะกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะช่วยรักษาเจ้าเอง”

“ตัวบัดซบผู้นี้แข็งแกร่งมากเลยขอรับ พี่หญิงชินได้โปรดระวังตัวด้วย” หลินเป่ยเฉินพุ่งออกมาจากผนังหินและเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ทางด้านหลังพวกของเสี่ยวหราน

เขาไม่ใช่คนโง่ การที่นักพรตหญิงชินสามารถสลายฝ่ามือทองคำของเว่ยหมิงเฉินได้ในพริบตาเดียวเช่นนี้ ย่อมหมายความว่านางมีระดับพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้

ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินรีบขยับเข้ามาหาพร้อมกับสอบถาม “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงขอรับ”

หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มตอบกลับไป “ข้าไม่เป็นไร เพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

เด็กหนุ่มบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจริง ๆ เพราะเมื่อเขาใช้พลังวารีบำบัด อาการบาดเจ็บของหลินเป่ยเฉินก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว

ในอากาศ

“สำนักกระบี่สายฟ้าวายุและสำนักคฤหาสน์กำยานกล้าตั้งตนต่อต้านวิหารเทพแห่งพงไพร คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าก็หันไปพึ่งพิงพวกปีศาจแล้วเช่นกัน”

เว่ยหมิงเฉินกลับมามีสีหน้าเย็นชาอีกครั้งขณะกล่าว “ข้าเพียงอยากรู้ว่าท่านคิดจะปกป้องพวกมันอยู่อีกหรือ?”

ใบหน้าของนักพรตหญิงชินยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง นางกระซิบตอบแผ่วเบา “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

“ค่ายอาคมที่ครอบทับสุสานใต้ดินแห่งนี้ก็คงเป็นฝีมือของท่านกระมัง?” เว่ยหมิงเฉินจ้องมองไปที่ผนังหินซึ่งเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ “พวกท่านเจตนาล่อคนของสำนักมหากระบี่ให้ลงมาที่นี่ และปล่อยให้ผู้อาวุโสฉีถ่วงเวลาข้าเอาไว้ ค่ายอาคมของท่านปิดกั้นสุสานใต้ดินจากโลกภายนอก แผนการของท่านคงตั้งใจกวาดล้างสำนักมหากระบี่สินะ?”

นักพรตหญิงชินไม่ตอบคำใด

พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายเพิ่มความหนาแน่นมากขึ้น

เมื่อยอดฝีมือทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งก็มีม่านพลังสีทองคำห่อหุ้มร่างกาย อีกฝ่ายก็มีม่านพลังสีเงินห่อหุ้มร่างกายเช่นกัน นี่แทบจะไม่ต่างจากการเผชิญหน้ากันระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์บนฟากฟ้า

“ท่านคิดว่าในโลกอันโสมมเช่นนี้ มนุษย์โสโครกจะสามารถต่อต้านเทพเจ้าได้จริงหรือ? ฮ่า ๆๆ ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

เว่ยหมิงเฉินยกมือขึ้นและยิงพลังฝ่ามือทองคำออกมาอีกครั้ง

ในอากาศ พวกเขาคล้ายกับได้ยินเสียงบทสวดพึมพำ

แล้วฝ่ามือทองคำที่พุ่งออกมาก็มีอานุภาพโจมตีรุนแรงมากกว่าตอนที่โจมตีใส่หลินเป่ยเฉินหลายเท่าตัว

“ต่อต้านเทพเจ้า?”

ปีกกระบี่บนแผ่นหลังของนักพรตหญิงชินขยับวูบไหว ลำแสงสีเงินถูกยิงออกไปเข้าสู่ใจกลางฝ่ามือทองคำ และทั้งลำแสงสีเงินกับฝ่ามือทองคำก็หายวับไปทั้งคู่

นักพรตหญิงชินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตราบใดที่โลกนี้ยังมีปีศาจร้ายแอบอ้างชื่อเทพเจ้าคอยเข่นฆ่ามนุษย์ผู้บริสุทธิ์ ก็จำเป็นต้องมีผู้คนลุกขึ้นสู้และชักกระบี่ออกมาเพื่อสังหารเทพเจ้าเหล่านั้นอยู่เสมอนั่นแหละ!!”