ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 949 ผิดหวังครั้งใหญ่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ด้านในอารามเอกนิกาย เยี่ยนจ้าวเกอจัดการคนจากเขาสามขาเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังพิจารณาธงวิญญาณที่ตนถืออยู่ในมือ

‘พลังถูกผลาญไปค่อนข้างมาก ไม่อาจใช้ได้อีกแล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม เก็บธงวิญญาณไว้

เมื่อไม่มีการสะกดจากเคล็ดวิชาเฉพาะของเขาสามขา ธงวิญญาณจึงขัดขืนอยู่บ้าง

แต่ว่าเมื่อนำไปวางไว้ข้างกงจักรมหาประกายกาฬในวังฝูงมังกร ก็ทำให้มันสงบลงได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เปลวเพลิงสีทองกลางอากาศเริ่มสลายไปแล้ว

จนถึงปัจจุบัน ภัยพิบัติสามอย่างที่ปกป้องที่นี่ล้วนถูกกำจัดชั่วคราว

เจ้าของคนเดิมของสถานที่แห่งนี้มีพลังฝึกปรือสูงล้ำ ผนึกป้องกันที่ทิ้งไว้จึงมีอานุภาพแข็งแกร่ง

แต่ว่าสุดท้ายก็ยังผ่านการเคี่ยวกรำโดยกาลเวลานับหมื่นปี จึงทำอะไรเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้

มิติตรงหน้าเปลี่ยนเป็นมายา ทิวทัศน์ผันแปรอีกครั้ง กลายเป็นตำหนักใหญ่ของอารามเต๋าธรรมดาแห่งหนึ่ง

ด้านในตำหนักใหญ่ เทวรูปสามองค์ตั้งตระหง่าน จากซ้ายไปขวา เป็นใบหน้าของวัยชรา วัยกลางคน และวัยเยาว์

แต่ถ้าหากพิจารณาอย่างละเอียด จะรู้สึกได้ว่าเทวรูปสามองค์นี้คล้ายกับมีความรู้สึกชรา กลางคน อ่อนเยาว์อยู่ทุกองค์ ยากจะใช้อายุเพียงอย่างเดียวมากำหนด

เทวรูปสามองค์บ้างถือพัดวิเศษ บ้างถือไข่ประคำวิเศษ บ้างถือคฑาหรูอี้

แม้นจะเป็นรูปปั้น แต่กลับปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่ลี้ลับ

เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ต่างปั้นสีหน้าเคร่งขรึม

เทวกษัตริย์เต๋าสายเอกพิสุทธิ์ เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดสายหยกพิสุทธิ์ เทวกษัตริย์รัตนวิเศษสายเหนือพิสุทธิ์

นั่นเป็นรูปปั้นของบรมครูสามพิสุทธิ์แห่งสำนักเต๋า

ตำหนักใหญ่แห่งนี้เป็นตำหนักหน้า บูชาสามพิสุทธิ์ร่วมกัน สำนักที่สืบทอดเต๋าทุกสำนัก โดยพื้นฐานล้วนเหมือนกัน

แน่นอนว่า ทางโถงเซียนย่อมเป็นข้อยกเว้น

เมื่อบรรลุถึงตำหนักหลัง การสืบทอดของแต่ละสำนักก็จะไม่เหมือนกันแล้ว

ผู้สืบทอดสายหยกพิสุทธิ์ ตำหนักหลังจะบูชาเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดองค์เดียว ผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ ตำหนักหลังจะบูชาเทวกษัตริย์เต๋าองค์เดียว ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์จะบูชาเทวกษัตริย์รัตนวิเศษองค์เดียว

สำนักที่ไม่ใช่ผู้สืบทอดสายตรง เพราะเทวกษัตริย์เต๋าสั่งสอนเต๋า เผยแผ่หลักคำสอนไปทั่วโลก ดังนั้นทุกคนจึงบูชาเทวกษัตริย์เต๋า

นี่เป็นการเคารพบูชา สืบย้อนไปถึงต้นตอ

นอกจากตำหนักหยกมายา ตำหนักดุสิต และตำหนักท่องมรกตที่แท้จริงในอดีต ไม่มีใครกล้าอ้างตัวเองเป็นบรมครูสายสามพิสุทธิ์แล้วเปิดสำนัก

สำนักและพรรคต่างๆ มีบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักและบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของตัวเอง ซึ่งจะบูชากราบไว้ในศาลบรรพบุรุษจะไม่ได้อยู่กับตำหนักใหญ่

‘ที่ตำหนักหน้าตรงนี้ สมควรเป็นที่ควบคุมสะกดป้องกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอมองรอบๆ ก่อนจะมาถึงมุมหนึ่งของตำหนัก

ที่นั่นวางโต๊บูชาตัวหนึ่งไว้ ด้านบนปูผ้าสีเหลืองผืนหนึ่ง ที่ใช้สีชาดเขียนลวดลายค่ายกลรูปหนึ่งไว้

เยี่ยนจ้าวเกอพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าอดแปลกประหลาดขึ้นไม่ได้ “…ไม่ใช่กระมัง”

เขาก้มมองแส้ปัดหักครึ่งในมือ “บัดซบ ล้อข้าเล่นหรือ”

“คุณชาย มีเรื่องอะไรหรือ” อาหู่เดินเข้ามา สีหน้าประหลาดใจเหลือประมาณ

มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเล็กน้อย หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องเหล่านั้น ฟังข้าให้ดี”

เขาใช้นิ้วชี้รูปค่ายกลที่ใช้สีชาดวาด พร้อมกับอธิบายให้อาหู่ฟัง “ความลี้ลับในนี้ เจ้าจำไว้แล้วใช่หรือไม่”

อาหู่แม้นว่าจะไม่ได้เชี่ยวชาญค่ายกลเท่าเสี่ยวอ้าย แต่ว่าการอธิบายของเยี่ยนจ้าวเกอลึกซึ้งเรียบง่าย วิเคราะห์อย่างชัดเจน ด้วยความสามารถของอาหู่จึงยังทำความเข้าใจได้

“ข้าจำได้แล้วขอรับคุณชาย” หลังจากอาหู่ไตร่ตรองในใจรอบหนึ่งก็พยักหน้าตอบ

เยี่ยนจ้าวเกอว่า “จำได้ก็ประเสริฐ ต่อจากนี้ข้าจะเข้าไปหาของ เจ้าเฝ้าที่นี่ไว้”

“ถึงผนึกป้องกันจะถูกข้าทะลวงเข้ามาแล้ว แต่อีกไม่นาน พลังของมันจะฟื้นกลับมา”

เขาอธิบาย “ข้าสังหารคนจากเขาสามขาเหล่านั้น กลับไม่พบแส้ปัดอีกครึ่งบนตัวพวกเขา นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังมีคนที่ถือแส้ปัดรออยู่ด้านนอกเพื่อรอสนับสนุน”

“ถ้าหากทราบว่าคนก่อนหน้านี้ถูกข้าสังหาร หรือรอนานแต่ไม่มีสัญญาณ คนที่อยู่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้”

เขาสามขาเป็นผู้ทรงอำนาจบนที่ราบสูงยอดขจี พลังโดยรวมเทียบได้กับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องตอนอยู่ในสภาวะสูงสุด

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนย่อมไม่มาก แต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงก็ไม่น้อยเช่นกัน

เจ้าสำนักไสม้าออกมาด้วยตัวเอง พกดาบอีกาทองผลาญฟ้ากับเศษวิญญาณอีกาทองอันเป็นของวิเศษคุ้มครองสำนักมายังอารามเอกนิกาย พลังฝึกปรือของคนที่ติดตามมาย่อมไม่ต่ำต้อย

ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญคนหมู่มาก อาหู่กับพ่านพ่านไม่อาจรับมือไหว

แต่เมื่อมีผนึกป้องกันของที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงสั่งว่า “ข้าจะเข้าไปหาของ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง ถ้าหากก่อนที่ข้าจะออกมามีคนทะลวงเข้ามา ให้เจ้ากระตุ้นผนึกป้องกันของที่นี่ ขอแค่ไม่ใช่ประมุขทั้งสิบ ย่อมถูกขวางไว้ แม้นจะทะลวงเข้ามาได้ ก็สมควรหมดแรง”

“สมมติว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับประมุขจริงๆ เช่นนั้นหลังจากกระตุ้นผนึกป้องกันแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจที่นี่อีก ให้เข้าไปตามหาข้า”

อาหู่ได้ยินก็เกาท้ายทอย หัวเราะเหอะๆ “งานนี้ข้าชมชอบนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอทิ้งอาหู่กับพ่านพ่านไว้ที่ตำหนักหน้า จากนั้นก็เข้าไปยังตำหนักหลัง

ขณะที่เคลื่อนไหว เยี่ยนจ้าวเกอก็พึมพำในใจ ‘สมควรเป็นข้ามองผิดไปกระมัง…’

สุดท้ายพอบรรลุถึงตำหนักหลัง สำรวจเทวรูปที่บูชาอยู่ที่นั่น เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันถอนใจ

เห็นเทวรูปมีใบหน้าหนุ่มแน่น ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของการ ‘มี’ ทุกสรรพสิ่ง ดำรงอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง

หนึ่งในสามพิสุทธิ์สำนักเต๋า บรมครูสายเหนือพิสุทธิ์ เทวกษัตริย์รัตนวิเศษ!

หรืออีกชื่อคือจักรพรรดิเหนือพิสุทธิ์ จ้าวแห่งมหามรรคาผู้สูงส่งผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเหนือพิสุทธิ์ เรียกเต็มๆ ว่า ‘จักรพรรดิเทพผู้งามสง่า เทวกษัตริย์รัตนวิเศษ จ้าวแห่งรัตนาอาทิตย์ ผู้เกิดจากลมปราณกำเนิด อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นอวี่อวี๋ ปีนป่ายสู่เขตเหนือพิสุทธิ์ หนึ่งลมปราณกลายเป็นสามพิสุทธิ์’

อารามเอกกำเนิดแห่งนี้ไม่ใช่ผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์

แต่เป็นผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์!

ตอนเยี่ยนจ้าวเกอเห็นอาคมสีชาดบนผ้าเหลืองในตำหนักหน้าเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง ยิ่งมองยิ่งเหมือนวิถีแห่งสายเหนือพิสุทธิ์

ตอนนี้พอเห็นการบูชาที่ตำหนักหลัง เขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไป

‘เช่นนั้นแล้ว นี่หมายความว่าอะไรกันแน่’ เยี่ยนจ้าวเกอมองแส้ปัดหักครึ่งในมือ หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ‘เป็นของขวัญหรือสินสงคราม ที่เจ้าของสถานที่แห่งนี้ได้มาจากผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์หรือ’

เยี่ยนจ้าวเกอต้องการการสืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์อย่างเร่งด่วนเช่นกัน

ไฉนมรกตท่องฟ้าจึงส่งกระบี่ลวงเซียนให้ตนชนิดที่แทบเป็นการให้เปล่า จนถึงวันนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุ

ดังนั้นเขาจึงระวังตัวมาโดยตลอด

เพียงแต่หมัดเมื่อเยอะไม่คัน ภาระเมื่อเยอะไม่กังวล

ตนมีกระบี่สังหารเซียนกับกระบี่ลวงเซียน ถ้าหากวิตกกับคำสั่งของกษัตริย์ดิน ก็แค่เพิ่มมาอีกวรยุทธ์หนึ่งเท่านั้น

เพียงแต่การสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ขาดแคลนจริงๆ ทั่วทั้งโลกซ้อนโลกนอกจากยอดเขาอัศจรรย์และเขาโถงทองแล้ว ก็ไม่มีสำนักหรือพรรคที่สามอีก

‘ไม่รู้สมควรบอกว่าโชคดีหรือโชคร้าย’ เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ ‘แต่ก็ยังดีที่ไม่ใช่การสืบทอดสายหยกพิสุทธิ์’

‘จุ๊ๆ ข้าเรื่องมากเช่นนี้ใช่โอหังเกินไปหรือไม่ หากมีคนที่ไม่ได้วาสนาที่หายากเช่นนี้ไปทราบเข้า ไม่แน่ว่าจะพุ่งเข้ามารุมทุบตีข้าทันทีกระมัง?’

ขณะที่คิดอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอก็คารวะเทวรูปของเทวกษัตริย์รัตนวิเศษ “องค์เทพโปรดอย่าถือสา ศิษย์ไม่ได้รังเกียจท่าน ต่อให้เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดอยู่เหนือกว่า ศิษย์ก็ยิ่งไม่รังเกียจท่าน”

หลังจากกล่าววาจาล้อเล่นเสร็จ เยี่ยนจ้าวเกอก็สลัดความคิด มองเทวรูป

บรมครูสามพิสุทธิ์ เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดเป็นตัวแทนจากไม่มีเป็นมี เทวกษัตริย์รัตนวิเศษเป็นตัวแทนจากมีเป็นไม่มี

แต่ว่าในอีกด้านหนึ่ง จะต้อง ‘มี’ ก่อน จึงค่อยพูดถึง ‘มี’ เป็น ‘ไม่มี’ ได้

ดังนั้นความจริงแล้วเทวกษัตริย์รัตนวิเศษจึงเป็นสัญลักษณ์ของการ ‘มี’ และการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง

เทียบกันแล้ว เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดเป็นสัญลักษณ์ของการ ‘ไม่มี’ และจุดเริ่มต้นแห่งจุดเริ่มต้น รวมถึงจุดจบแห่งจุดจบ

และก็มีคำอธิบายว่า เทวกษัตริย์บรรพกำเนิดเป็นสัญลักษณ์ของการไร้ซึ่งขอบเขต ส่วนเทวกษัตริย์รัตนวิเศษเป็นสัญลักษณ์ของไท่จี๋ ซึ่งให้กำเนิดหลังไร้ขอบเขต สร้างสรรค์สรรพสิ่ง

ส่วนวรยุทธ์สายเอกพิสุทธิ์ของเทวกษัตริย์เต๋า ห้ากำเนิดแรกเริ่ม แปลงกำเนิด ต้นกำเนิด เริ่มกำเนิด สสารกำเนิด และไทจี๋ (ขอบเขตกำเนิด) เป็นห้าขั้นตอนที่ฟ้าดินเปลี่ยนจาก ‘ไม่มี’ เป็น ‘มี’ บรรยายถึงมหามรรคาก่อนกำเนิดก่อนที่จะเปิดฟ้าเช่นกัน

สามพิสุทธิ์รวมเป็นหนึ่ง ระหว่างหลักเต๋าเชื่อมโยงกัน มีความพิเศษของตัวเอง ลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอละสายตา ระบายลมหายใจออกยาวๆ “ตอนนี้เพียงหวังว่า ที่นี่จะมีวรยุทธ์สายตรงของท่านผู้เฒ่าเหลืออยู่”

………………..