ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 950 การสืบทอดอันเก่าแก่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ถ้าหากผู้ที่อารามเอกนิกายบูชาที่ตำหนักหลังคือเทวรูปของเทวกษัตริย์เต๋า เช่นนั้นหากจะวิเคราะห์ว่าที่นี่เป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์หรือไม่ ก็ต้องดูของเซ่นไว้บนโต๊ะบูชา

เพราะว่านอกจากการสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์แล้ว โดยทั่วไป การสืบทอดของสำนักเต๋ามีสักเก้าส่วนที่บูชาเทวกษัตริย์เต๋า

แต่ว่าผู้ที่ตำหนักหลังบูชาเป็นเทวกษัตริย์รัตนวิเศษ จึงไม่ต้องสงสัยว่าอารามเอกนิกายแห่งนี้จะต้องเป็นสำนักผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์อย่างแน่นอน

เยี่ยนจ้าวเกอออกจากตำหนักหลัง เดินอยู่ในอาราม

ที่นี่ล่มสลายลงแล้วจริงๆ ทุกที่มีแต่กลิ่นอายเก่าแก่ทรุดโทรม

ชายหนุ่มเดินวนรอบๆ เห็นโครงกระดูกของคนรุ่นก่อนไม่ต่ำกว่าหนึ่งโครง

เขาถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนเงยหน้ากวาดสายตามองรอบๆ ‘เป็นสำนักที่อยู่มาก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่จริงๆ’

ลูกศิษย์อารามเอกนิกายที่เสียชีวิตลงที่นี่ ไม่ใช่เพราะถูกคนบุกมาเข่นฆ่า

วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในอดีต ทำให้จักรวาลถูกทำลาย

คลื่นคลั่งที่น่ากลัวส่งผลกระทบต่อมิติต่างแดนและโลกที่ซ่อนตัวอยู่มากมาย

แม้ว่าอารามเอกนิกายจะไม่ได้ล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง แต่ว่าคนที่อยู่ในนี้กลับถูกบดขยี้จนตาย

ยอดฝีมือระดับสุดยอดของที่นี่ ดูเหมือนในตอนนั้นจะไม่ได้อยู่ด้วย เหลือแต่คนที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำ ที่นี่เลยกลายเป็นที่ฝังกระดูกของพวกเขา

กาลเวลาอันยาวนานไหลเวียน ผนึกป้องกันของที่แห่งนี้เริ่มทำงานอีกครั้ง แต่คนตายกลับไม่อาจฟื้นมาได้

สถานการณ์ที่คล้ายกันมีให้เห็นไม่น้อย

หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ผู้คนเจริญเติบโตและฟื้นฟูกลับมาดังเดิม ต่างพากันขุดค้นโบราณสถานของคนรุ่นก่อน จากนั้นก็เริ่มการพัฒนา

ในการขุดค้น ก็สามารถเห็นซากอัฐิของคนรุ่นก่อนได้บ่อยๆ

ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอยังเป็นคนรุ่นหลังอยู่ในโลกแปดพิภพ เขาเคยเข้าไปในโบราณสถานแห่งหนึ่ง โดยการนำของผู้อาวุโสในสำนัก และเห็นฉากเช่นนี้ด้วย

‘ผู้ที่จากไปได้พักอย่างสงบแล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอขณะเดินอยู่ ด้านหน้าก็ปรากฏศาลบรรพบุรุษขนาดใหญ่โต

ครั้นเขาเข้าไปด้านในนั้น ก็เห็นมีการบูชาป้ายวิญญาณมากมาย คาดว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษในแต่ละรุ่นของอารามเอกนิกาย

ด้านบนสุดมีป้ายวิญญาณที่ถูกบูชาไว้ลำพัง สลักชื่อว่า ‘บูรพาจารย์นักพรตเต๋า หยวนคัง ผู้สืบทอดที่แท้จริงแห่งเชิงเสวียนสายเหนือพิสุทธิ์’

พอเห็นป้ายวิญญาณนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ‘ผู้สืบทอดที่แท้จริงแห่งเซิงเสวียนสายเหนือพิสุทธิ์…เช่นนั้นก็หมายความว่า เป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามซึ่งเป็นผู้สืบทอดสายตรงแห่งเหนือพิสุทธิ์ เป็นลูกหลานที่แท้จริงของเทวกษัตริย์รัตนวิเศษหรือ’

‘แต่ไม่เคยได้ยินว่าในหมู่ลูกศิษย์รุ่นที่สามสายเหนือพิสุทธิ์ มีผู้ที่ชื่อว่านักพรตหยวนคังหรือนักพรตเต๋าหยวนคัง ทว่าเทวกษัตริย์รัตนวิเศษเปิดประตูกว้างขวาง สั่งสอนทุกสรรพสัตว์ หมื่นเซียนมาคารวะ ในสำนักจะมีนักพรตหยวนคังหรือไม่ กลับยังบอกไม่ได้’

เรื่องเล่าที่แพร่หลายที่สุดในสามพิสุทธิ์เกิดขึ้นมานาน จนแทบกลายเป็นเทพปกรณัมไปแล้ว

หลายสิ่งหลายอย่างล้วนถูกคนรุ่นหลังเสริมเติมแต่ง

แม้จะเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จัก แต่จนถึงปัจจุบันก็ยากจะแยกแยะจริงปลอมแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอเดิมทีไม่ได้สนใจมากนัก ทว่าในตอนที่เขาสำรวจเอกสารบันทึกส่วนหนึ่งด้านในศาลเจ้าของอารามเอกนิกายแล้ว สีหน้าก็แปลกพิกลกว่าเดิมอย่างควบคุมไม่ได้

เพราะตามบันทึก นักพรตหยวนคัง บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งอารามเอกนิกาย คือลูกศิษย์ที่เทวกษัตริย์วิเศษคณานับถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง

เทวกษัตริย์วิเศษคณานับ มีชื่อว่านักพรตตัวเป่า

ศิษย์ใหญ่ลัทธิเจี๋ยเจี้ยวในตำนานสถาปนาเทพ ผู้เป็นเอกในบรรดาศิษย์ของเทวกษัตริย์รัตนวิเศษ บรมครูสายเหนือพิสุทธิ์

ในประวัติศาสตร์สำนักเต๋า เทวกษัตริย์วิเศษคณานับเป็นคนที่บรรลุค่ายกลลงทัณฑ์เซียนนอกจากเทวกษัตริย์รัตนวิเศษ และได้วางค่ายกลแทนผู้เป็นอาจารย์ ต้านทานเหล่าเซียนจากสำนักหยกพิสุทธิ์

ปัจจุบันต่างสรรเสริญกันว่า ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามของประวัตศาสตร์สำนักเต๋า นักพรตตัวเป่าเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งยังเหนือกว่าหยกโปหยินและจักรพรรดิจื่อเวย

เพียงแต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ข่าวคราวของผู้ยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดของสำนักเต๋าผู้นี้ค่อยๆ หายไปแล้ว

ตำนานที่เกี่ยวกับเขามีอยู่ไม่น้อย

จากความทรงจำก่อนหน้านี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ เขาเคยเห็นนักเขียนนิยายเขียนเกี่ยวกับตอนที่เทวกษัตริย์กว่างเฉิง ศิษย์เอกของสายหยกพิสุทธิ์สู้กับเทวกษัตริย์วิเศษคณานับ โดยบรรยายไว้ว่า ‘องค์หนึ่งคือกว่างเฉิงผู้มีร่างเทพเซียนไม่แก่ชรา อีกองค์คือตัวเป่าแห่งประจิมผู้กลายเป็นพระยูไล’

ต่อมาแม้นจะไม่ได้มีการกล่าวอย่างแน่ชัด แต่ดูเหมือนมีการบอกเป็นนัยๆ ว่า นักพรตตัวเป่าคือองค์ยูไลแห่งเขาหลิงซาน

มีอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า เล่าจื๊อมุ่งทิศประจิมผ่านด่านหานกู่ ก็แปลงหนวดเครากลายเป็นพระพุทธเจ้า หมายถึง พอนักพรตตัวเป่าเข้าศาสนาประจิมทิศ ก็ได้เสด็จสู่แดนอภิรดี เผยแผ่พุทธหินยาน

ในโลกแห่งนี้มีตำนานที่คล้ายๆ กันอยู่ไม่น้อย

กระนั้นก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือปลอม ศาสนามพุทธเองก็ไม่ยอมรับในเรื่องนี้เช่นกัน

แม้ตอนที่อยู่ในหอหนังสือวังเทพก่อนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ เยี่ยนจ้าวเกอจะเคยศึกษาทุกคัมภีร์ ล่วงรู้ถึงความลับจำนวนไม่น้อย แต่ตำแหน่งของนักพรตตัวเป่าหลังยุคสถาปนาเทพ เขากลับไม่แน่ใจนัก

เพียงแต่ว่าวันนี้พอได้อ่านบันทึกเอกสารจำนวนหนึ่งในอารามเอกนิกาย โดยเฉพาะข้อความที่นักพรตหยวนคังเหลือไว้ เยี่ยนจ้าวเกอก็สังเกตถึงรายละเอียดอย่างหนึ่ง

แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำไม่ปะติดปะต่อ แต่นักพรตหยวนคังได้บอกว่า เขาได้กราบเป็นลูกศิษย์ของเทวกษัตริย์รัตนวิเศษหลังยุคสถาปนาเทพ

ถ้าหากว่าสิ่งที่นักพรตหยวนคังรู้และพูดเป็นความจริง เช่นนั้นก็เผยถึงข้อมูลสองอย่าง

หลังสงครามสถาปนาเทพ เทวกษัตริย์รัตนวิเศษไม่ได้เสียชีวิต อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียชีวิตเพราะสงครามครั้งนั้น

นอกจากนี้ เรื่องที่องค์ตัวเป่ากลายเป็นพระพุทธเจ้า ในโลกใบนี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องจริง

เพียงแต่ว่าเทวกษัตรยิ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ผู้นี้ ตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ยังไม่ชัดเจนเลยจริงๆ

ในวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ก็ไม่ได้มีข่าวว่าเทวกษัตริย์รัตนวิเศษปรากฏตัวขึ้น

สงครามสถาปนาเทพ ทำให้สายเหนือพิสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายครั้งใหญ่ ว่ากันว่าลูกศิษย์ทุกคนของเทวกษัตริย์รัตนวิเศษ มีแต่เจ้าแม่อู๋ตังเท่านั้นที่เหลือรอดปลอดภัย

ต่อมาในกาลเวลาอันยาวนาน ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นผู้สืบทอดของเจ้าแม่อู๋ตังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

สายสืบทอดของมรกตท่องฟ้า หากสืบย้อนขึ้นมา ก็มาจากการสืบทอดของเจ้าแม่อู๋ตังเช่นกัน

กระบี่สังหารเซียนในหอหนังสือวังเทพซึ่งเยี่ยนจ้าวเกอฝึกฝน มาจากคนของสำนักสายเหนือพิสุทธิ์ที่ย้ายมาอยู่ในวังเทพหลังสงครามสถานปนาเทพ

‘เทวกษัตริย์วิเศษคณานับ…’ เยี่ยนจ้าวเกอวางเอกสารลง ทางหนึ่งใคร่ครวญ ทางหนึ่งมองป้ายวิญญาณมากมายที่อยู่เบื้องหน้า

ครู่ต่อมา เขาค่อยประสานมือแก่ศาลเจ้า ก่อนจะเดินออกมา ทอดน่องไปยังสถานที่อื่นๆ ของอาราม

โครงกระดูกที่ระเกะระกะอยู่ในอาราม รวมถึงสถานที่อื่นซึ่งลูกศิษย์ในสำนักใช้อาศัยและฝึกฝน เป็นเป้าหมายในการตามหาของเขา

ในห้องสงบใจแห่งหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอได้สิ่งของบางอย่างมา

นั่นเป็นแผ่นหยกถ่ายทอดวิชาแผ่นหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอคุ้นเคยกับมันดี สามารถเก็บคัมภีร์ลับไว้ด้านในได้

พอสัมผัสได้ถึงจิตกระบี่อันดุร้ายในห้องสงบใจ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่ที่ลูกศิษย์อารามเอกนิกายสักคนใช้ฝึกฝนวิชาเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่

ด้านในแผ่นหยกชิ้นนี้ น่าจะมีของที่เขาต้องการ

‘ผังค่ายกลลงทัณฑ์เซียนข้าไม่หวังจะได้แล้ว ขอแค่ไม่ใช่วรยุทธ์ที่ข้ามีอยู่แล้วอย่างคัมภีร์กระบี่สังหารเซียนกับคัมภีร์กระบี่ลวงเซียนก็พอ’

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งบ่นในใจ ทางหนึ่งถ่ายเทญาณจริงแท้ของตัวเองเข้าไป

เขาไม่รีบร้อน ทรุดนั่งขัดสมาธิกับพื้น ค่อยๆ ทำความเข้าใจ

แผ่นหยกชิ้นนี้มีอายุมากเกินไป อีกทั้งยังได้รับผลประทบจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หากไม่ระวังขึ้นมา ก็จะทำให้มันเสียหายทันที

หากไม่เสียหาย คิดจะเอาสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา ก็เป็นเรื่องที่มีความยากมากเรื่องหนึ่ง

ไฉนวรยุทธ์ที่คนหลังยุควิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ได้จากการขุดค้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคัมภีร์ชำรุด

เวลาเมื่อผ่านไปนาน ภาชนะที่เอาไว้บันทึกการสืบทอดวรยุทธ์จำนวนมาก ย่อมได้รับความเสียหาย นับเป็นสาเหตุหลัก

นี่ไม่ใช่ปัญหาที่อาศัยแค่ความระวังของผู้ขุดค้นจึงจะหลบเลี่ยงได้

เยี่ยนจ้าวเกอไม่อยากได้คัมภีร์ชำรุด จึงตั้งใจเจียระไนอย่างช้าๆ เพื่อนำสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ด้านในออกมา

นี่จำเป็นต้องประสานกับจิตพลังลมปราณที่อยู่ในที่นี้ จึงค่อยมีความหวังมากขึ้น

ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่เอาแผ่นหยกไปแล้วจะจบเรื่อง

เขามีลางสังหรณ์ต่อเรื่องนี้แต่แรก ดังนั้นจึงกำชับให้อาหู่เฝ้าอยู่ที่ตำหนักหน้า พร้อมป้องกันคนอื่นๆ ที่เข้ามาตลอดเวลา

หลังจากเวลาผ่านไป อาหู่ที่เดิมทีรู้สึกเบื่อหน่ายตรงตำหนักหน้าก็มองลวดลายสีชาดของผ้าเหลืองที่อยู่บนโต๊ะบูชา ใจเต้นขึ้นมา ‘มีคนกำลังจะเข้ามาอีกแล้วหรือ’

………………..