ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 951 เข้าประตูมีของขวัญใหญ่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

การเฝ้าอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องจับตาดูโต๊ะบูชาตลอดเวลา ไม่อาจแบ่งสมาธิไปฝึกวิชาได้ ดังนั้นอาหู่จึงรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง

เพียงแต่ชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจอะไร ที่แล้วมาล้วนรู้จักแบ่งแยกหนักเบาอย่างชัดเจน

ถึงแม้จะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่อาหู่ก็ยังตั้งใจจับตาดูโต๊ะบูชา

และไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร ลวดลายสีชาดของผ้าเหลืองที่อยู่บนโต๊ะบูชาก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง

ลวดลายอาคมที่ใช้สีชาดเขียน เหมือนกับมีชีวิตขึ้นมา บิดเบี้ยวสั่นไหวไม่หยุด

อาหู่ที่ได้รับคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกอ ให้แยกแยะรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของลวดลายอาคม จึงทราบในทันทีว่ามีคนกำลังเข้ามาในอารามเอกนิกายอีกครั้ง

แม้นจะไม่รู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร แต่อาหู่ไม่คิดจะเผชิญหน้ากับพวกเขา

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนจากเขากว่างเฉิง

ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเหอะๆ ปรับลวดลายอาคมที่ใช้สีชาดเขียน ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอได้สอนไว้

ลวดลายอาคมเปลี่ยนแปลง แสงวิญญาณหลายสายกะพริบ ผสมผสานกันกลางอากาศ แสดงความลี้ลับมากมายออกมา

ด้านในตำหนักใหญ่คล้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ว่าคนที่คิดจะเข้ามาจากด้านนอกเจอปัญหาใหญ่แล้ว

ต่อจากเยี่ยนจ้าวเกอและจอมยุทธ์เขาสามขา คนที่มาถึงอารามเอกนิกายมีจำนวนคนไม่มากนัก กระนั้นแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา

ท่ามกลางเสียงร้องของหงส์ หงส์เพลิงหลายตัวทะลุลานอาราม โถมมายังประตูหลักของตำหนักใหญ่โดยตรง

พอเข้ามาในประตูหลักแล้ว ภาพด้านหน้าของพวกเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

พวกเขาพากันหยุดฝีเท้า เผยให้เห็นร่างจริง

สองคนที่นำหน้า คนหนึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีอายุราวสี่สิบกว่าปี อีกคนเป็นคนหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี

บุรุษหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลา แต่ว่าดวงตาปรากฏความเย็นเยียบและประกายคมกริบ

เป็นจวงเจาฮุย ‘โอรสหงส์’ บุตรชายของประมุขทักษิณจวงเซิน

เขาในตอนนี้มีญาณจริงแท้เต็มเปี่ยม คึกคักฮึกเหิม บนร่างเหมือนกับมีจุดแสงส่องระยิบระยับ คล้ายทะเลดาวบนฟากฟ้า

จุดแสงเหล่านี้มีแบบแผนเฉพาะตัว กำลังโคจรอย่างมั่นคง

ในฐานะบุตรชายของประมุขทักษิณ และอัจฉริยะรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงบนโลกซ้อนโลก หลายปีมานี้จวงเจาฮุยไม่ได้ใช้เวลาอย่างเสียเปล่า เมื่อหกปีก่อนตอนที่ไปเขตตะวันอาคเนย์เพื่อตามหากระดูกหงส์เพลิง เขายังคงเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเทวะสำแดง แต่ปัจจุบันได้ปีนขึ้นสะพานเซียนแล้ว

ตอนที่ยังเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย จวงเจาฮุยกล้าหักหาญกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียน

มาวันนี้เขาได้ปีนขึ้นสะพานเซียน มีพลังเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง

ขออย่าเจอคนอย่างหลงฮั่นหัว ผู้วิเศษเซิง และเฉิงโม่ ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดส่วนใหญ่ เขาล้วนสู้ได้

เทียบกับเมื่อหกปีก่อนแล้ว จวงเจาฮุยในตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร มีแต่สายตาเย็นชาเคร่งขรึมกว่าเดิม

เมื่อครั้งตามหากระดูกของหงส์เพลิงในดินแดนสุทธทัศน์บนทะเลหวงเจีย เขากลับพบเจอความล้มเหลว เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของจวงเจาฮุยที่พบพานน้อยครั้ง

ต่อมาในที่สุดเขตเพลิงทักษิณกับเขตตะวันอาคเนย์ก็เปิดสงคราม ในตอนแรกแม้นจะได้เปรียบอยู่หลายส่วน แต่หลังจากนั้นท้ายที่สุดก็ไม่บรรลุจุดประสงค์ ได้แต่ล่าถอยอย่างจนปัญญา

จะทำให้ระดับเพิ่มขึ้นอีกขั้นได้หรือไม่ จะทำให้ห้าจริยะครบถ้วนได้หรือไม่ ม้วนคัมภีร์ร่างหงส์เพลิงมีความสำคัญยิ่ง

สำหรับประมุขทักษิณจวงเซินแล้ว นั่นอาจจะโอกาสที่จะทำให้เขารุดหน้าขึ้นอีกขั้น ได้ผลักเปิดประตูเซียน

ต่อให้ไม่อาจขึ้นสู่ระดับเซียนได้ แต่ก็สร้างความก้าวหน้าชนิดก้าวกระโดดให้แก่พลังของเขาได้อยู่ดี

เนินต้นจักรพรรดิบนเขาลีลาหงส์จะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่หลวงเช่นกัน

ไม่เพียงแต่ประมุขทักษิณจวงเซินที่หมายตามาตลอดเท่านั้น จวงเจาฮุยก็มาดหมายเช่นนั้นเช่นกัน

แต่คิดจะเอาชนะเขาโถงทองที่อยู่ในเขตตะวันอาคเนย์ ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ

พลังและของวิเศษในแต่ละด้าน ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งดี

ลูกศิษย์เนินเขาจักรพรรดิคนหนึ่งพึมพำ “ผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์หรือ จะว่าไป ยอดเขาอัศจรรย์กับเขาโถงทองก็เป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์เหมือนกันกระมัง”

จวงเจาฮุยเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ดังนั้นสำหรับพวกเราแล้ว ที่แห่งนี้มีคุณค่ามากกว่า ทั้งยังไม่ธรรมดา”

ด้านข้างมีคนกล่าวอย่างเคียดแค้น “ในที่สุดก็มีวันได้ทำลายเขาโถงทองนั่นแล้ว”

“นอกจากเขาโถงทอง เขตตะวันอาคเนย์ยังมีขุมกำลังอีกมากมายที่น่าชิงชังพอกัน”

“โดยเฉพาะเขากว่างเฉิงอะไรนั้น แค่สำนักเล็กๆ ที่ขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง ก็คู่ควรกับชื่อบรรพตบูรพาหรือ”

ลูกศิษย์จากเนินต้นจักรพรรดิผู้นั้นแค่นเสียง “ล้วนอาศัยยอดเขาอัศจรรย์กับเขาโถงทองคุ้มครองทั้งสิ้น ถึงได้อยู่รอดมาถึงวันนี้ แต่กลับบินว่อนไปทั่วราวแมลงวันที่น่ารังเกียจ ทำลายแผนการของเราครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังกล้าสังหารลูกศิษย์ของสำนักเรา หากไม่ทำลายพวกมัน ข้าก็ไม่อาจระบายความแค้นในใจได้!”

จวงเจาฮุยได้ยินดั้งนั้น แววตาที่เย็นเยียบก็คมกริบกว่าเดิม “คิดทำลายเขาโถงทองไม่ง่าย แต่หากสร้างความเสียหาย กดดันให้อีกฝ่ายมอบกระดูกหงส์เพลิงออกมาได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว”

“ยอดเขาอัศจรรย์กับเขาโถงทองเมื่อไม่อาจออกหน้า การทำลายเขากว่างเฉิงนั้นก็ง่ายดายกว่าเดิม”

เขานึกย้อนบนสนทาระหว่างเขากับประมุขทักษิณจวงเซินผู้เป็นบิดา

‘หรือว่าอาวุธเซียนที่จักรพรรดิประกายกาฬทิ้งเอาไว้ จะกลายเป็นยันต์คุ้มกันภัยของเขา’ จวงเจาฮุยในตอนนี้รู้สึกคับข้องใจอย่างยิ่ง

‘การสังหารเยี่ยนจ้าวเกอกับการทำลายเขากว่างเฉิงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ห้ามเอาอาวุธเซียนมาเด็ดขาด’ จวงเซินกลับสงบนิ่งยิ่ง ‘หากแต่ก่อนหน้านั้น ยอดเขาอัศจรรย์กับเขาโถงทองเป็นปัญหาที่เราต้องเผชิญก่อน’

จวงเจาฮุยสลัดความคิด มองอารามเอกนิกายเบื้องหน้า สีหน้าเคร่งขรึม

“แส้ปัดหักครั้งนี้มาอยู่ในมือเราอย่างไร้สาเหตุ ช่วยให้พวกเราเข้ามา กลับไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ” ศิษย์เนินต้นจักรพรรดิอีกคนหนึ่งว่า

บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ข้างจวงเจาฮุยเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของเนินต้นจักรพรรดิ ถือเป็นศิษย์น้องของประมุขทักษิณจวงเซิน มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าจวงเจาฮุย

เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ “เพิ่มความระวังก็พอ แต่อย่าทำให้ฝ่ายตัวเองปั่นป่วน”

“ขอรับอาจารย์อา” พวกจวงเจาฮุยติดตามบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น เดินเข้าไปด้านหน้า

มิคาดในตอนนั้นเอง ในอากาศพลันมีทรายสีเหลืองที่น่ากลัวพัดขึ้น!

พายุแห่งความตายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง กลืนกินคนจากเนินต้นจักรพรรดิที่เพิ่งเข้ามาในตำหนักใหญ่ทั้งหมด

การพบเจอกับผนึกป้องกันหลังจากเข้ามาสำรวจที่อยู่ของคนรุ่นก่อนเป็นเรื่องปกติ

เพียงแต่ผนึกป้องกันนี้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ!

ด้วยพลังฝึกปรือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น ขนาดใช้ปฐพีอนิสงส์กับแสงม่วงบารมีคุ้มกันกาย ก็ยังรู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้าง

โชคดีที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่เขานำติดตัวมา เป็นเกราะชิ้นหนึ่งที่ช้สำหรับป้องกันโดยเฉพาะ เมื่อประสานกับจิตจริงแท้ของห้าจริยะในม้วนคัมภีร์ร่างหงส์เพลิง จึงค่อยฝืนต้านทานไว้ได้ แต่ก็ยากจะก้าวเดินอยู่ชั่วขณะ

จวงเจาฮุยแม้นจะมีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดา แต่ยามนี้ก็เกือบจะล้มคะมำ

ทรายเหลืองอันน่ากลัวนั้น แค่เพียงพลังทำลายล้างอย่างเดียว ก็แทบไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าแล้ว!

จวงเจาฮุยเพิ่งจะเจอ ก็เกือบถูกเจาะเป็นรูพรุน

เกาทัณฑ์หงส์เพลิง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงของเขามีอานุภาพอยู่ที่พลังโจมตีทั้งสิ้น ครั้งนี้มันจึงช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่พึ่งตัวเอง

ปฐพีอนิสงส์ถูกทะลวง แสงม่วงบารมีถูกบดขยี้ ปราณขาวกุศลซ่อนค่อยถูกกดดันออกมา

แม้นจะเป็นเช่นนั้น จวงเจาฮุยก็เกือบตายคาที่

สุดท้ายบนตัวเขามีเปลวเพลิงหลายสายสว่างขึ้น กอปรกันเป็นโล่ป้องกันครึ่งวงกลม ถึงค่อยรักษาชีวิตของตนไว้ได้

นี่เป็นของวิเศษไม้ตายของจวงเจาฮุย เป็นความสามารถในการป้องกันอันดับสุดท้าย และเป็นของล้ำค่าที่เอาไว้ช่วยชีวิตของเขา

แต่ว่ากลับเป็นของสิ้นเปลือง ใช้เสร็จครั้งหนึ่งก็จะสลายไปทันที

ถึงจะคาดเดาออกว่าผนึกป้องกันของที่แห่งนี้แข็งแกร่งยิ่ง แต่จวงเจาฮุยนึกไม่ถึงเลย ว่าเพิ่งจะเข้ามาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว

จอมยุทธ์จากเนินต้นจักรพรรดิที่เหลือมีสภาพน่าอนาถกว่า ทั้งหมดอาศัยการดูแลของจวงเจาฮุยและบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น จึงค่อยไม่ถึงกับถูกสังหารคาที่

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่น “อันตรายที่เหนือความคาดหมาย พวกเจ้าถอยออกไป ข้าจะเข้าไปคนเดียวดู”

เสียงยังไม่ทันขาด ในเสียงพายุหวีดหวิวที่สั่นสะเทือนแก้วหู ถึงกับมีเสียงอย่างอื่นแว่วมา

เสียงคำรามจากการไหลเชี่ยวของมหานที