ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 952 โอรสหงส์ผู้โกรธเกรี้ยว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวที่แผดคำรามนั้น เป็นน้ำจากแม่น้ำหนักอึ้ง ภัยพิบัติที่สองในผนึกป้องกันของสถานที่แห่งนี้!

เป็นสายน้ำที่หนักที่สุดในใต้หล้า นอกจากธารสวรรค์จักรวาล

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอผ่านผนึกป้องกันเข้าไปในตำหนักใหญ่ของอารามเอกนิกายได้อย่างเป็นทางการ ก็ได้พบกับลวดลายสีชาดของผ้าเหลืองที่อยู่บนโต๊ะบูชา พอได้ศึกษาอย่างละเอียด ก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้

ในตอนที่เขาเข้ามา ไม่มีใครควบคุมผนึกป้องกันนั้น

ดังนั้นพายุทราย แม่น้ำหนักอึ้ง และบัวอัคคี ภัยพิบัติสามประการ จึงขวางทางกันตามลำดับ

เขาแค่แก้ไขไปทีละอย่าง สุดท้ายก็สามารถผ่านได้

แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ผ่อนคลาย

แต่ถ้ามีคนควบคุมผนึกป้องกันนี้ จะสามารถสั่งให้ภัยพิบัติสองอย่างทำงานพร้อมกัน หรือภัยพิบัติสามอย่างทำงานร่วมกันได้!

อาหู่ได้รับคำชี้แนะจากเยี่ยนจ้าวเกอ ในตอนนี้กำลังควบคุมผนึกป้องกัน เฝ้าอยู่ที่ตำหนักหน้า

เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามา อาหู่ที่นอกหยาบในละเอียดก็ลองหยั่งเชิงดู กระตุ้นภัยพิบัติชั้นแรก ทรายเทพธาตุทอง

หากผนึกป้องกันนี้ถูกใช้หมดในครั้งเดียว ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสักระยะ

เกิดคู่ต่อสู้ส่งคนจำนวนหนึ่งฝ่ากระสุนเข้ามาก่อน แล้วตนกระตุ้นผนึกป้องกันสุดกำลัง จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังเสียเปล่าๆ

ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายเมื่อต้านทานภัยพิบัติอย่างแรกได้ อาหู่ก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ถูกส่งมาตาย

ถึงอย่างไรพายุทรายที่เกิดจากทรายเทพธาตุทอง แค่พลังทำลายล้างอย่างเดียวก็แทบจะเทียบได้กับยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายแล้ว

ในเมื่อสามารถรับมือด่านนี้ได้ ไหนเลยจะเป็นแค่คนธรรมดา

อาหู่เห็นดังนั้นก็ไม่เกรงใจอีก หัวเราะเหอะๆ สั่งให้ผนึกป้องกันทั้งหมดทำงานทันที!

ขณะที่ส่งเสียงหวีดหวิวและไหลเชี่ยว น้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งที่ทะลักทลายก็แทรกอยู่ในพายุทราย ซัดเข้าหาพวกจวงเจาฮุยอย่างบ้าคลั่ง

นอกจากนี้แล้ว ดอกบัวเปลวเพลิงสีทองมากมายก็เบ่งบานกลางอากาศ ล้อมคนจากนเนินต้นจักรพรรดิไว้

เหล่าคนที่น่าสงสารเพิ่งเตรียมจะถอยออกไป ตอนนี้คิดไปก็ไปไม่ได้เสียแล้ว

เมื่อครู่เพิ่งถูกทรายเทพธาตุทองเล่นงานจนหัวปั่น น้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งและบัวทองอัคคีวิเศษสองภัยพิบัติก็ยังมาถึงพร้อมกับเสียงกรีดลม

ด้วยระดับพลังฝึกปรือของพวกจวงเจาฮุย ตอนนี้อย่าว่าแต่ปราณขาวกุศลซ่อนที่จะช่วยให้มีโอกาสรอด ต่อให้มีห้าจริยะอยู่ครบ ก็ไม่อาจคุ้มครองได้หมด!

บัวอัคคีระเบิด กลายเป็นทะเลเพลิงสีทองไร้ขอบเขต แต่ก็พวยพุ่งขึ้นเหมือนน้ำจากแม่น้ำหนักอึ้ง

น้ำและไฟไร้เมตตา ทั้งสองอย่างแยกกันชัดเจน แต่ก็พุ่งเข้าหาพวกจวงเจาฮุยเหมือนกัน

สิ่งที่แทรกอยู่ด้านในยังมีพายุทรายที่น่ากลัวถึงขีดสุด

จอมยุทธ์จากเนินต้นจักรพรรดิบนเขาลีลาหงส์ ล้วนเป็นคนที่ฝึกฝนจิตกุศลซ่อน ตอนนี้ได้แต่มองปราณสีขาวหนึ่งสายของตัวเอง ค่อยๆ สลายไป!

นี่กำลังบ่งบอกว่า เมื่อเผชิญกับความอันตรายที่อยู่ตรงหน้า พลังชีวิตก็ขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง!

สถานการณ์ตายสิบไม่มีทางรอด!

แม้กระทั่งพวกจวงเจาฮุยสองคนที่ได้ปีนขึ้นสะพานเซียน เมื่อพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังยากจะต้านทาน

หลังจากคลื่นคลั่ง ซากศพล้วนไม่เหลือ!

พายุทรายค่อยๆ สลาย ส่วนน้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งและบัวทองอัคคีวิเศษยังคงหลงเหลือ ตกค้างอยู่ในอากาศ

ยามนี้มีคนเข้ามาจากด้านนอกอีกครั้ง กลับเป็นอีกาสีทองขนาดยักษ์

เป็นจอมยุทธ์เขาสามขาที่รับหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ และช่วยให้พวกจวงเจาฮุยเข้ามา

พวกเขาเพิ่งจะมาถึง ก็ประสบกับการโจมตีจากผนึกป้องกันทันที

สุดท้ายเพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนตายลงที่นี่ ทำลายรังสีสังหารจากผนึกป้องกัน ทำให้ภัยพิบัติไม่ได้รุนแรงเหมือนเดิม จอมยุทธ์เขาสามขาที่เข้ามาทีหลังเหล่านี้ถึงค่อยฝืนต้านไว้ได้

ทว่าพวกเขาคร่ำครวญขึ้น “ผนึกป้องกันนี้มีภัยพิบัติสามอย่าง แต่ตามเหตุผลแล้วควรจะมาทีละอย่างถึงจะถูกต้อง ตอนนี้ถึงกับมีสองภัยพิบัติทำงานพร้อมกันหรือนี่”

“คนจากเนินต้นจักรพรดิ เกรงว่าจะพินาศไปหมดสิ้นแล้วกระมัง”

ขณะที่กำลังใคร่ครวญ ก็เห็นเปลวเพลิงสองกลุ่มลอยขึ้นกลางอากาศ

เปลวเพลิงสองกลุ่มนั้นไม่ได้ร้อนแรงดุร้าย แต่กลับเต็มไปด้วยพลังชีวิต

เห็นในเปลวเพลิงสองกลุ่ม ต่างมีเงาแสงห้าสีกลุ่มหนึ่งกำลังส่ายไหว เหมือนกับไข่จากวิหคชนิดหนึ่ง ทั้งยังเหมือนปักษาชนิดหนึ่งสยายปีก

ภาพมายาเปลวเพลิงนี้เริ่มผนึกกันเป็นรูปร่าง ไม่เผยกลิ่นอาย น้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งและบัวอัคคีที่เหลืออยู่หยุดเล็งพวกเขาชั่วขณะ

คนจากเขาสามขาพอพบเห็นเหตุการณ์นี้ กลับเข้าใจขึ้นมา ‘การดับสิ้นและฟื้นคืนชีพของม้วนคัมภีร์ร่างหงส์เพลิง เมื่อครู่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนจากเนินต้นจักรพรรดิสองคนตายลงที่นี่’

ในเปลวเพลิงสองกลุ่มมีเสียงร้องของหงส์ดังขึ้น

สุดท้ายหงส์เพลิงห้าสีสองตัวก็คืนชีพขึ้นในเปลวอัคคี จากนั้นก็บินออกมา

ใต้การปกคลุมของเงาแสงหงส์เพลิง คือจวงเจาฮุยและอาจารย์อาของเขา

ทั้งสองมีสีหน้าบิดเบี้ยวถึงขีดสุด

นอกจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนอย่างพวกเขาสองคนแล้ว ลูกศิษย์เนินต้นจักรพรรดิคนอื่นล้วนตายเพราะผนึกป้องกันของอารามเอกนิกายแห่งนี้!

ถึงจะเป็นพวกเขาสองคน แต่ก็นับได้ว่ารอดตายมาอย่างหวุดหวิด หากไม่ใช่เพราะความอัศจรรย์ของการดับสิ้นและเกิดใหม่ในม้วนคัมภีร์ร่างหงส์เพลิง ก็คงตายเพราะคลื่นคลั่งระลอกเมื่อครู่ไปแล้ว

ตอนนี้แม้พวกจวงเจาฮุยจะคืนชีพขึ้นมา แต่ของวิเศษและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่พกติดตัว ล้วนมลายหายไปหมดสิ้น

“อีกาทอง…คัมภีร์อีกาทองผลาญโลก คนจากเขาสามขาในเขตตะวันอาคเนย์หรือ” พวกจวงเจาฮุยกัดฟันกรอด ในที่สุดก็ทราบแล้ว คนที่มอบแส้ปัดหักครึ่งให้แก่พวกเขาสมควรเป็นเขาสามขา อีกทั้งอีกฝ่ายยังไม่ได้มีเจตนาดีด้วย

แต่ว่าพวกเขาในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดบัญชีกับเขาสามขา

ผนึกป้องกันถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พลังของคนจริงๆ จึงไม่มีจิตใจและสติปัญญา

น้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งและบัวทองอัคคีวิเศษที่เหลืออยู่ ตอนนี้กำลังทักทายคนจากเขาสามขา

พวกจวงเจาฮุยที่ผ่านการดับสิ้นและคืนชีพ กลับไม่ถูกผนึกป้องกันหมายหัวอีก

ทว่าน้ำจากแม่น้ำหนักอึ้งและบัวเพลิงสีทองเหล่านั้น กลับขวางเส้นทางถอยของพวกเขาเช่นกัน

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกจวงเจาฮุยก็ได้แต่กัดฟันมุ่งหน้าต่อ

ฉากตรงหน้าเปลี่ยนแปลง ในที่สุดพวกเขาก็เข้ามาในตำหนักหน้าของอารามเอกนิกายได้ พอเห็นรูปปั้นของบรมครูสามพิสุทธิ์ พวกเขาก็รู้สึกปวดใจสุดเปรียบปาน

ครั้นกวาดมองรอบๆ แล้ว ในตำหนักหน้าไร้ผู้คน มีเพียงมุมหนึ่งของตำหนักใหญ่ที่จัดวางโต๊ะบูชาไว้

จวงเจาฮุยกวาดมอง สีหน้าเคร่งขรึมถึงขีดสุด “เมื่อครู่มีคนอยู่ที่นี่ แล้วสั่งให้ผนึกป้องกันนั้นทำงาน!”

“อย่ามาอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่เช่นนั้นอย่าหวังจะรอดไปได้!”

ผู้อาวุโสจากเนินต้นจักรพรรดิที่อยู่ด้านข้างเขาปั้นสีหน้าเย็นชา “ตาม!”

อีกฝ่ายพอเห็นว่าพวกเขาผ่านผนึกป้องกันมาได้ ก็หนีไปทันที หมายความว่ามีพลังฝึกปรือจำกัด ได้แต่อาศัยผนึกป้องกันของที่แห่งนี้ขวางทาง

แม้นจะไม่เข้าใจว่าคนที่มาถึงก่อนนี้ ก่อนหน้านี้ทะลวงภัยพิบัติสามอย่างเข้ามาได้อย่างไร แต่อย่างน้อยในตอนนี้อีกฝ่ายก็แสดงให้เห็นถึงความขาดเขลา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนที่มาจากเนินต้นจักรพรรดิ ก็ต้องแข่งกับเวลามากกว่าเดิม

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางให้กลับแล้ว มีเพียงแต่ไปด้านหน้า ไม่อย่างนั้นสหายร่วมสำนักก็ตายเปล่า

พวกจวงเจาฮุยพุ่งไปถึงตำหนักหลังด้วยความเร่งร้อน หันไปมองเทวรูปที่บูชาอยู่โดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็ตะลึงเป็นไก่ไม้อย่างไม่อาจควบคุม

“เทวกษัตริย์รัตนวิเศษ?! ที่นี่เป็นผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์หรือ?!” จวงเจาฮุยเหมือนโดยฟ้าผ่า

ถ้าหากว่าเป็นผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ แล้วพวกเขาเสี่ยงเวลาทะลวงเข้ามาทำอะไร

ต่อให้ได้รับวรยุทธ์ที่ถ่ายทอดเป็นการลับของที่นี่ เมื่อกลับไปโลกซ้อนโลกก็ไม่อาจใช้ต่อหน้าคนอื่นได้อยู่ดี

แต่ถ้าฉุกคิดให้ดีๆ ต่อให้แค่ศึกษาดูก็ยังมีประโยชน์มหาศาล ไม่แน่ว่าจะใช้เป็นท่าไม้ตาย เอาไว้โจมตีคนไม่ให้รับมือทัน

กระนั้นปัญหาก็อยู่ที่ว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างเร่งด่วนหรือสิ่งจำเป็น ไม่คุ้มกับชีวิตของสหายร่วมสำนักจำนวนมากขนาดนั้น!

สำหรับเนินต้นจักรพรรดิบนเขาลีลาหงส์แล้ว การสืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์เป็นเหมือนกับโครงไก่ ที่กินก็ไร้รสชาติ จะทิ้งไปก็เสียดาย

พวกจวงเจาฮุยสบตากัน รู้สึกกำลังใจที่ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นมาหายไปมากกว่าครึ่ง ความคับข้องสั่งสมกันจนยากทนทาน!