ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 215 หยิบกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลมและฟ้าร้องปั่นป่วน ความสยดสยองพาดผ่านอากาศ แม่น้ำสีแดงเกิดคลื่นโถม และคลื่นนับไม่ถ้วนก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าคล้ายกับหิมะ จากนั้นก็ตกลงมาปกคลุมอวี๋จิงสัตว์ร้ายที่น่ากลัว

เสียงกรีดร้องติดตามมาพร้อมกัน ทูตสวรรค์เซิ่งกวงตกลงสู่พื้นดิน โลหิตสีทองสาดกระจายไปทั่วทุกหนแห่งบนท้องฟ้า เกิดลายเส้นที่ชัดเจนมากขึ้นสองเส้น

แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสและทุกข์ทรมาน แต่เขาก็ยังคงสงบนิ่ง และต้องการค้นหาความหวังสุดท้ายในความสิ้นหวังนี้

ปีกทั้งสองข้างของเขาถูกนักพรตชุดเขียวหักลงอย่างไร้เยื่อใย สูญเสียไปซึ่งความเร็วที่ราวกับสายฟ้าฟาดอันน่าภาคภูมิใจที่สุด เขาจึงละทิ้งความพยายามในการโผบิน ตกลงมาสู่พื้นดิน ความเร็วที่ตกลงมาเร็วขึ้นทุกที โลหิตสีทองที่หลั่งรินออกมาจากร่างกายติดตามร่างเขามาไม่ทันอีกต่อไป อากาศที่ปะทะตัวเขาพลันเผาไหม้ขึ้นมาทันที กลายเป็นเปลวไฟสายหนึ่งขึ้นมา

เขากระแทกลงกับพื้นดินราวกับลูกอุกกาบาต

มีเพียงเท่านี้ เขาถึงจะรับประกันความเร็วของตนได้ว่าจะสลัดนักพรตชุดเขียวที่สงบนิ่งและน่ากลัวผู้นั้นทิ้งได้

เกิดเสียงดัง โครม ทูตสวรรค์เซิ่งกวงกระแทกเข้ากับชายหาดริมแม่น้ำบนชายฝั่งจนเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ขึ้น

แรงกระแทกอย่างมหาศาลไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายเขาเลย เขาลุกขึ้นยืนอย่างไม่ลังเล เตรียมหลบหนีไปทางอีกฝั่งของแม่น้ำ

เพราะสหายที่ระดับขั้นและความสามารถแข็งแกร่งกว่าผู้นั้นอยู่ภายในเทือกเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

หลังจากนั้น ขณะที่เขากำลังลุกขึ้นยืน อุกกาบาตอีกลูกหนึ่งก็ตกลงไปในโพรงขนาดใหญ่ที่ริมแม่น้ำ

จักรพรรดิขาวละจากหอทัศนะ ดำเนินลงสู่พื้นดินจากบนท้องฟ้า ปลายเท้าเหยียบลงบนหน้าอกของทูตสวรรค์เซิ่งกวง

เกิดเสียงแตกละเอียดมากมายดังขึ้น คล้ายกับก้อนหินก้อนหนึ่งที่ถูกก้อนหินที่ใหญ่กว่าแข็งแกร่งกว่าเหยียบเสียจนแตกสลาย

ร่างกายของทูตสวรรค์เซิ่งกวงกระตุกอยู่หลายที ของเหลวโลหิตที่เป็นสีทองนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากทางปากและจมูก หลังจากนั้นดวงตาก็ปิดลง สิ้นเสียแล้วทั้งอย่างนี้

จักรพรรดิขาวค่อยๆ ถอนเท้าออกมา

เขามองไปยังโลหิตสีทองที่อยู่บนใบหน้าของทูตสวรรค์เซิ่งกวง ราวกับกำลังครุ่นคิด

สายตาของเขามองต่ำลง ทอดมองร่างกายส่วนล่างของทูตสวรรค์เซิ่งกวง มองเห็นแค่ว่าที่ตรงนั้นสว่างบริสุทธิ์ ไม่มีลักษณะพิเศษอื่นใด

จักรพรรดิขาวตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงส่ายหน้า

ที่แท้ก็เป็นเพียงครึ่งคนครึ่งวิหคที่ไม่รู้ชายไม่รู้หญิงเท่านั้น

ทูตสวรรค์ที่ว่ากัน ก็เพียงแค่เท่านี้เอง

……

……

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่มีนามว่านู่หั่วสิ้นใจเสียแล้ว

ส่วนสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เขาเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเพียงนี้ ก็เพราะตอนที่เขาเห็นเงาแสงเสือสีขาวบนท้องฟ้านั่น ไม่ได้เลือกหลบหนีไปแต่กลับเลือกต่อกร

หากมองตามสถานการณ์ในขณะนั้นอย่างละเอียด การตัดสินใจและทางเลือกของเขาไม่ถือว่าผิด

ความสนใจของจักรพรรดิขาว ณ ขณะนั้น ต้องอยู่ที่มู่ฮูหยินผู้อยู่ด้านในเมฆแน่นอน ต่อให้เห็นว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่อยู่ด้านนอกบ้านจะถูกสังหารจนสิ้นใจ หรือแม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ในเมืองจะถูกไล่ล่าฆ่าฟันเสียจนสิ้น ก็ยังคงทำเพียงแบ่งจิตวิญญาณออกมาเพียงนิดเพื่อโจมตี ก็เหมือนในครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู จักรพรรดินีเทียนไห่อย่างนั้น

หากเขาสามารถต้านรับการปะทะของจิตวิญญาณจักรพรรดิขาวได้ ขอเพียงสามารถยื้อเวลาไปได้อีกสักหน่อย ทูตสวรรค์เซิ่งกวงอีกท่านก็จะสามารถสังหารเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงได้เป็นแน่ หลังจากนั้นก็หันกลับมาร่วมมือกับมู่ฮูหยินในการโจมตีจักรพรรดิขาว ถึงในตอนนั้นต่อให้จักรพรรดิขาวแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา

ปัญหาก็คือ พวกเขาคิดไม่ถึงว่านอกจากจักรพรรดิขาวแล้ว วันนี้ในเมืองแห่งนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้อย่างแท้จริงอีกท่านหนึ่ง

หลังจากมาถึงแล้ว พวกเขาจึงได้รับรู้และเข้าใจถึงผู้แข็งแกร่งในดินแดนนี้ รับรู้ว่ามีนักพรตผู้หนึ่งเก่งกาจยิ่งนัก

ในความคิดของพวกเขา นักพรตผู้นั้นไม่สามารถปรากฏตัวได้

แต่นักพรตผู้นั้นก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว

ดังนั้นเขาถึงสิ้นใจ

เรื่องราวทั้งหมดก็ง่ายดายอย่างนี้เอง

……

……

นักพรตชุดเขียวก็ร่อนลงบนริมแม่น้ำเช่นกัน

ลมแม่น้ำพัดผมสีดำของเขาพลิ้วไหว ชุดนักพรตสะบัดไหว ราวกับเทพเทวา

เพียงยื่นมือออกไปเบาๆ ก็สามารถปลิดเอาเอาปีกคู่นั้นของทูตสวรรค์ลงได้

นักพรตชุดเขียวเช่นนี้ มีเพียงผู้เดียวบนโลก

ซางสิงโจว

นักพรตวัยกลางคนที่อยู่ในวัดเก่าแก่เมืองซีหนิงในปีนั้น ในวันนี้ได้กลายมาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนแล้ว และก็เป็นผู้ปกครองของเผ่ามนุษย์เช่นกัน

ซางสิงโจวและจักรพรรดิขาวมีความหลังต่อกัน แต่พวกเขาไม่ได้รำลึกความหลังกัน เนื่องจากสถานการณ์รบยังไม่สิ้นสุด

พวกเขาต่างมองไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแดง

ในส่วนลึกของเทือกเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีต้นเทียนซู่กำลังสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ลมปราณเพลิงเถื่อนนั่นลอยล่องปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้า มีเจตจำนงกระบี่หลายสายปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว

……

……

มวลกระบี่เต็มฟ้า กระแสอัคคีหลายสาย

มือซ้ายของเฉินฉางเซิงถือเอาสร้อยข้อมือไข่มุกศิลาที่เกิดจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งห้าอยู่ แต่เขากลับยังคงไม่ได้โยนออกไป

สวีโหย่วหรงยืนอยู่เบื้องหลังเขา นางเริ่มง้างคันธนูแล้ว แต่ลูกศรยังอยู่บนคันธนู

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นรับรู้ได้ถึงการข่มขู่ แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากเข้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้แล้ว และสถานการณ์ทั้งหมดก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

เขาหลบหลีกเร้นกายอยู่ระหว่างต้นเทียนซู่ มองชายหญิงที่ยังวัยรุ่นคู่นั้นที่อยู่เบื้องหน้าต้นเทียนซู่ด้วยสายตาเฉยเมย

ทันใดนั้น เขาก็หยุดเคลื่อนไหว ยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่ค่อนข้างใหญ่บนต้นไม้เทียนซู่

เฉินฉางเซิงมิได้ยืมกระบี่ส่งศิลาออกไป สวีโหย่วหรงก็ไม่ได้ปล่อยลูกศร เนื่องจากพวกเขาก็เหมือนกับทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ ต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเช่นกัน

…เสียงกรีดร้องที่ดังก้องไปทั่วเมืองไป๋ตี้ ทำให้แม่น้ำแดงทั้งสายกรีดร้องอย่างสั่นสะเทือน

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงมองไปที่อีกด้านหนึ่งฝั่งตรงข้าม และทันใดนั้นความตกใจอันไม่มีที่สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาไร้อารมณ์ของเขา

เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสหายของเขาตายไปแล้ว และจากนั้นก็รู้สึกถึงลมปราณที่ทรงพลังมากสองสาย

ปีกสีขาวบริสุทธิ์กระพือเข้าไปในสายลมบ้าคลั่ง และเขาก็เตรียมตัวจากไปโดยไม่ลังเล

ในขณะที่เขาเตรียมตัวจะหลบหนีไปยังท้องฟ้าทางทิศเหนือ จู่ๆ ก็เกิดรอยแตกร้าวสายหนึ่งขึ้น

รอยแตกร้าวขยายตัวด้วยความเร็วที่ไม่อาจอธิบายได้ และในช่วงเวลาสั้นๆ มันขยายไปสิบกว่าลี้

รอยแตกร้าวในอากาศนั้นไม่ใช่หุบเหวไร้ก้น หรืออีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วน แต่เป็นเมืองเมืองหนึ่ง

เมืองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ

เมืองนั้นก็คือเมืองไป๋ตี้

นอกเมืองมีแม่น้ำอยู่หนึ่งสาย

ริมแม่น้ำมีชายหาด

บนชายหาดมีคนยืนอยู่หนึ่งคน

จักรพรรดิขาว

……

……

รอยแตกที่ปรากฏบนท้องฟ้าไม่ได้หายไป แต่มีมุมโลหะอันแหลมคมยื่นออกมาจากด้านล่างเล็กน้อย โดยมีลวดลายซับซ้อนและยากแกะสลักอยู่ด้านบน

เป็นมุมของโลหะชนิดนี้ที่กรีดทำลายช่องว่าง หลังจากนั้นจึงเชื่อมโยงเมืองไป๋ตี้ที่อยู่ด้านหลังกับที่นี่เข้าไว้ด้วยกันอย่างแปลกประหลาด

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงและเฉินฉางเซิงไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด สวีโหย่วหรงทราบดีเพราะในโรงเตี๊ยมนางเคยส่องคันฉ่องทองเหลืองบานนี้มาแล้วหลายครั้ง และคุ้นเคยกับลวดลายบนตัวมันมาก

ยังมีคนอีกผู้หนึ่งก็รู้เช่นกัน

“คันฉ่องเวหาหาว! ”

ในหมู่เมฆ ใบหน้าของมู่ฮูหยินซีดเซียว ขาวกว่าทะเลเมฆโดยรอบเสียอีกด้วยซ้ำ

เมื่อครู่นี้ หลังจากที่ซางสิงโจวปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ด้านหลังทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่ตายไป นางก็ทราบทันทีว่าตนพ่ายแพ้แล้ว

ไม่ว่าแผนของนางและคนชุดดำจะรอบคอบเพียงใด แต่สุดท้ายก็ยังคงล้มเหลว

แต่ในขณะนั้น นางไม่ทราบว่าซางสิงโจวจะเพิกเฉยต่อระยะทางแปดหมื่นลี้ และจู่ๆ ก็มาถึงเขตพระราชฐานจากเมืองหลวงได้อย่างไร

นางไม่พบคำตอบจนกระทั่งเศษคันฉ่องทองเหลืองกรีดทะลุท้องฟ้า

อำนาจของสำนักฝึกหลวงในตอนนี้ น่าจะอยู่ในมือของเฉินฉางเซิงเจ็ดส่วน เพราะเขาคือใต้เท้าสังฆราช

แต่รากฐานของสำนักฝึกหลวง กลับยังคงอยู่ในมือของซางสิงโจว

……

……

จักรพรรดิขาวไม่ได้เดินเข้าไปในช่องว่างนั้น

คันฉ่องเวหาหาวถูกทำลายแล้ว ชิ้นส่วนที่แตกสลายซึ่งกรีดเป็นช่องว่างมิติขึ้นมานั้นไม่มั่นคง จึงยากต้านทานลมปราณเผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้

และจนถึงขณะนี้ ความสนใจส่วนใหญ่ของเขายังคงอยู่ในก้อนเมฆ บนร่างของมู่ฮูหยิน

ไม่มีใครในโลกที่รู้จักฮูหยินของเขาดีไปกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง

แต่เขาก็เคลื่อนไหวแล้ว

ในครั้งนี้ สิ่งที่เขาเคลื่อนไหวยังคงเป็นจิตวิญญาณ

เงาแสงเสือสีขาวที่อยู่บนท้องฟ้าฉีกถึงทะเลเมฆทั้งหมดเสียสิ้น

จิตวิญญาณของเขาเดินเข้าไปด้านในแม่น้ำ ดำเนินเข้าไปในรอยแยกมิตินั่น ในอตนที่ออกมา ก็มาอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแล้ว

เสียงสวดมนต์ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา เปล่งออกมาจากริมฝีปากของทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นราวกับสายน้ำไหล

ลมปราณที่เคร่งขรึมหาใดเปรียบและเจตนาการรบที่ประสงค์จะเข่นฆ่า สื่อความหมายออกมาจากดวงตาเขา

เขายังคงยิ่งใหญ่นัก ถ้าหากจักรพรรดิขาวและซางสิงโจวใช้เพียงจิตวิญญาณในการโจมตี เขาก็คงสามารถหลบหนีไปได้

หอกยาวที่เกิดขึ้นจากเส้นแสงกรีดทะลุกิ่งก้านใบของต้นเทียนซู่และเมฆลม ทั้งยังแทงทะลุจิตวิญญาณของจักรพรรดิขาว

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นไม่หยุด คล้ายกับเปลวไฟที่มองไม่เห็น ซึ่งกำลังแผดเผาอย่างบ้าคลั่งอยู่ระหว่างหอกแสงและจิตวิญญาณของจักรพรรดิขาว

ภายในแสงสว่างจ้าจนแสบตาหาใดเปรียบ จิตวิญญาณของจักรพรรดิขาวค่อยๆ อ่อนจางลง

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงยังคงตื่นตัวและอยู่ไม่เป็นสุข เนื่องจากสีหน้าและอารมณ์ของจักรพรรดิขาวเรียบเฉยอย่างมาก

……

……

ชิ้นส่วนแตกหักของคันฉ่องเวหาหาวกรีดทะลุท้องฟ้า ภายในรอยแตกแยกสามารถมองเห็นชายหาดของแม่น้ำที่อยู่ด้านหลังได้ ในขณะนั้นบนชายหาดริมแม่น้ำมีเพียงจักรพรรดิขาวแค่คนเดียว

ตอนนี้บนชายหาดริมแม่น้ำก็ยังคงเหลือจักรพรรดิขาวแค่คนเดียว

เขามองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ เฝ้ามองไปยังฝั่งตะวันตกของทะเลเมฆ ไม่ได้ขยับเขยื้อน

ซางสิงโจวไม่ได้อยู่ข้างกายเขาแล้ว

แม่น้ำกำลังพลุ่งพล่าน ชุดนักพรตปลิวไหว เคลื่อนตัวตามสายลม

ซางสิงโจวมาด้วยตัวเอง

ชั่วพริบตาเดียว เขาก็ข้ามผ่านภูเขาแม่น้ำกว่าสิบลี้ ทิ้งร่องรอยเพียงเงาของเครื่องแบบนักพรตไว้บนท้องฟ้า

ท่ามกลางเทือกเขา ต้นไม้เทียนซู่กวัดแกว่ง มวลกระบี่เต็มท้องฟ้า

ซางสิงโจวเพิกเฉย ไม่ได้จ้องมอง และก็ไม่ได้เอ่ยความใดกับเฉินฉางเซิง มือขวาของเขายื่นออกไปยังมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า

ราวกับเด็ดดอกไม้ และคล้ายกับปลิดใบไม้ เขาหยิบกระบี่หนึ่งเล่มลงมาจากมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า