เฉินฉางเซิงทราบดีว่าอาจารย์ของตนนั้นคิดจะทำการใด แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่ห้ามปรามอาจารย์ของตนเป็นแน่
ต่อให้เขาคิดอยากจะห้ามปราม แต่ก็อาจจะทำไม่สำเร็จ
ซางสิงโจวกุมกระบี่เล่มนั้นเอาไว้
ลักษณะของกระบี่เล่มนั้นโบราณและธรรมดานัก หรือจะพูดได้ว่าค่อนข้างเก่าเลยทีเดียว เมื่ออยู่ท่ามกลางมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าช่างไม่สะดุดตายิ่งนัก
ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงที่นำกระบี่หมื่นกว่าเล่มกลับมาจากสระกระบี่ในสวนโจว ก็ไม่เคยสังเกตกระบี่เล่มนี้เลย
ต่อมาสำนักฝึกหลวงตัดสินใจนำกระบี่เหล่านี้มอบคืนแก่พรรคต่างๆ ในปีนั้น พระราชวังหลีได้มอบหมายให้อาจารย์ที่มีความรู้แก่กล้า ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มากมายรับผิดชอบในการจดบันทึกกระบี่เหล่านี้ แต่ยังคงไม่มีผู้ใดทราบที่มาของกระบี่เล่มนี้ แต่เพราะกระบี่เล่มนี้ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดใคร่จะสนใจ
เมื่อไม่ทราบที่มา แน่นอนว่าก็ไม่ทราบว่าควรจะส่งกลับไปยังที่แห่งใด กระบี่เล่มนี้จึงอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิงต่อมา ภายในการรบเหล่านั้นในตอนหลัง กระบี่เล่มนี้ก็เหมือนกับกระบี่เล่มอื่นๆ ที่คล้อยตามความรู้สึกนึกคิดของเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ด้านในค่ายกลกระบี่ และได้กลายเป็นหนึ่งหยดที่อยู่ด้านในมรสุมกระบี่นั่นเอง
และยังคงไม่สะดุดตาอยู่อย่างนั้น
ตราบจนกระทั่งวันนี้ ที่ซางสิงโจวกุมเอากระบี่นั้นไว้
หน้าผามืดครึ้มที่ปกคลุมไปด้วยกิ่งก้านและใบไม้ของต้นเทียนซู่ จู่ๆ ก็สว่างขึ้นทันที ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดวง
กระบี่เล่มนั้นสาดแสงสว่างจ้าแสบตาอย่างที่สุด
กระบี่เล่มนี้คือกระบี่สมาธิของนิกายพุทธ
นามของกระบี่เล่มนี้คือ กระบี่ยูไลไวโรจนะ
นิกายพุทธนั้นล่มสลายไปตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เต๋าหรือว่าบทบันทึกคติชนก็ล้วนไม่มีการบันทึกเอาไว้
ผู้ใดจะจดจำกระบี่เล่มนี้ได้เล่า
ในปัจจุบันนี้มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถจดจำที่มาของกระบี่เล่มนี้ได้
สองคนในนั้นในเวลานี้กำลังคุมเชิงอยู่ที่ทุ่งหิมะทางตอนเหนือของแคว้นเทียนจิง
มีเพียงซางสิงโจวที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้
เขามองเห็นกระบี่เล่มนี้ท่ามกลางเหล่ากระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า หลังจากนั้นจึงคว้ากระบี่เล่มนี้เอาไว้
นิกายพุทธนั้นฝึกปฏิบัติจิตใจ กระบี่สมาธินั้นก็รวบรวมจิตใจเช่นกัน
กระบี่ยูไลไวโรจนะที่กล่าวนั้น ก็คือถึงได้ด้วยปณิธาน เป็นกระบี่ที่เชื่อมโยงกับจิตใจโดยแท้
สิ่งที่วัดแห่งนั้นในเมืองซีหนิงฝึกปฏิบัติก็คือปณิธานแห่งจิตใจโดยแท้
อย่างที่สามารถจินตนาการได้ กระบี่เล่มนี้เมื่อตกอยู่ในมือของซางสิงโจว มันจะเกิดผลที่น่ากลัวเพียงใด
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ก็รับรู้ได้ถึงอันตราย เขาส่งเสียงคำรามลึกต่ำราวกับฟ้าผ่า อยากจะกระแทกจิตวิญญาณของจักรพรรดิขาวให้แหลก จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีต่อกร
เงาชุดนักพรตสีเขียวสายหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้า
นั่นคือชุดนักพรตของซางสิงโจว
จิตวิญญาณของจักรพรรดิขาวค่อยๆ กระจัดกระจายหายไป
โลหิตสีทองพุ่งออกมาจากทรวงอกของทูตสวรรค์เซิ่งกวง
เขาหลบกระบี่นี้ของซางสิงโจวไม่พ้น ร่างกายถูกแทงทะลุ
กระบี่นี้ไม่รู้ที่มา และมันก็ไม่ย้อนกลับไป
ผู้ใดจะหลบหลีกพ้นกันเล่า
……
……
เกิดความเงียบสงบท่ามกลางหน้าผา
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงก้มหน้ามองลงรูบนหน้าอกของตน สีหน้าเขาปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมา
โลหิตสีทองยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาพแปลกประหลาดมากมาย
พื้นดินที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีทอง จู่ๆ ก็เกิดต้นหญ้าสีเขียวขึ้นมากมาย หญ้าสีเขียวมากมายนั้นมาพร้อมกับบุปผาสีขาวศักดิ์สิทธิ์
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไม่ได้รู้สึกดีมากนัก แต่กลับรู้สึกหนาวเย็นในร่างกาย
เขาเห็นกระบี่เล่มนั้นแล้ว
กระบี่นี้น่ากลัวยิ่งนัก
อาจจะพูดได้ว่าซางสิงโจวน่ากลัวยิ่งนัก
กระบี่ของเขาลงมือทำทุกอย่างในสิ่งที่เขาประสงค์ ทำได้ถึงขั้นละมั่งแขวนเขา [1]
เชียว เจตนาฟ้าดินยากคาดเดาได้
กระบี่เช่นนี้ผู้ใดจักสามารถหลบหลีกได้เล่า
ต่อให้เฉินฉางเซิงและสวีโหย่งหรงใช้วิชาสองกระบี่ประสานพลัง เผชิญหน้ากับกระบี่อย่างนี้ ก็คงต้องตายเท่านั้น
พวกเขารับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บ แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เนื่องด้วยการสันนิษฐานข้อนี้ แต่เป็นเพราะตอนนี้ซางสิงโจวมองมาทางเฉินฉางเซิง
ใช่ ซางสิงโจวมิได้สนใจทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น แม้แต่มองสักครั้งก็ยังไม่ทำ
เขายกกระบี่กระบี่ยูไลไวโรจนะขึ้น มองมายังเฉินฉางเซิงนิ่งๆ
ผู้ใดก็ล้วนไม่ทราบว่าในเวลานี้เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาเตรียมตัวทำสิ่งใด
แต่ที่สามารถแน่ชัดได้ก็คือ ซางสิงโจวมองว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นไม่มีภัยคุกคามใดๆ ต่อตัวเขาได้อีก
แต่เมื่อมองออกไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแดง ภัยคุกคามที่เขาอยากจะกำจัดทิ้งที่สุดคือผู้ใดกัน
เรื่องเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา ได้เป็นที่ประจักษ์มาช้านาน
เกิดคลื่นน้ำมากมายขึ้นบนแม่น้ำแดงอันกว้างใหญ่
จักรพรรดิขาวไม่ได้ดำเนินมาที่นี่ แต่เขาถอนสายตาที่มองไปยังท้องฟ้าด้านตะวันตกกลับมา มองไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำด้วยสายตาลึกล้ำ
ดวงตาสีขาวโพลนของเขามองไปยังคนชั่วร้ายบางคน คล้ายกับพายุหิมะที่บ้าคลั่งที่สุดและหนาวเหน็บที่สุด
ซางสิงโจวไม่ได้มองไปยังเฉินฉางเซิงอีกแล้ว เขามองตามสายตานั้นกลับไป
กั้นไว้เพียงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว นักปราชญ์สองท่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนดินแดนแห่งนี้ในเวลานี้เอาแต่จ้องมองกันและกันอยู่อย่างนี้
ทันใดนั้นคลื่นน้ำก็หายไป สายลมมืดครึ้มก็กรีดร้อง เมฆและลมกำลังเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ค่อนข้างกะทันหันเกินไป
ก่อนหน้านี้ ซางสิงโจวเพิ่งจะร่วมมือกับจักรพรรดิขาวสังหารทูตสวรรค์เซิ่งกวงคนหนึ่งลงไป และทำร้ายอีกคนหนึ่งให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ต่อมา พวกเขาก็เริ่มหันมาคุมเชิงกัน
เพียงแค่เพราะว่าซางสิงโจวจดจ้องไปที่เฉินฉางเซิงหรือ
หรือเป็นเพราะเหตุผลที่ลึกล้ำกว่านั้น
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ขบคิดต่อไป
ถึงแม้ว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นจะถูกซางสิงโจวแทงทะลุในกระบี่เดียว ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ได้สูญเสียพลังในการรบ ไป
หากว่าเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตรอดออกไป ในอนาคตเมื่อเผ่ามนุษย์บุกขึ้นทิศเหนือปราบปรามเผ่ามาร จะต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมากผู้หนึ่งแน่นอน
หรือไม่ก็ในเวลาต่อมากระบี่ของซางสิงโจวจะแทงทะลุหน้าอกของเขา เขาต้องหยุดยั้งสิ่งเกิดทั้งหมดนี้เอาไว้
ทว่า สวีโหย่วหรงรั้งแขนเสื้อของเขาเอาไว้
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงพลันกระพือปีก กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
เฉินฉางเซิงทราบได้ทันทีว่าทุกอย่างสายเกินไปแล้ว
ซางสิงโจวและจักรพรรดิขาวยังคงคุมเชิงกันอยู่
ในที่นั่นคนเดียวที่สามารถติดตามทูตสวรรค์เซิ่งกวงไปได้ก็คือสวีโหย่วหรง
ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของนาง
คำถามก็คือ หากว่านางจากไป เฉินฉางเซิงจะทำเยี่ยงไรเล่า
ต่อให้เป็นวิชาสองกระบี่ประสานพลัง พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซางสิงโจว แต่ก็ยังดีกว่าต่างคนต่างสู้มาก
เฉินฉางเซิงมองไปยังสวีโหย่วหรง ก่อนเอ่ย “จักรพรรดิขาวไม่ปล่อยให้ข้าตายแน่”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้าก็เช่นกัน”
ซางสิงโจวมองไปยังจักรพรรดิขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเขาปรากฏออกมาซึ่งรอยยิ้มที่ยากจะจับต้องได้ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นประโยคว่า
“จูซา สังหารเขาเสีย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของจักรพรรดิขาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงตกตะลึงมาก
หญิงสาวชุดดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากในโพรงต้นเทียนซู่
โซ่ตรวนที่เชื่อมนางเอาไว้กับหน้าผาแห่งนี้ ไม่รู้ว่าถูกปลดออกเมื่อไหร่กัน
ตอนนี้เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้านี้จึงรู้สึกว่าหน้าผาแห่งนี้คุ้นตายิ่งนัก
เขามองไปยังสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงยกยิ้ม
ดังนั้นเขาก็เข้าใจได้ถึงหลายๆ เรื่องราว
เหตุใดก่อนหน้านี้เมื่อคราวที่ถูกทูตสวรรค์เซิ่งกวงไล่ล่าจนตกอับ นางยังสามารถสงบนิ่งได้อย่างนี้
เหตุใดก่อนหน้านางเอ่ยกับตนว่า อย่างน้อยก็ควรจะบอกกล่าวแผนนี้กับใครบางคนเสียก่อน
หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจในสถานการณ์ในตอนนี้ทันที
ซางสิงโจววางแผนนี้ไว้ ด้วยต้องการสังหารทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น
เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ จักรพรรดิขาวสุดท้ายแล้วไม่ประสงค์ให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ถูกสังหาร
แน่นอนว่า เขาก็ไม่ประสงค์ให้เฉินฉางเซิงตายเช่นกัน
ดังนั้นซางสิงโจวและจักรพรรดิขาวที่จากพันธมิตรจึงแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู
แต่ที่จักรพรรดิขาวที่คิดไม่ถึงก็คือ ซางสิงโจวได้ตระเตรียมคนที่จะส่งทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นเดินทางไกลเอาไว้แล้ว
ส่วนที่ว่า…ซางสิงโจวอยากจะสังหารเขาหรือไม่
คำถามนี้ไม่คิดก็รู้
มังกรดำมองมาทางเฉินฉางเซิง
ถึงแม้ว่าซางสิงโจวจะเคยช่วยชีวิตนางไว้ แต่นางยังคงรับฟังแต่คำพูดของเฉินฉางเซิง
เนื่องจากนางคือผู้พิทักษ์ของเขา
ซางสิงโจวมิได้เอ่ยคำใด ดูสงบนิ่งยิ่งนัก
เนื่องจากเขารู้จักลูกศิษย์ของตัวเองดี รู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้เฉินฉางเซิงจะเลือกอะไร
เฉินฉางเซิงมิได้ลังเล เอ่ยว่า “ไปเถิด”
เสียงลมกรีดร้อง ใบไม้โบกปลิว เงาร่างของหญิงสาวชุดดำหายตัวไปแล้ว
บนชั้นเมฆที่อยู่สูงขึ้นไป ทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นอ้อมผ่านรอยแยกที่เปิดออกโดยคันฉ่องเวหาหาว หมุนตัวบินขึ้นไปทางทิศเหนือ
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเทือกเขาสีดำที่ทอดตัวยาวออกไปสิบกว่าลี้
คล้ายกับเทือกเขาลั่วซิงจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาสู่ท้องฟ้าจากพื้นดิน
——
[1] มาจากสำนวน ละมั่งแขวนเขา ไปมาไร้ร่องรอย (羚羊挂角无迹可寻) มีที่มาจาก ละมั่งยามตกกลางคืนจะนอนหลับด้วยการแขวนเขาไว้บนต้นไม้ เท้าไม่เหยียบพื้น เพื่อป้องกันตนจากอันตราย