ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 216 มาเยี่ยมอาจารย์ที่นี่ได้อย่างไร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงทราบดีว่าอาจารย์ของตนนั้นคิดจะทำการใด แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่ห้ามปรามอาจารย์ของตนเป็นแน่

ต่อให้เขาคิดอยากจะห้ามปราม แต่ก็อาจจะทำไม่สำเร็จ

ซางสิงโจวกุมกระบี่เล่มนั้นเอาไว้

ลักษณะของกระบี่เล่มนั้นโบราณและธรรมดานัก หรือจะพูดได้ว่าค่อนข้างเก่าเลยทีเดียว เมื่ออยู่ท่ามกลางมวลกระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้าช่างไม่สะดุดตายิ่งนัก

ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงที่นำกระบี่หมื่นกว่าเล่มกลับมาจากสระกระบี่ในสวนโจว ก็ไม่เคยสังเกตกระบี่เล่มนี้เลย

ต่อมาสำนักฝึกหลวงตัดสินใจนำกระบี่เหล่านี้มอบคืนแก่พรรคต่างๆ ในปีนั้น พระราชวังหลีได้มอบหมายให้อาจารย์ที่มีความรู้แก่กล้า ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มากมายรับผิดชอบในการจดบันทึกกระบี่เหล่านี้ แต่ยังคงไม่มีผู้ใดทราบที่มาของกระบี่เล่มนี้ แต่เพราะกระบี่เล่มนี้ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดใคร่จะสนใจ

เมื่อไม่ทราบที่มา แน่นอนว่าก็ไม่ทราบว่าควรจะส่งกลับไปยังที่แห่งใด กระบี่เล่มนี้จึงอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิงต่อมา ภายในการรบเหล่านั้นในตอนหลัง กระบี่เล่มนี้ก็เหมือนกับกระบี่เล่มอื่นๆ ที่คล้อยตามความรู้สึกนึกคิดของเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ด้านในค่ายกลกระบี่ และได้กลายเป็นหนึ่งหยดที่อยู่ด้านในมรสุมกระบี่นั่นเอง

และยังคงไม่สะดุดตาอยู่อย่างนั้น

ตราบจนกระทั่งวันนี้ ที่ซางสิงโจวกุมเอากระบี่นั้นไว้

หน้าผามืดครึ้มที่ปกคลุมไปด้วยกิ่งก้านและใบไม้ของต้นเทียนซู่ จู่ๆ ก็สว่างขึ้นทันที ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดวง

กระบี่เล่มนั้นสาดแสงสว่างจ้าแสบตาอย่างที่สุด

กระบี่เล่มนี้คือกระบี่สมาธิของนิกายพุทธ

นามของกระบี่เล่มนี้คือ กระบี่ยูไลไวโรจนะ

นิกายพุทธนั้นล่มสลายไปตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เต๋าหรือว่าบทบันทึกคติชนก็ล้วนไม่มีการบันทึกเอาไว้

ผู้ใดจะจดจำกระบี่เล่มนี้ได้เล่า

ในปัจจุบันนี้มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถจดจำที่มาของกระบี่เล่มนี้ได้

สองคนในนั้นในเวลานี้กำลังคุมเชิงอยู่ที่ทุ่งหิมะทางตอนเหนือของแคว้นเทียนจิง

มีเพียงซางสิงโจวที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้

เขามองเห็นกระบี่เล่มนี้ท่ามกลางเหล่ากระบี่ที่อยู่เต็มท้องฟ้า หลังจากนั้นจึงคว้ากระบี่เล่มนี้เอาไว้

นิกายพุทธนั้นฝึกปฏิบัติจิตใจ กระบี่สมาธินั้นก็รวบรวมจิตใจเช่นกัน

กระบี่ยูไลไวโรจนะที่กล่าวนั้น ก็คือถึงได้ด้วยปณิธาน เป็นกระบี่ที่เชื่อมโยงกับจิตใจโดยแท้

สิ่งที่วัดแห่งนั้นในเมืองซีหนิงฝึกปฏิบัติก็คือปณิธานแห่งจิตใจโดยแท้

อย่างที่สามารถจินตนาการได้ กระบี่เล่มนี้เมื่อตกอยู่ในมือของซางสิงโจว มันจะเกิดผลที่น่ากลัวเพียงใด

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ก็รับรู้ได้ถึงอันตราย เขาส่งเสียงคำรามลึกต่ำราวกับฟ้าผ่า อยากจะกระแทกจิตวิญญาณของจักรพรรดิขาวให้แหลก จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีต่อกร

เงาชุดนักพรตสีเขียวสายหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้า

นั่นคือชุดนักพรตของซางสิงโจว

จิตวิญญาณของจักรพรรดิขาวค่อยๆ กระจัดกระจายหายไป

โลหิตสีทองพุ่งออกมาจากทรวงอกของทูตสวรรค์เซิ่งกวง

เขาหลบกระบี่นี้ของซางสิงโจวไม่พ้น ร่างกายถูกแทงทะลุ

กระบี่นี้ไม่รู้ที่มา และมันก็ไม่ย้อนกลับไป

ผู้ใดจะหลบหลีกพ้นกันเล่า

……

……

เกิดความเงียบสงบท่ามกลางหน้าผา

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงก้มหน้ามองลงรูบนหน้าอกของตน สีหน้าเขาปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมา

โลหิตสีทองยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาพแปลกประหลาดมากมาย

พื้นดินที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีทอง จู่ๆ ก็เกิดต้นหญ้าสีเขียวขึ้นมากมาย หญ้าสีเขียวมากมายนั้นมาพร้อมกับบุปผาสีขาวศักดิ์สิทธิ์

เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไม่ได้รู้สึกดีมากนัก แต่กลับรู้สึกหนาวเย็นในร่างกาย

เขาเห็นกระบี่เล่มนั้นแล้ว

กระบี่นี้น่ากลัวยิ่งนัก

อาจจะพูดได้ว่าซางสิงโจวน่ากลัวยิ่งนัก

กระบี่ของเขาลงมือทำทุกอย่างในสิ่งที่เขาประสงค์ ทำได้ถึงขั้นละมั่งแขวนเขา [1]

เชียว เจตนาฟ้าดินยากคาดเดาได้

กระบี่เช่นนี้ผู้ใดจักสามารถหลบหลีกได้เล่า

ต่อให้เฉินฉางเซิงและสวีโหย่งหรงใช้วิชาสองกระบี่ประสานพลัง เผชิญหน้ากับกระบี่อย่างนี้ ก็คงต้องตายเท่านั้น

พวกเขารับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บ แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เนื่องด้วยการสันนิษฐานข้อนี้ แต่เป็นเพราะตอนนี้ซางสิงโจวมองมาทางเฉินฉางเซิง

ใช่ ซางสิงโจวมิได้สนใจทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น แม้แต่มองสักครั้งก็ยังไม่ทำ

เขายกกระบี่กระบี่ยูไลไวโรจนะขึ้น มองมายังเฉินฉางเซิงนิ่งๆ

ผู้ใดก็ล้วนไม่ทราบว่าในเวลานี้เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาเตรียมตัวทำสิ่งใด

แต่ที่สามารถแน่ชัดได้ก็คือ ซางสิงโจวมองว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นไม่มีภัยคุกคามใดๆ ต่อตัวเขาได้อีก

แต่เมื่อมองออกไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแดง ภัยคุกคามที่เขาอยากจะกำจัดทิ้งที่สุดคือผู้ใดกัน

เรื่องเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา ได้เป็นที่ประจักษ์มาช้านาน

เกิดคลื่นน้ำมากมายขึ้นบนแม่น้ำแดงอันกว้างใหญ่

จักรพรรดิขาวไม่ได้ดำเนินมาที่นี่ แต่เขาถอนสายตาที่มองไปยังท้องฟ้าด้านตะวันตกกลับมา มองไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำด้วยสายตาลึกล้ำ

ดวงตาสีขาวโพลนของเขามองไปยังคนชั่วร้ายบางคน คล้ายกับพายุหิมะที่บ้าคลั่งที่สุดและหนาวเหน็บที่สุด

ซางสิงโจวไม่ได้มองไปยังเฉินฉางเซิงอีกแล้ว เขามองตามสายตานั้นกลับไป

กั้นไว้เพียงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว นักปราชญ์สองท่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนดินแดนแห่งนี้ในเวลานี้เอาแต่จ้องมองกันและกันอยู่อย่างนี้

ทันใดนั้นคลื่นน้ำก็หายไป สายลมมืดครึ้มก็กรีดร้อง เมฆและลมกำลังเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ค่อนข้างกะทันหันเกินไป

ก่อนหน้านี้ ซางสิงโจวเพิ่งจะร่วมมือกับจักรพรรดิขาวสังหารทูตสวรรค์เซิ่งกวงคนหนึ่งลงไป และทำร้ายอีกคนหนึ่งให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ต่อมา พวกเขาก็เริ่มหันมาคุมเชิงกัน

เพียงแค่เพราะว่าซางสิงโจวจดจ้องไปที่เฉินฉางเซิงหรือ

หรือเป็นเพราะเหตุผลที่ลึกล้ำกว่านั้น

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ขบคิดต่อไป

ถึงแม้ว่าทูตสวรรค์เซิ่งกวงท่านนั้นจะถูกซางสิงโจวแทงทะลุในกระบี่เดียว ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ได้สูญเสียพลังในการรบ ไป

หากว่าเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตรอดออกไป ในอนาคตเมื่อเผ่ามนุษย์บุกขึ้นทิศเหนือปราบปรามเผ่ามาร จะต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมากผู้หนึ่งแน่นอน

หรือไม่ก็ในเวลาต่อมากระบี่ของซางสิงโจวจะแทงทะลุหน้าอกของเขา เขาต้องหยุดยั้งสิ่งเกิดทั้งหมดนี้เอาไว้

ทว่า สวีโหย่วหรงรั้งแขนเสื้อของเขาเอาไว้

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงพลันกระพือปีก กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

เฉินฉางเซิงทราบได้ทันทีว่าทุกอย่างสายเกินไปแล้ว

ซางสิงโจวและจักรพรรดิขาวยังคงคุมเชิงกันอยู่

ในที่นั่นคนเดียวที่สามารถติดตามทูตสวรรค์เซิ่งกวงไปได้ก็คือสวีโหย่วหรง

ทูตสวรรค์เซิ่งกวงได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของนาง

คำถามก็คือ หากว่านางจากไป เฉินฉางเซิงจะทำเยี่ยงไรเล่า

ต่อให้เป็นวิชาสองกระบี่ประสานพลัง พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซางสิงโจว แต่ก็ยังดีกว่าต่างคนต่างสู้มาก

เฉินฉางเซิงมองไปยังสวีโหย่วหรง ก่อนเอ่ย “จักรพรรดิขาวไม่ปล่อยให้ข้าตายแน่”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “ข้าก็เช่นกัน”

ซางสิงโจวมองไปยังจักรพรรดิขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเขาปรากฏออกมาซึ่งรอยยิ้มที่ยากจะจับต้องได้ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นประโยคว่า

“จูซา สังหารเขาเสีย”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของจักรพรรดิขาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงตกตะลึงมาก

หญิงสาวชุดดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากในโพรงต้นเทียนซู่

โซ่ตรวนที่เชื่อมนางเอาไว้กับหน้าผาแห่งนี้ ไม่รู้ว่าถูกปลดออกเมื่อไหร่กัน

ตอนนี้เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้านี้จึงรู้สึกว่าหน้าผาแห่งนี้คุ้นตายิ่งนัก

เขามองไปยังสวีโหย่วหรง

สวีโหย่วหรงยกยิ้ม

ดังนั้นเขาก็เข้าใจได้ถึงหลายๆ เรื่องราว

เหตุใดก่อนหน้านี้เมื่อคราวที่ถูกทูตสวรรค์เซิ่งกวงไล่ล่าจนตกอับ นางยังสามารถสงบนิ่งได้อย่างนี้

เหตุใดก่อนหน้านางเอ่ยกับตนว่า อย่างน้อยก็ควรจะบอกกล่าวแผนนี้กับใครบางคนเสียก่อน

หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจในสถานการณ์ในตอนนี้ทันที

ซางสิงโจววางแผนนี้ไว้ ด้วยต้องการสังหารทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้น

เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ จักรพรรดิขาวสุดท้ายแล้วไม่ประสงค์ให้ทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นี้ถูกสังหาร

แน่นอนว่า เขาก็ไม่ประสงค์ให้เฉินฉางเซิงตายเช่นกัน

ดังนั้นซางสิงโจวและจักรพรรดิขาวที่จากพันธมิตรจึงแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู

แต่ที่จักรพรรดิขาวที่คิดไม่ถึงก็คือ ซางสิงโจวได้ตระเตรียมคนที่จะส่งทูตสวรรค์เซิ่งกวงผู้นั้นเดินทางไกลเอาไว้แล้ว

ส่วนที่ว่า…ซางสิงโจวอยากจะสังหารเขาหรือไม่

คำถามนี้ไม่คิดก็รู้

มังกรดำมองมาทางเฉินฉางเซิง

ถึงแม้ว่าซางสิงโจวจะเคยช่วยชีวิตนางไว้ แต่นางยังคงรับฟังแต่คำพูดของเฉินฉางเซิง

เนื่องจากนางคือผู้พิทักษ์ของเขา

ซางสิงโจวมิได้เอ่ยคำใด ดูสงบนิ่งยิ่งนัก

เนื่องจากเขารู้จักลูกศิษย์ของตัวเองดี รู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้เฉินฉางเซิงจะเลือกอะไร

เฉินฉางเซิงมิได้ลังเล เอ่ยว่า “ไปเถิด”

เสียงลมกรีดร้อง ใบไม้โบกปลิว เงาร่างของหญิงสาวชุดดำหายตัวไปแล้ว

บนชั้นเมฆที่อยู่สูงขึ้นไป ทูตสวรรค์เซิ่งกวงที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นอ้อมผ่านรอยแยกที่เปิดออกโดยคันฉ่องเวหาหาว หมุนตัวบินขึ้นไปทางทิศเหนือ

ทันใดนั้น เขาก็เห็นเทือกเขาสีดำที่ทอดตัวยาวออกไปสิบกว่าลี้

คล้ายกับเทือกเขาลั่วซิงจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาสู่ท้องฟ้าจากพื้นดิน

——

[1] มาจากสำนวน ละมั่งแขวนเขา ไปมาไร้ร่องรอย (羚羊挂角无迹可寻) มีที่มาจาก ละมั่งยามตกกลางคืนจะนอนหลับด้วยการแขวนเขาไว้บนต้นไม้ เท้าไม่เหยียบพื้น เพื่อป้องกันตนจากอันตราย