ณ โลกภายนอก เฟยอวิ๋นจัดแจงให้ทุกคนควบคุมสถานการณ์และสมาชิกของตระกูลหมิงไว้แล้ว
เมื่อตระหนักว่าผู้นำของตนไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป แน่นอนว่าคนตระกูลหมิงก็ไม่กล้าโต้แย้งสิ่งใดและทำได้เพียงยืนรวมกันเงียบ ๆ ในมุมหนึ่ง
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ฉินอวี้โม่ก็ก้าวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวโดยมีร่างจิตวิญญาณของหมิงจื้อเหยี่ยนอยู่ในกำมือ
“ท่านผู้นำ…”
เมื่อคนของตระกูลหมิงเห็นหมิงจื้อเหยี่ยนที่กลายเป็นเพียงร่างจิตขนาดเล็กในมือของศัตรู สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาทำได้เพียงส่งเสียงเรียกออกไปทว่ายังไม่กล้าทำสิ่งใดด้วยกังวลว่าฉินอวี้โม่อาจไม่พอใจและทำลายจิตวิญญาณของหมิงจื้อเหยี่ยนขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อีก
“พาคนของตระกูลหมิงไปที่เมืองเซิ่งหลิงกับพวกเราก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่สั่งการทันที เวลานี้ หมิงจื้อเหยี่ยนอยู่ภายใต้การควบคุมของนางแล้วและไม่มีใครอื่นที่จะมาสร้างปัญหาได้อีก ถือว่าวิกฤตของดินแดนในครานี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว
“พวกเจ้าทุกคนจงเชื่อฟังคำสั่งของท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่”
หมิงจื้อเหยี่ยนพยักศีรษะให้กับคนเหล่านั้นพลางกล่าวยืนยันให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของฉินอวี้โม่โดยที่ห้ามคิดคัดค้าน
ต่อให้หมิงจื้อเหยี่ยนไม่กล่าวเช่นนี้ คนตระกูลหมิงก็ไม่คิดที่จะขัดคำสั่ง หากไม่มีหมิงจื้อเหยี่ยนอยู่ด้วย พวกเขาก็จะมิใช่คู่มือของเฟยอวิ๋นและฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน หากคิดโต้กลับในตอนนี้ มันจะกลายเป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้กับตนเองเท่านั้น เพราะฉะนั้น การเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดีเพื่อให้ตนเองเผชิญกับความสูญเสียที่ลดน้อยลงจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ศิษย์พี่ ท่านจัดการเรื่องของเมืองเซิ่งหลิงเถิด ข้ามีเรื่องจะถามเขาสักหน่อย”
หลังจากกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เฟยอวิ๋นก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากและตามนางเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อหาคำตอบเช่นกัน
ภายในคฤหาสน์ล่องหน ฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นนั่งลงอย่างสบาย ๆ ในขณะที่จิตวิญญาณของหมิงจื้อเหยี่ยนลอยอยู่กลางอากาศและมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
หากทราบมาก่อนว่าแผนการของตระกูลหมิงจะล้มเหลว เขาจะไม่มีทางลงมืออย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้แน่ ครานี้ถือว่าตระกูลหมิงของเขาเสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึกอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ผู้นำตระกูลเช่นเขาจะสูญเสียตำแหน่งไปเท่านั้น ทว่าเขายังต้องจำนนต่อฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดใจอย่างที่สุด
* 了夫人又折兵 เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก ความหมายคือ การสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว
“หมิงจื้อเหยี่ยน เหตุใดบรรพบุรุษของตระกูลหมิงจึงคิดโจมตีเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยที่สุดออกไป เรื่องที่บรรพบุรุษของตระกูลหมิงตัดสินใจโจมตีเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในอดีต นางมิอาจทำความเข้าใจได้เลย
ในเมื่อการเป็นแม้เพียงศิษย์ทั่วไปของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังดีกว่าการเป็นผู้นำของตระกูลหมิง แล้วเหตุใดบรรพบุรุษของตระกูลหมิงจึงคิดกบฏและทำลายขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่นั้นไป ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังสร้างขุมกำลังเล็ก ๆ ที่ไร้ซึ่งพลังอย่างตระกูลหมิงขึ้นมา ?
“เหอะ เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรมีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก ตระกูลหมิงของเราเพียงทำตามเจตจำนงของเบื้องบนเท่านั้น มันมิใช่เรื่องที่ผิด”
หมิงจื้อเหยี่ยนแค่นเสียงเย็นชา เขาพอจะทราบเรื่องราวในอดีตอยู่บ้าง
เป็นที่ทราบกันทั่วว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงเป็นผู้ที่ทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป ทว่าโลกภายนอกไม่ทราบเลยว่าตระกูลหมิงของพวกเขาเพียงทำตามเจตจำนงของเบื้องบนเท่านั้น
“เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้นมิได้สวยหรูเช่นที่เห็นภายนอกหรอก ในอดีตตอนนั้น สมาชิกในเผ่าถูกครอบงำโดยผลประโยชน์ที่ไม่ถูกไม่ควร ทุกคนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและสนใจเพียงผลประโยชน์ของตนเอง ผู้นำสูงสุดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เคยกล่าวไว้ว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนั้นต่อไป เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะล่มสลายในที่สุด น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจแม้แต่น้อย”
หมิงจื้อเหยี่ยนเล่าทุกอย่างที่เขาทราบ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรือว่าสิ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจทรยศเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษตระกูลหมิง เขาไม่ได้ปิดบังสิ่งใดแม้แต่น้อย
แม้จะกล่าวว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงเห็นแก่ตัวหรือมีจิตใจที่ชั่วร้าย ทว่าในครานั้น หากมิใช่เพราะการกระทำของเขา บางทีโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะสูญสลายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“แรกเริ่มเดิมที เมื่อคนของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เริ่มหลงระเริงไปในความโลภ พวกเขาก็คิดว่าตนเองไม่ควรจะถูกจำกัดอยู่เพียงในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เล็ก ๆ แห่งนี้ ทว่าควรจะปกครองดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะเหตุนั้นหลายคนจึงต้องการไปจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ถือเป็นเผ่าต้องสาปมาตั้งแต่ต้น เมื่อมีบางคนที่ต้องการออกไป ทั้งเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะล่มสลายลงและจะไม่เหลือเชื้อสายสืบทอดของเผ่านี้อีกแม้แต่คนเดียว เมื่อถึงคราวหมดหนทาง บรรพบุรุษของข้าจึงตัดสินใจทำเช่นนั้น”
หมิงจื้อเหยี่ยนกล่าวด้วยท่าทางโอ้อวดและภาคภูมิใจ ราวกับว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงทำเพื่อผลประโยชน์ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
“หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดบรรพบุรุษของตระกูลหมิงจึงต้องทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดด้วยล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล หากเป็นเพียงเหตุผลนั้นเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำลายทั่วทั้งเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องตายไป
“แน่นอนว่ามิใช่เป็นเพียงเพราะเหตุผลนั้น ในอดีต บรรพบุรุษของตระกูลหมิงเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ ที่ถูกคนของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กดขี่รังแกอยู่เสมอ คนพวกนั้นอ้างว่าเป็นบุคคลสำคัญของเผ่าจึงสามารถกดขี่ข่มเหงผู้คนเช่นบรรพบุรุษของพวกเราได้ ในขุมกำลังที่เต็มไปด้วยคนเหล่านั้น บรรพบุรุษของเราไม่เห็นความหวังใดแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการทำลายล้างขุมกำลังนั้นไปและเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
หมิงจื้อเหยี่ยนไม่คิดว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงทำผิดแม้แต่น้อย หากเป็นตัวเขา เขาเองก็คงจะตัดสินใจเลือกในสิ่งเดียวกัน
หากมีโอกาสทำลายล้างขุมกำลังที่กดขี่ข่มเหงตนมาเสมอ เขาไม่มีทางพลาดโอกาสนั้นอย่างแน่นอน
“บรรพบุรุษของตระกูลหมิงเก่งกล้าสามารถเหลือเกิน !”
ฉินอวี้โม่ยังมีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่หมิงจื้อเหยี่ยนกล่าวมา ในเมื่อเขากล่าวว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้ความสำคัญ แล้วเขาใช้พลังอันน้อยนิดของตนเพื่อโค่นล้มขุมกำลังที่ใหญ่ที่สุดเช่นเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร…
“หมิงจื้อเหยี่ยน ยังมีอะไรที่เจ้าไม่บอกข้าอีก ในตอนนั้นจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างกับเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แน่ หรือว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงร่วมมือกับผู้ใดเพื่อทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ?”
นางเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาและไม่คิดที่จะเสียเวลาพูดจาไร้สาระอีกต่อไป
หากไม่มีผู้ใดร่วมมือ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่บรรพบุรุษของตระกูลหมิงจะทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองเพียงลำพังได้
ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงร่วมมือกับขุมกำลังใด พวกเขามีความชิงชังและความเคียดแค้นมากเพียงใดกัน ไม่คาดคิดว่าจะตัดสินใจทำสิ่งที่โหดร้ายถึงเพียงนั้น…
“ฉลาดดีนี่”
หมิงจื้อเหยี่ยนคิดไม่ถึงว่าฉินอวี้โม่จะคาดเดาได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเขาไม่ต้องการกล่าวออกไป อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่จะต้องเผชิญหากปิดบังความจริง เขาจึงตัดสินใจกล่าวออกไปในที่สุด
“แรกเริ่มเดิมที ใครคนหนึ่งมาพบกับบรรพบุรุษของเราและมอบโอสถชุดหนึ่งให้กับเขา ข้าไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใดและไม่ทราบว่าจะตามหาคนผู้นั้นได้อย่างไร เพียงแต่บรรพบุรุษของข้ากล่าวว่ามันมีบทบาทที่สำคัญมาก คนของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สูญเสียพลังในการต่อสู้ภายใต้อิทธิพลของโอสถนั้น และหลายคนถึงกับเสียชีวิตไปโดยตรง”
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่หมิงจื้อเหยี่ยนได้ยินมาจากบรรพบุรุษของตระกูลหมิงและไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขายืนยันได้เพียงว่าทุกอย่างที่เขากล่าวออกไปนั้นเป็นความจริง
เขาเชื่อว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงไม่มีความผิด ทว่าสาเหตุที่เขาเปิดเผยเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเขาพ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่และต้องยอมจำนนต่ออีกฝ่ายเท่านั้น ดังสำนวนที่ว่าชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
“แล้วเหตุใดสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงหายสาบสูญไป ?”
ในเมื่อมีผู้ที่รอดชีวิตในตอนนั้น พวกเขาเหล่านั้นก็ควรจะปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ตามปกติ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้เลย