เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ แม้แต่หมิงจื้อเหยี่ยนก็ชะงักไปทันที เขาไม่เคยได้ยินบรรพบุรุษกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อนและไม่เคยตั้งคำถามเช่นกัน
สายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ควรจะถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อบรรพบุรุษของตระกูลหมิงร่วมมือกับบุคคลลึกลับเพื่อทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาคิดว่าตราบใดที่ทายาทของตระกูลหมิงสืบทอดสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ในไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะสามารถสานต่อเจตนารมณ์ของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสร้างความรุ่งโรจน์กลับคืนมาได้
อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อสมาชิกของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดับสิ้นไป สายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อย ๆ หายสาบสูญไปเช่นกัน ในตระกูลหมิง มีเพียงหมิงจื้อเหยี่ยนเท่านั้นที่มีสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ในร่าง ส่วนคนอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป
แม้ในทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เขาทราบว่ามีเพียงเฟยอวิ๋นและหนึ่งในตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่ทำสำเร็จ
“บรรพบุรุษของเราไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้…”
หมิงจื้อเหยี่ยนกล่าวด้วยความประหลาดใจ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อบรรพบุรุษของตระกูลหมิงร่วมมือกับบุคคลลึกลับนั้น คาดว่าบุคคลผู้นั้นคงจะไม่ได้ชี้แจงกับบรรพบุรุษของตระกูลหมิงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น
หากไม่สามารถสืบสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อีก ต่อให้ตระกูลหมิงได้ปกครองโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่ต่างจากตัวตลกเท่านั้น
“เหอะ เกรงว่าบรรพบุรุษของตระกูลหมิงคงจะถูกหลอกใช้เสียแล้ว”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย้ยหยันและเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น
เป็นเพราะขุมกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องการทำลายพวกเขาเสีย และบรรพบุรุษของตระกูลหมิงก็มีความคิดที่ไม่ควรผุดขึ้นมา เขาจึงร่วมมือกับคนผู้นั้นเพื่อทำลายล้างเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นและนำมาสู่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้…
“เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นเป็นศัตรูกับเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าก่อนหน้านั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแน่ บรรพบุรุษของตระกูลหมิงคงจะโลภมากและโหยหาในผลประโยชน์มากเกินไป เกรงว่าเขาคงจะไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนและหลงกลไปร่วมมือกับคนผู้นั้น”
เมื่อคนผู้นั้นตัดสินใจโค่นทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนการบางอย่างซ่อนไว้อย่างแน่นอน เกรงว่าเขาคงจะเล็งเป้าหมายไปที่บรรพบุรุษของตระกูลหมิงไว้ตั้งแต่ต้นแล้วและเพียงรอให้สถานการณ์เป็นใจเท่านั้น
“จริงหรือ ?”
หมิงจื้อเหยี่ยนในตอนนี้นึกสับสนขึ้นมา สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมาถือว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียว จู่ ๆ คนผู้นั้นก็ปรากฏตัวมาตรงเวลาพอดิบพอดีเพื่อร่วมมือกับบรรพบุรุษของตระกูลหมิง เพียงเหตุการณ์นั้นก็แปลกมากแล้ว
ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือคนผู้นั้นวางแผนทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ต้นและบรรพบุรุษของตระกูลหมิงเป็นเพียงเครื่องมือที่เขาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น
“ท่านลุงเฟยอวิ๋น ท่านเคยได้ยินจ้าววิหารเมฆาโบยบินคนก่อนพูดถึงศัตรูของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บ้างหรือไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปถามเฟยอวิ๋นผู้ซึ่งนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด หากต้องการทราบว่าผู้ใดทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางต้องหาคำตอบว่าผู้ใดมีปัญหาบาดหมางกับเผ่าในตอนนั้นและเฟยอวิ๋นอาจมีข้อมูลบางอย่าง
“เดิมทีเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มิใช่ขุมกำลังของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าถูกบีบบังคับให้เข้ามาที่นี่ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่ทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเป็นศัตรูที่บีบไล่ต้อนเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่ตั้งแต่แรก เพียงแต่ข้าไม่ทราบเลยว่าพวกเขาเป็นใคร”
เฟยอวิ๋นไตร่ตรองครู่ใหญ่และกล่าวเพียงสิ่งที่ทราบออกมา
แม้แต่บรรพบุรุษของวิหารเมฆาโบยบินก็ไม่ทราบว่าผู้ใดคือตัวการวางแผนทำลายเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือพลังของอีกฝ่ายน่าจะแกร่งกล้ามาก ถึงอย่างไรผู้ที่ทำให้เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ต้องสั่นคลอนและล่มสลายไปจะเป็นคนธรรมดา ๆ ได้อย่างไรกัน ?
“กุญแจสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นคงจะมาจากคนผู้นั้น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะ นางไม่ทราบเลยว่าเหตุใดนางจึงสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มากนัก ทว่านางรู้สึกมาเสมอว่าเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับนางในชีวิตภพก่อน ทว่ามันยังเป็นเพียงความรู้สึกคลุมเครือที่มิอาจอธิบาย
“ในเมื่อผู้นำสูงสุดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นบุคคลที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เขาจะไม่เตรียมมาตรการป้องกันได้อย่างไร ? ข้าคิดว่ายังมีคนของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตอยู่ พวกเขาเพียงฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ในอดีตเพื่อหลบซ่อนตัวเท่านั้น”
นางกล่าวข้อสันนิษฐานออกไป หากเป็นเช่นนั้นจริงก็พอจะสมเหตุสมผลที่การสืบทอดสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นได้ยาก
ตราบใดที่ผู้นำของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้วิธีการบางอย่าง แน่นอนว่าคนของเผ่าก็จะไม่สามารถปลุกสายเลือดต่อไปได้อีก และสาเหตุที่ทายาทของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปลุกสายเลือดไม่ได้ก็ดูจะสมเหตุสมผลมากขึ้น
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้จะดีกว่า”
ในเมื่อยังมีภารกิจอีกมากมายที่ต้องทำ ฉินอวี้โม่จึงไม่ต้องการเสียเวลาไปกับเรื่องนี้ นางตัดสินใจที่จะไม่พยายามหาคำตอบอีกต่อไปและรอโอกาสเหมาะสมในการสืบสาวเรื่องนี้อีกครั้งในอนาคต
“นายหญิง ท่านจะจัดการกับคนของข้าอย่างไร ?”
หมิงจื้อเหยี่ยนเอ่ยถามอย่างนอบน้อม คนรุ่นหลังของตระกูลหมิงไม่ควรต้องมาตายเพราะความผิดของคนรุ่นก่อน เขากังวลมากว่าทุกคนในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะโกรธแค้นคนเหล่านั้นเพราะสิ่งที่ตระกูลหมิงทำลงไปในอดีต
“หมิงจื้อเหยี่ยน ในเมื่อตระกูลหมิงของเจ้าทำลายตระกูลท่านตาของศิษย์พี่ของข้าและก่อกรรมทำชั่วมามากมาย พวกเจ้าก็ควรชดใช้ต่อคนในเมืองเซิ่งหลิงมิใช่หรือ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะสังหารสมาชิกของตระกูลหมิงเหล่านั้น ถึงอย่างไรนางก็มิใช่ฆาตกรใจโหดและการสังหารคนเหล่านั้นก็จะไม่เป็นผลดีต่อนางเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหมิงทำสิ่งที่ชั่วร้ายมามากมาย แม้พวกเขาเหล่านั้นเพียงทำตามคำสั่งของผู้นำตระกูล แต่คนตระกูลหมิงก็ควรต้องชดใช้
“แน่นอนว่าข้าควรชดใช้และข้าก็ยินดีชดใช้ทุกอย่างด้วยตนเอง ขอเพียงท่านไว้ชีวิตคนตระกูลหมิงก็พอ”
แม้ร่างกายของหมิงจื้อเหยี่ยนจะระเบิดไปแล้วและเหลือเพียงจิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฉินอวี้โม่ ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ปกครองสูงสุดของตระกูลและหวังว่าจะได้ทำบางอย่างเพื่อปกป้องตระกูลของตน
“ไม่ต้องห่วง เจ้าได้ชดใช้แน่ !”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ตอบตกลงทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน นางเพียงคิดว่าจะให้ศิษย์พี่ของตนเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ผู้ที่จงเกลียดจงชังหมิงจื้อเหยี่ยนเกินกว่าใครควรจะเป็นศิษย์พี่ของนาง ในอดีตครานั้น คนมากมายในตระกูลท่านตาของเขาต้องตายไปเพราะฝีมือของผู้นำตระกูลหมิง
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นก็ปรากฏตัวในโลกภายนอกอีกครั้งโดยทิ้งหมิงจื้อเหยี่ยนไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัว
เวลานี้ คนของตระกูลหมิงถูกล้อมรอบไว้แล้วเพื่อรอการตัดสินโทษจากขุมกำลังในเมืองเซิ่งหลิงและวิหารเมฆาโบยบิน
ตอนนี้ผู้นำของตระกูลเยี่ยและผู้นำของขุมกำลังอื่น ๆ ของเมืองเซิ่งหลิง รวมถึงคนของวิหารเมฆาโบยบินล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นกลับออกมาจากคฤหาสน์ล่องหน ทุกคนก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับพวกนางทันที
ทั้งสองพยักศีรษะส่งสัญญาณให้ทุกคนทำตัวตามสบายก่อนหาที่นั่งลง
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง ไม่ทราบว่าเราควรจัดการกับคนของตระกูลหมิงอย่างไร ?”
เซี่ยโป๋ยวี๋มองฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคารพ
ในการต่อสู้กับหมิงจื้อเหยี่ยนก่อนหน้านี้ เฟยอวิ๋นและฉินอวี้โม่ได้แสดงให้เห็นถึงพลังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวซึ่งคู่ควรที่จะได้รับความเคารพจากพวกเขาอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น เฟยอวิ๋นก็เป็นถึงจ้าววิหารเมฆาโบยบินและมีสถานะสูงกว่าพวกเขาทุกคน ฉินอวี้โม่เองก็ได้รับความเคารพจากทุกคนเนื่องจากพรสวรรค์และพลังอันแกร่งกล้าที่นางแสดงออกมา
“ศิษย์พี่ ท่านคิดอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่หันไปหาฉินเฟิงพร้อมเอ่ยถาม นางยกหน้าที่ตัดสินใจเรื่องนี้ให้กับเขาทั้งหมดและจะไม่คัดค้านสิ่งใด
“ถึงอย่างไรหมิงจื้อเหยี่ยนก็ระเบิดตัวเองจนเหลือเพียงจิตวิญญาณแล้ว เอาเป็นว่าคนของตระกูลหมิงจะต้องไปที่สุสานของบรรพบุรุษตระกูลอื่น ๆ ทั้งหมดเพื่อขอขมาและกล่าวสัตย์สาบานว่าจะยอมจำนน”
ฉินเฟิงไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ
แม้ต้องการฆ่าล้างคนของตระกูลหมิงให้สิ้นซากเพื่อล้างแค้นและระบายโทสะในหัวใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำและตัดสินใจเลือกทางที่มีเหตุผลมากที่สุด