การตัดสินใจของเยี่ยเฟิงทำให้หมิงจื้อเหยี่ยนโล่งใจขึ้นมา เดิมทีเขากังวลว่าเรื่องในอดีตจะทำให้เยี่ยเฟิงระบายความแค้นทั้งหมดที่มีกับตระกูลหมิงและลงโทษคนเหล่านั้นอย่างแสนสาหัส
ทว่าเขากลับเลือกให้อีกฝ่ายชดใช้โดยการขอขมาและหลั่งเลือดสาบานว่าจะยอมจำนน สำหรับตระกูลหมิง มันถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
คนตระกูลหมิงยอมรับความผิดทั้งหมดจากใจจริงและหมิงจื้อเหยี่ยนก็กล่าวขอโทษต่อเยี่ยเฟิงเช่นกัน กล่าวได้ว่าเรื่องนี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว
“อันที่จริง บิดามารดาของเจ้าอาจจะยังไม่ตาย”
หมิงจื้อเหยี่ยนนึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าวออกไป ในอดีตเมื่อพวกเขาโจมตีตระกูลท่านตาของเยี่ยเฟิง ในช่วงสุดท้าย เยี่ยหลานพามารดาของเยี่ยเฟิงและคนในตระกูลหลบหนีไปผ่านทางห้วงมิติบางอย่าง
เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานเกือบจะทำให้เขาลืมเลือนเรื่องนี้ไปแล้ว ทว่าจู่ ๆ หมิงจื้อเหยี่ยนก็นึกขึ้นมาได้
“อะไรนะ ?! หลานเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ ?!”
เยี่ยชางไห่ลุกพรวดขึ้นทันที เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเยี่ยหลานจะยังมีชีวิตอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม หากเยี่ยหลานยังมีชีวิตอยู่จริง เหตุใดเขาจึงไม่เคยติดต่อกลับมาและไม่มีข่าวคราวใด ๆ ตลอดเวลามากกว่าพันปี ?
“ใช่ ในตอนนั้นข้าเห็นพวกเขาหลบหนีออกไป ข้ามั่นใจในเรื่องนี้”
หมิงจื้อเหยี่ยนพยักศีรษะยืนยันด้วยความมั่นใจ ในครานั้น เขาเห็นกับตาตัวเองว่าเยี่ยหลานนำคนกลุ่มหนึ่งหลบหนีเข้าไปในรอยแยกห้วงมิติบางอย่าง หากมิใช่เพราะไม่มีข่าวคราวใดเกี่ยวกับเยี่ยหลานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็คงคิดว่าเยี่ยหลานกลับมาที่นี่นานแล้ว
หลังจากที่เยี่ยหลานและคนเหล่านั้นหายตัวไป กลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ซึ่งเป็นกลิ่นอายของการที่สายเลือดเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกปลุกขึ้นมาก็ได้หายสาบสูญไปเช่นกันและในตอนนั้นเขาก็คิดว่าผู้ที่ปลุกสายเลือดนั้นขึ้นมาก็คือเยี่ยหลาน ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วผู้ที่ปลุกสายเลือดของเผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็คือเยี่ยเฟิง
“พวกเขาจะไปที่ใดได้กัน.. พวกเขาหายไปที่ใด ?”
เยี่ยชางไห่นึกกังวลขึ้นมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์ในฝั่งของเยี่ยหลานและคนอื่น ๆ คงจะไม่ราบรื่นแน่ มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงจะไม่หายเงียบไปเช่นนี้และไม่ส่งข่าวคราวใด ๆ กลับมา
“ท่านปู่ อย่ากังวลไปเลยขอรับ มันถือเป็นข่าวดีสำหรับเรา ตราบใดที่ท่านพ่อท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ เราก็มีโอกาสตามหาพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของท่านพ่อ ไม่ว่าตอนนี้เขาจะ อยู่ที่ใด ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน”
เยี่ยเฟิงกล่าวปลอบประโลมเยี่ยชางไห่ทว่าในใจของเขาก็เริ่มไตร่ตรองว่าบิดาของตนหายไปที่ใด
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็ส่งเฟยอวิ๋นและคนของวิหารเมฆาโบยบินออกจากเมืองเซิ่งหลิง ในเมื่อวิกฤตได้รับการสะสางแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเดินทางกลับอาณาเขตของตน
“อวี้โม่ หากมีโอกาส เจ้าจะต้องไปเยี่ยมพวกเราที่วิหารเมฆาโบยบินอีกครั้งนะ”
เฟยโม่และคนอื่น ๆ มองฉินอวี้โม่ด้วยความไม่เต็มใจนักพร้อมกับกล่าวกำชับเสียงดังออกมา
“ไม่ต้องห่วง ข้าไปแน่”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ เพียงแต่นางทราบดีว่าอาจไม่มีโอกาสกลับไปที่วิหารเมฆาโบยบินได้อีก ทันทีที่สถานการณ์ของดินแดนมหาเทพได้รับการคลี่คลาย นางจะต้องเดินทางไปที่โลกแห่งเทพต่อไป
หลังจากส่งทุกคนกลับวิหารเมฆาโบยบิน ฉินอวี้โม่ก็กลับไปที่เมืองเซิ่งหลิง
ในเมื่อไม่มีเรื่องวุ่นวายใดอีก ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจเข้าสู่สภาวะเก็บตัวบ่มเพาะทันที
หลังจากที่ชี้แจงเรื่องนี้กับเยี่ยหลาน ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ นางก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวโดยตรง จากนั้นเมื่อปรับกระแสเวลาให้หนึ่งวันของโลกภายนอกเท่ากับหนึ่งปีในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็เริ่มทำการบ่มเพาะพลัง
ในโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนมหาเทพ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างเงียบสงบเป็นการชั่วคราว
ภยันตรายที่ซ่อนไว้ของทั้งสองดินแดนได้ถูกสะสางแล้วและวิกฤตสุดท้ายคือรอยแยกที่สามารถทำให้ดินแดนมหาเทพล่มสลายไป ตราบใดที่พลังของฉินอวี้โม่พัฒนาไปถึงขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุด นางมั่นใจว่าจะกำจัดภัยร้ายนั้นได้ เพราะเหตุนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทะลวงพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และภายในชั่วพริบตา เวลาในโลกภายนอกก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
ตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องใหญ่หรือร้ายแรงใดเกิดขึ้นในโลกภายนอก ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วก็อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อบ่มเพาะพลังและไม่ได้เดินทางกลับไปที่ดินแดนมหาเทพ
สำหรับโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ก็มีขุมกำลังใหญ่อยู่เพียงสองแห่งเท่านั้น นั่นคือขุมกำลังที่เป็นการรวมกลุ่มระหว่างตระกูลจำนวนมากในเมืองเซิ่งหลิง และอีกขุมกำลังหนึ่งก็คือวิหารเมฆาโบยบิน
เมื่อสองขุมกำลังอยู่ใต้การปกครองของผู้นำที่ดีและทุกอย่างเงียบสงบ ความขัดแย้งและการต่อสู้ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงหมดไปโดยปริยายและสถานการณ์มั่นคงขึ้นมาก
ในวันนี้ ฉินอี้เฟยกำลังหารือเรื่องต่าง ๆ กับเฟยอวิ๋นในห้องหนังสือเมื่อได้รับข่าวจากดินแดนมหาเทพ
“อี้เฟย เสี่ยวอวี้โม่อยู่ที่ใดรึ ?”
เจ้าของเสียงที่ดังมาจากอุปกรณ์สื่อสารคือเหลยเจี้ยนเชิง—จ้าวสำนักหมื่นกระบี่นั่นเอง ก่อนหน้านี้เขาพยายามติดต่อฉินอวี้โม่ทว่าไม่สามารถติดต่อนางได้เลย เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะติดต่อหาฉินอี้เฟย
“อวี้โม่กำลังเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ขอรับ ท่านลุงเหลยมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอี้เฟยรับรู้ได้ถึงความเร่งด่วนในน้ำเสียงของเหลยเจี้ยนเชิงและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เกิดความเปลี่ยนแปลงในเมืองราชวงศ์และสถานการณ์ก็ดูไม่ดีนัก”
เหลยเจี้ยนเชิงไม่ปิดบังจากฉินอี้เฟยและรีบเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นทันที
เมื่อไม่กี่วันก่อน เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในเมืองราชวงศ์ของมณฑลกลาง สภาวะพลังในเมืองค่อย ๆ สลายหายไปและรอยแยกก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการคำนวณเวลาก่อนหน้านี้ พวกเขาควรจะมีเวลาเหลืออีกหลายร้อยปี ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและอาจไม่มีเวลามากเช่นนั้นอีกต่อไป
ทุกคนก็ได้ทำการวิเคราะห์และอนุมานกันอีกครั้งก่อนได้ข้อสรุปว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี รอยแยกประหลาดนี้จะดูดกลืนสภาวะพลังของดินแดนมหาเทพได้ทั้งหมดและทั้งดินแดนจะมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นคือการล่มสลาย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์กำลังอยู่ในช่วงของการทะลวงพลัง เกรงว่านางคงจะไม่ออกมาในเร็ว ๆ นี้ขอรับ อย่างไรก็ตาม เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ในเมืองราชวงศ์ได้อย่างไรกัน ?”
ฉินอี้เฟยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนเก็บตัวเพื่อทะลวงพลังก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ไม่ได้ระบุไว้ว่าจะใช้เวลานานเพียงใด ในระหว่างการเก็บตัวของนาง นางก็คงจะวางข่ายอาคมป้องกันไว้รอบบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น การตามหาคฤหาสน์เฟิงหัวในตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อติดต่อกับนาง
“เราสงสัยว่ามีใครบางคนค้นพบรอยแรกประหลาดนั้นและแอบทำอะไรบางอย่างกับผนึกของมัน ทว่าเราก็ยังไม่มั่นใจนัก”
เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวถึงการค้นพบก่อนหน้านี้ มันเป็นสิ่งที่หลงอวี้เทียนค้นพบโดยบังเอิญทว่ายังไม่แน่ชัดนักว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ถึงอย่างไรก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเกี่ยวกับเส้นทางไปที่นั่นและพวกเขาจับตาดูสถานการณ์อยู่เสมอ หากมีคนบุกเข้าไปจริง ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไม่สังเกตเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่สามารถทำลายผนึกรอบ ๆ รอยแยกนั้นได้ คนผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน ทว่ายอดฝีมือที่ทรงพลังมากถึงเพียงนั้นปรากฏตัวในดินแดนมหาเทพตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
ฉินอี้เฟยเข้าใจได้ทันทีและไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์เข้าสู่สภาวะเก็บตัว นางคาดการณ์เวลาไว้เพียงคร่าว ๆ และอาจจะออกมาในอีกไม่ช้า ท่านลุงเหลยไม่ต้องกังวลไปขอรับและฝากบอกท่านลุงหลงเช่นกัน ศิษย์พี่ฉินเฟิง เราไปดูสถานการณ์ที่นั่นกันก่อนเถอะ”
เยี่ยเฟิงทราบถึงสถานการณ์นี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก ทว่าเมื่อพวกเขามุ่งหน้าไปที่เมืองราชวงศ์เพื่อตรวจดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง หากพบว่ามีคนพยายามทำลายมันจริง ๆ พวกเขาก็อาจช่วยกันหาทางจับตัวคนผู้นั้นได้
“ตกลง”
เหลยเจี้ยนเชิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตอบตกลง เวลานี้เขาอยู่ที่เมืองราชวงศ์เช่นกัน พวกเขาพยายามสืบเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วทว่ายังไม่พบเบาะแสของผู้ร้ายที่พยายามสร้างความเสียหายแม้แต่น้อย
เมื่อเยี่ยเฟิงและฉินอี้เฟยมาถึงที่นี่ การที่มีพวกเขาอยู่อาจจะช่วยให้มีความคืบหน้าบางอย่างก็เป็นได้
จากนั้นฉินอี้เฟยและเยี่ยเฟิงก็แจ้งข่าวกับคนในเมืองเซิ่งหลิงก่อนเดินทางไปยังดินแดนมหาเทพด้วยกัน
ในอีกฟากหนึ่ง ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว การทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญแล้ว