ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และบรรดาอสูรกำลังทะลวงพลังในเวลาเดียวกัน
นางปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหมด สภาวะพลังรอบตัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างต่อเนื่องโดยมีกลุ่มเมฆสีดำทะมึนก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการทะลวงพลัง
สำหรับหนึ่งปีของโลกภายนอก นางได้เก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวมานานสามร้อยหกสิบห้าปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติพิเศษของคฤหาสน์เฟิงหัว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยและยังคงเป็นสตรีงามที่สะเทือนใต้หล้าเช่นเดิม
“นายหญิงใกล้ที่จะทะลวงพลังสำเร็จแล้ว”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ เข้ามาล้อมรอบฉินอวี้โม่ไว้ พวกมันเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและมีพลังในระดับเทพสวรรค์แล้ว แม้ระดับดังกล่าวจะยังแบ่งออกเป็นขั้นหนึ่งถึงขั้นเก้า ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ถือว่าไม่ธรรมดาและพัฒนาขึ้นจากเดิมอย่างใหญ่หลวง
สำหรับหมิงจื้อเหยี่ยนผู้ซึ่งถูกกักขังไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัว เขาก็ผสานจิตวิญญาณเข้ากับร่างของอสูรมายาแล้วและกลายเป็นหนึ่งในลูกสมุนของฉินอวี้โม่โดยสมบูรณ์
“พรสวรรค์ของนายหญิงน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เมื่อข้าระเบิดตัวเองก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ก็มีพลังที่ลึกลับปรากฏจากร่างของนาง มันคือพลังประเภทใดกัน ?”
หมิงจื้อเหยี่ยนยังไม่อยากเชื่อนักเมื่อนึกถึงพลังอันแกร่งกล้าจากร่างของฉินอวี้โม่ในตอนที่เขาระเบิดตัวเอง พลังนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้แต่หมิงจื้อเหยี่ยนที่หยิ่งผยองและยโสโอหังก็ยังต้องก้มหัวและยอมศิโรราบภายใต้พลังนั้น ไม่มีทางเลยที่เขาจะต่อต้านพลังนั้นได้
“ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่มันคงจะเป็นพลังนั้นที่กระตุ้นพรสวรรค์ของนายหญิงขึ้นมาซึ่งทำให้นางทะลวงพลังได้รวดเร็วนัก มิเช่นนั้น จากความเร็วในการฝึกวิชาก่อนหน้านี้ ไม่มีทางเลยที่นางจะทะลวงพลังได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้”
บรรดาอสูรทั้งหมดพยักศีรษะตาม ๆ กันและไม่ทราบเลยว่าพลังที่ปรากฏในร่างของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้คือพลังใด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือการปรากฏตัวของพลังนั้นเป็นผลดีกับฉินอวี้โม่อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นความเร็วในการทะลวงพลัง หากเป็นก่อนหน้านี้ ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมา มันไม่มีทางช่วยให้นางทะลวงพลังครั้งใหญ่เช่นนี้ได้แน่
ครานี้ความแข็งแกร่งของนางจะสามารถบรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดเป็นอย่างต่ำหรืออาจไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น
สภาวะพลังภายนอกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางและกลุ่มเมฆทะมึนกลางท้องฟ้าก็ค่อย ๆ ควบแน่นรวมกัน ในเวลานี้ก็มีเส้นสายฟ้าที่แล่นผ่านทั่วก้อนเมฆโดยแอบแฝงไปด้วยพลังที่รุนแรงและเกรี้ยวกราด ซึ่งดูราวกับจะสามารถกลืนกินทุกชีวิตที่ขวางหน้า เรียกได้ว่ามันเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
“นี่คือทัณฑ์สายฟ้า นายหญิงกำลังจะทะลวงพลังไปถึงขอบเขตนั้น !”
ก่อนหน้านี้ที่หมิงจื้อเหยี่ยนมีโอกาสได้ทะลวงพลัง เขาก็เผชิญกับทัณฑ์สายฟ้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงนี้ เห็นได้ชัดว่าพายุเมฆกลางท้องฟ้าคือเมฆของทัณฑ์สายฟ้าซึ่งเป็นสัญญาณของการทะลวงพลังจากขอบเขตเทพสวรรค์ไปสู่ขอบเขตเทพเซียน
ครืนนน !
ครืนนน !
ครืนนน !
…
เสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลือนลั่น อสูรมายาทั้งหมดต่างก็หวาดกลัวจนตัวสั่นในขณะที่ท้องฟ้าทั่วคฤหาสน์เฟิงหัวมืดหม่นลง
เปรี้ยงงง !
ทันใดนั้น สายฟ้าก็ส่องสว่างวาบกลางอากาศและฟาดลงมาที่ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่ต้านทานมันไว้พักหนึ่งและมีเลือดซึมออกมาจากมุมปากของนาง ทัณฑ์สายฟ้านี้ทรงพลังอย่างที่สุด แม้ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของนาง นางก็ยังได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม อาการบาดเหล่านั้นไม่รุนแรงต่อนางนัก หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ร่างกายของนางก็ฟื้นฟูจนกลับเป็นปกติและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากมัน
สำหรับการทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียน จอมยุทธ์จะต้องข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าเก้าขั้น ตราบใดที่ผ่านไปได้ก็ถือเป็นการทะลวงพลังโดยสมบูรณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงสายฟ้าสายแรกเท่านั้น ทว่าฉินอวี้โม่ก็ได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่งแล้ว เพียงเท่านี้ก็จินตนาการได้แล้วว่าการเผชิญกับทัณฑ์สายฟ้าทั้งเก้าขั้นจะยากลำบากเพียงใด
“ลืมมันไปเถอะ พลังของข้ายังมีไม่มากพอ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญหา นางต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อทะลวงผ่านขอบเขตเทพสวรรค์ไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าภายในคราวเดียว ทว่าถึงอย่างไรพลังของนางก็ยังน้อยเกินไป ช่องว่างความแตกต่างระหว่างขอบเขตเทพสวรรค์และขอบเขตเทพเซียนมิใช่สิ่งที่จะชดเชยได้ง่าย ๆ
เมื่อกลุ่มเมฆทะมึนสลายหายไปและท้องฟ้ากลับสู่สภาวะปกติ ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นอย่างไม่มีสีหน้าผิดหวังใด ๆ
นางทราบอยู่แล้วว่าการทะลวงพลังข้ามไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่ามิใช่เรื่องง่าย เพียงการทะลวงพลังข้ามมาถึงขอบเขตเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดในกรอบเวลาที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจมากแล้ว
“น่าเสียดายจริงเชียว…”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่ทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตเทพเซียนไม่สำเร็จ หมิงจื้อเหยี่ยนก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ก็เป็นสิ่งที่น่าอิจฉาสำหรับทุกคน ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะทะลวงพลังได้อย่างรวดเร็วเท่ากับนาง
“ไม่มีอะไรที่ต้องเสียดายหรอก ข้ามาถึงขีดจำกัดที่ทำได้ในตอนนี้แล้ว พลังและพรสวรรค์ในปัจจุบันของข้าช่วยให้ข้าบรรลุได้เพียงระดับนี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ใจเย็นและสงบนิ่ง
ตอนนี้นางบรรลุระดับสูงสุดที่สามารถพัฒนาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม นางก็ห่างจากการทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตต่อไปอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในไม่ช้า นางจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียนได้สำเร็จ เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่กังวลแต่อย่างใด
“นายหญิง พี่ซิวเข้าสู่สภาวะจำศีลเมื่อไม่กี่วันก่อนและคาดว่าคงจะไม่ออกมาจนกว่าจะทะลวงพลังสำเร็จ”
เสี่ยวเฮยกล่าวกับฉินอวี้โม่เพื่อรายงานเรื่องที่ซิวเข้าสู่สภาวะจำศีลเมื่อไม่กี่วันก่อน ความแข็งแกร่งเดิมของมันอยู่ในระดับเทพยุทธ์ขั้นสูงสุด เมื่อฉินอวี้โม่ทะลวงพลังสำเร็จ มันก็ได้โอกาสทะลวงพลังเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาพลังของซิวไม่ง่ายนักและจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจและไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก สำหรับอสูรแห่งโชคชะตา นางไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของซิว มันจะสามารถทะลวงพลังในไม่ช้าก็เร็ว
“ไปกันเถอะ หลังจากเก็บตัวมานานหนึ่งปี ถึงเวลาที่ต้องออกไปสำรวจสถานการณ์ของโลกภายนอกแล้ว”
เวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียงหนึ่งปีและฉินอวี้โม่ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ นางยังไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลาง
บรรดาอสูรทั้งหมดไม่คัดค้านและเพียงมองดูผู้เป็นนายมุ่งหน้าออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว
เมื่อเข้าสู่ช่วงเก็บตัวก่อนหน้านี้ คฤหาสน์ล่องหนของนางก็ประจำอยู่ในที่พักส่วนตัวภายในจวนตระกูลเยี่ย เมื่อออกมาครานี้ นางจึงยังอยู่ในห้องเดิม
ทันทีที่เปิดประตูออกไป นางก็พบใครคนหนึ่งที่เฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ในที่สุดท่านก็ออกมา”
เขาคือหนึ่งในศิษย์ของตระกูลเยี่ยที่ได้รับคำสั่งให้มายืนรอฉินอวี้โม่ที่นี่ เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายใน เขาก็เฝ้ารอหน้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ เป็นจริงดังที่คิดไว้ ฉินอวี้โม่ออกมาจากการเก็บตัวแล้ว
“มีอะไรหรือ ? เกิดอะไรขึ้น ?”
ฉินอวี้โม่ชะงักไปทันทีและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของอีกฝ่าย
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ คุณชายใหญ่ฝากข้อความไว้ก่อนหน้านี้และฝากข้าให้แจ้งท่านว่าทันทีที่ท่านออกมา ให้ท่านรีบเดินทางไปที่เมืองราชวงศ์ในดินแดนมหาเทพขอรับ”
บุรุษผู้นั้นชี้แจงฉินอวี้โม่เกี่ยวกับสิ่งที่เยี่ยเฟิงฝากไว้ ทว่าก่อนที่เขาจะกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็ไม่อยู่ตรงหน้าเขาอีกต่อไป
ขณะมุ่งหน้าไปยังเส้นทางเข้าออกของดินแดนมหาเทพอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่ก็ตรวจสอบอุปกรณ์สื่อสารของตนและพบว่าเครื่องมือทั้งหมดถูกปิดไว้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อเข้าสู่สภาวะจำศีลก่อนหน้านี้ อุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดก็ปิดตัวลงเป็นเหตุให้นางไม่ได้รับข่าวสารใด ๆ
ทันทีที่เปิดใช้งานกลับเช่นเดิม มันก็ส่องสว่างขึ้น
บนอุปกรณ์สื่อสารแสดงให้เห็นถึงข้อมูลของผู้ที่ติดต่อมามากมาย รวมถึงข้อความบางส่วน ฉินอวี้โม่ตรวจดูและพบข่าวจากหลงอวี้เทียน ฟู่ชางและเหลยเจี้ยนเชิงซึ่งระบุในทำนองเดียวกันว่าให้นางรีบเดินทางกลับดินแดนมหาเทพโดยเร็วที่สุด
ก่อนอ่านจบ อุปกรณ์สื่อสารก็ดังขึ้น
ฉินอวี้โม่เชื่อมต่อสายในทันทีและเสียงของฉินอี้เฟยดังขึ้นมา
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ดูเหมือนว่าเจ้าจะออกมาแล้ว”
เสียงของเขาฟังดูไม่เร่งรีบนัก เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพยังอยู่ในการควบคุม
“พี่ใหญ่ เกิดเรื่องอะไรที่เมืองราชวงศ์หรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามตรงเข้าประเด็นทันที