หลังจากได้สติกลับมา ออเดรย์ตื่นตัวพร้อมกับรอยยิ้ม
เธอสัมผัสได้ว่า มีบางสิ่งผลักดันให้เธอมาถึงฮาร์ตลาร์ค หมู่บ้านซึ่งมีธรรมเนียมบูชามังกร
คล้ายกับเป็นชะตากรรม
ออเดรย์เคยเข้าไปใน ‘โถงแห่งความจริง’ และพบว่าจิตรกรรมฝาผนังของที่นั่นกลายมาเป็นความจริง นอกจากนั้น เธอยังทราบว่าลำดับ 1 ของเส้นทางผู้ชมมีชื่อว่า ‘นักประพันธ์’ จึงพอจะมองเห็นการเชื่อมโยงบางอย่าง
ทันใดนั้น ฮิบเบิร์ตหัวเราะ
“ฉันได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้ และจำได้ว่าครอบครัวของเรามีคฤหาสน์อยู่ใกล้ๆ”
ขณะกล่าว มันแหงนมองฟ้า
“ใกล้ค่ำแล้ว ทำไมเราไม่ค้างคืนที่นี่และตื่นมาล่าต่อในวันพรุ่งนี้?”
สำหรับข้อเสนอของพี่ชายคนโต อัลเฟรดไม่คิดคัดค้าน สำหรับมัน จะนอนในคฤหาสน์ไหนก็ไม่สำคัญ
มันพยักหน้าและกล่าว
“อย่าลืมส่งคนไปแจ้งท่านพ่อกับท่านแม่”
ออเดรย์ไม่กล่าวคำใด เพียงขยับดวงตาสีเขียว กวาดไปทั่วใบหน้าพี่ชายทั้งสอง
ฮิบเบิร์ตขมวดคิ้วทันที ตามด้วยกล่าว
“เปลี่ยนใจแล้ว กลับกันดีกว่า คฤหาสน์ที่นี่ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า อาจเตรียมตัวต้อนรับได้ไม่ดี และคงไม่สามารถรองรับม้า สุนัขล่าเนื้อ และคนรับใช้จำนวนมากได้… นอกจากนั้น ยังมีเวลาราวหนึ่งชั่วโมงก่อนจะค่ำ พวกเรายังกลับไปได้ทัน”
เมื่อเห็นพี่ชายเปลี่ยนใจกะทันหัน อัลเฟรดเตรียมแสดงความเห็นในทิศทางตรงข้าม แต่ทันใดนั้น มันกลับรู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดฟังดูสมเหตุสมผล
หลังจากตระหนักว่าน้องสาวก็อยู่ด้วย มันอืมในลำคอ:
“รีบกลับกันเถอะ”
พูดจบ มันไม่รอฮิบเบิร์ตตอบ รีบกระทบเท้า ฟาดแส้ ควบม้านำหน้าเป็นคนแรก
คิ้วที่ขมวดอยู่ของฮิบเบิร์ตคลายออกทันที
มันไม่กล่าวคำใด เพียงพาน้องสาว กลุ่มคนใช้ และสุนัขล่าเนื้อ วิ่งเลาะไปตามชายป่าจนกระทั่งกลับถึงคฤหาสน์อีกฟากฝั่ง
ออเดรย์ขี่ม้าตามหลังอย่างเงียบงัน มิได้แสดงความเห็นใดออกมาเลย
…
ดึกดื่นในคฤหาสน์แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก
ออเดรย์ซึ่งอาศัยพลังของ ‘จอมบงการ’ เพื่อเปลี่ยนความคิดของพี่ชายทั้งสอง เพื่อป้องกันมิให้พวกมันเข้าใกล้หมู่บ้านฮาร์ตลาร์ค ยกผ้าห่มกำมะหยี่สีดำขึ้น นอนลงบนเตียงและหลับสนิท
ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ ออเดรย์ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
หญิงสาวมองไปรอบตัว พบโต๊ะเครื่องแป้งที่คุ้นเคยและประตูห้องน้ำ ยืนยันได้ว่าตนยังอยู่ในห้องนอน แต่ด้านนอกหน้าต่างกลับปราศจากพระจันทร์สีแดงหรือดวงดาว มีเพียงความมืดสนิท
ไม่ใช่โลกความจริง… ออเดรย์ประเมินเบื้องต้นและสำรวจตัวเอง
ผ่านไปสักพัก เธอได้ข้อสรุป
ที่นี่คือความฝัน แต่เป็นฝันที่ค่อนข้างแปลก เพราะมันอนุญาตให้เธอรักษาสติสัมปชัญญะไว้
จนได้สินะ… ออเดรย์มิได้ตื่นตระหนก แค่รู้สึกหงุดหงิด
ในช่วงเย็น เธอแก้ไขสถานการณ์ได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้ปัญญาลุกลามมายังจุดที่พ่อและแม่อาศัยอยู่
เมื่อใจเย็นลง ออเดรย์พบว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือการไหลไปตามความคิดแรกของฮิบเบิร์ต ตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลใกล้กับหมู่บ้านฮาร์ตลาร์ค จากนั้นก็ ‘บงการ’ ให้ฮิบเบิร์ตและอัลเฟรดกลับมาหาพ่อแม่อย่างสมเหตุสมผล ส่วนตัวเธอยังอยู่ที่นั่น รอคอยการเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้น
ด้วยวิธีดังกล่าว ต่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อพ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง รวมถึงคนรับใช้และสาวใช้
แต่น่าเสียดาย เป้าหมายหลักของหญิงสาวในตอนนั้นคือการ ‘ขัดแย้ง’ กับชะตากรรม และหลีกเลี่ยงหมู่บ้านฮาร์ตลาร์คให้ไกลที่สุด
ใครจะไปคิดว่า ต่อให้ไม่เข้าไปหาอันตราย อันตรายก็จะแวะมาเยี่ยมด้วยตัวเอง
การเอาแต่หลีกเลี่ยงและประวิงเวลา ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ครอบจักรวาลเสมอไป
ออเดรย์พลิกตัวลุกจากเตียง ยืนบนพรมหนาด้วยเท้าเปล่า
เธอมั่นใจว่าด้วยพลัง ‘นักท่องฝัน’ ในลำดับครึ่งเทพ ตนสามารถหลุดพ้นจากความฝันแห่งนี้ได้ทันที สามารถกลับสู่โลกความจริงพร้อมกับหลีกเลี่ยง ‘คำเชื้อเชิญ’ ซึ่งน่าจะมาพร้อมปัญหา
หลังจากกวาดสายตาไปรอบตัว ออเดรย์เม้มริมฝีปาก หยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินซึ่งแขวนอยู่บนราว พาดลงบนร่างกายตัวเอง
ถัดมา หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเดินไปทางประตู
ระหว่างนั้น ‘รอยสัก’ สีแดงรูปร่างคล้ายดวงดาวปรากฏขึ้นบนหลังมือ
จากนั้นก็หายไปทันที ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่
นี่คือตราประทับซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเข้าไปในวังโบราณเหนือสายหมอกเป็นครั้งแรก มันไม่เคยแสดงความพิเศษใดเลยเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มิสเตอร์ฟูลแจ้งกับทุกคนว่า เมื่อใดที่จวนตัวจะสวดวิงวอน ทุกคนสามารถกระตุ้น ‘รอยสัก’ แทนการท่องพระนามเต็มได้
กล่าวคือ นี่คือสิทธิพิเศษของ ‘คนโปรด’ ของทวยเทพ
แน่นอน รอยสักดังกล่าวมิอาจถ่ายทอดข้อมูลใด ใช้ได้แค่ในสถานการณ์วิกฤติเพื่อให้มิสเตอร์ฟูลหันมาสนใจ
เหนือสิ่งอื่นใด รอยสักที่คล้ายดวงดาวสีแดง มีความโดดเด่นและง่ายต่อการถูกค้นพบหากมีใครกำลังแอบสะกดรอย ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ต้องปกปิดตัวตนให้มิดชิด ออเดรย์มีแนวโน้มจะใช้พลัง ‘จอมบงการ’ เพื่อให้มนุษย์ใกล้เคียงแอบสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลแทนตัวเองมากกว่า
ปัจจุบัน หญิงสาวเชื่อว่า เจ้าของความฝันทราบแล้วว่าเธอเป็นตัวปัญหา จึงไม่ควรเปลืองแรงทำตัวเป็นคนปรกติ แค่พยายามปกปิดมิให้อีกฝ่ายทราบว่าเธอกำลังสวดวิงวอนถึงใครก็พอ
หลังจากเดินไปถึงประตู ออเดรย์คว้าด้ามจับ บิดและดึงเข้าหาตัวเอง
ภาพของทางเดินค่อนข้างสลัวฉายเข้ามาในดวงตา
อาคารหลักของคฤหาสน์แห่งนี้มีประวัติยาวนานนับร้อยปี หลายจุดยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ โดยเฉพาะส่วนทางเดิน – ตามทางเดินจะไม่มีโคมไฟแก๊สติดผนัง แต่จะติดเชิงเทียนเงินหรือทองแดง ให้ความสว่างด้วยเทียนไข ส่งผลให้มีเปลวไฟไหววูบตลอดเวลาตามแนวทางเดิน มอบความรู้สึกหลอนให้กับคนจิตอ่อน
แม้แต่ในความฝันยังเลียนแบบสิ่งนี้… ออเดรย์เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะตรงไปตามทางเดิน
ขณะความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว พรมยาวสีเหลืองซีดปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าหญิงสาว
ออเดรย์เดินเหยียบพรมตามสัญชาตญาณ และอาศัยสัมผัสวิญญาณเดินไปทางขวา
ผ่านไปได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวชะงักฝีเท้า ภายในใจรู้สึกว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่หลังบานประตูรอบตัว ก่อให้เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเปิดเข้าไปสำรวจ
ทางนี้คือห้องนอนของท่านพ่อกับท่านแม่ ทางนั้นเป็นห้องนอนฮิบเบิร์ต ทางนั้นเป็นห้องนอนอัลเฟรด… ออเดรย์จำแนกพลางขมวดคิ้ว
บานประตูแกะสลักอย่างวิจิตรภายใต้แสงไฟสลัว มอบความรู้สึกลึกลับมากเป็นพิเศษ ดลใจผู้คนอยากรู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ด้านหลัง
ท่ามกลางกระแสความคิด ออเดรย์เข้าใจได้ทันที
นี่คือประตูแห่งจิตใจ ด้านหลังเป็นโลกแห่งจิตของเจ้าของ
กล่าวคือ หากออเดรย์ผลักประตูห้องอัลเฟรดเข้าไป เธอจะได้พบกับความลับจากก้นบึ้งจิตใจอีกฝ่าย
ในทำนองเดียวกัน เธอสามารถสำรวจหัวใจที่แท้จริงของเอิร์ลฮอลล์และคุณหญิงเคทลินได้
ออเดรย์หลับตาลง เดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ข่มใจไม่ให้ถูกล่อลวง
หลังจากผ่านประสบการณ์มากมาย หญิงสาวตระหนักถึงข้อเท็จจริงหนึ่งอย่างชัดเจน
ครึ่งเทพในขอบเขตจิตใจ ต้องรู้จักควบคุมตัวเองและเคารพผู้อื่น
ทั้งที่มีพลังหยั่งถึงความคิดแท้จริงของเป้าหมายผ่านภาษากาย สีหน้า และความแปรปรวนทางอารมณ์อยู่แล้ว หากยังไม่พอใจและโลภที่จะสำรวจความรู้สึกจากก้นบึ้งของอีกฝ่าย พยายามขุดคุ้ยความเป็นส่วนตัวเพื่อค้นหาความลับ ในท้ายที่สุด ผลร้ายจะย้อนกลับมาหาตัวเอง
เหตุผลไม่ซับซ้อน มนุษย์ทุกคนล้วนมีความคิดด้านมืด แต่ก็มักจะควบคุมเอาไว้โดยไม่ปล่อยให้กระทบกระเทือนกับพฤติกรรมส่วนตัวเสมอ หากครึ่งเทพในขอบเขตจิตใจคนใดพยายามขุดคุ้ยออกมา จนเห็นความจริงอันน่ารังเกียจภายใต้หน้ากากที่สวมอยู่ ครึ่งเทพเหล่านั้นจะยิ่งเกิดความผิดหวังในตัวมนุษย์ และซึมซับความคิดในเชิงลบมากมาย สุดท้ายก็กลายเป็นบ้าโดยไม่รู้ตัว
นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ว่า แม้ผู้ชมจะสามารถ ‘ปลอบโยน’ ตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาทางจิต แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเส้นทางที่คลุ้มคลั่งได้ง่าย
ทั้งอันตรายและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
ดังนั้น ออเดรย์จึงสร้างบรรทัดฐานของตัวเองขึ้นมา เธอจะใช้พลังสังเกตและอ่านใจกับคนรู้จักเท่านั้น และพยายามไม่บุกรุกความฝันของอีกฝ่ายส่งเดช อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะไม่มีข้อจำกัดกับคนแปลกหน้า แต่เธอก็จะพยายามไม่บุกรุกโลกแห่งจิตของใครถ้าไม่จำเป็น
เดินไปตามทางสักพัก ออเดรย์ในชุดคลุมสีน้ำเงินเดินมาถึงทางตัน
หญิงสาวลืมตาขึ้น หันไปมองในห้องฝั่งซ้ายมือ
ที่นั่นเป็นห้องกระจกกึ่งเปิดโล่ง
หญิงสาวเม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจยาว เลื่อนมือไปจับด้านจับประตู
เมื่อประตูไม้เปิดออก ทัศนียภาพด้านในถูกเผยให้เห็น
ข้างในไม่ใช่ห้อง พื้นดินเต็มไปด้วยกรวดก้อนกลมและวัชพืชสีเขียวเข้ม ลึกเข้าไปค่อนข้างมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด
ออเดรย์ย่างกรายเชื่องช้า บานประตูด้านหลังปิดลงพร้อมกับเสียงเสียดสี
ท่ามกลางความมืด เค้าโครงของบางสิ่งปรากฏขึ้น
เสาหินต้นใหญ่สูงหลายสิบเมตรตั้งเด่นตระหง่าน ด้านบนเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างเพรียวบางคล้ายกิ้งก่า
สัตว์ประหลาดนั่งยองบนเสาหิน ร่างกายใหญ่โตราวกับเนินเขา ปกคลุมไปด้วยเกล็ดขนาดใหญ่คล้ายแผ่นหินสีขาว ดวงตาของมันเป็นสีทองซีด รูปม่านตาทรงรีแนวตั้ง
มังกรจิตในตำนาน
ปีกทั้งสองของมังกรสยายออกจนเกือบปกคลุมท้องฟ้า
โครงกระดูกในปีกมีลักษณะเป็นเส้นคล้ายโครงเหล็ก ปกคลุมไปด้วยผิวหนังสีเทาลวดลายลึกลับ
เมื่อออเดรย์แหงนหน้ามอง มังกรจิตส่งเสียงอื้ออึง
“เจ้าเคยไปเยือนเลฟซิดมาแล้ว”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันสื่อสารด้วยภาษามังกร
เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด… เขาทราบได้อย่างไร… ขณะออเดรย์สะดุ้ง มังกรจิตฝั่งตรงข้ามกล่าวต่อ
“จิตใต้สำนึกของทุกสิ่งมีชีวิตจะมีปฏิสัมพันธ์กับทะเลจิตใต้สำนึกรวมตลอดเวลา เลฟซิดเป็นสถานที่พิเศษ จึงสามารถสร้างตราประทับทางจิตแบบพิเศษภายในใจทุกคน เมื่อ ‘บุคลิกเสมือน’ ของเจ้าแหวกว่ายเข้ามาในทะเลจิตใต้สำนึกรวมซึ่งอยู่ไม่ห่างจากข้า เป็นธรรมดาที่ต้องสัมผัสได้”
เราทำแบบนี้ไม่ได้… และฟังดูไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ ‘นักสานฝัน’ ทำได้เช่นกัน… มังกรจิตตัวนี้อยู่ในลำดับ 2 ผู้เห็นแจ้ง? เขาไม่ได้ควบคุมเราโดยตรง… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่านสมองออเดรย์ มังกรจิตกล่าวต่อไป
“ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้คิดร้าย”
ออเดรย์เงียบไปสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม
“ไม่กลัวว่านี่จะเป็นกับดักบ้างหรือ”