ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 961 มังกรตาเดียว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าเซี่ยกวงก็ยังกัดฟันฝืนทน ตามหาที่อยู่ของหอธารกระจ่างจนเจอ

เขาปรารถนาจะขอยา แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาผิดหวัง

“ไปเสีย! อย่าว่าแต่โอสถประทีปวิสุทธิ์ที่ล้ำค่าหาใดเปรียบ แม้แต่พรรคเราตอนนี้ก็มีเก็บไว้น้อยเต็มที ฝ่ายเรายังใช้ไม่พอ ต่อให้จะเหลือ ก็ไม่มีทางมอบให้ท่าน!”

เซี่ยกวงก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าการมาเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท”

“ตอนนี้ข้าไม่มีสิ่งของใด ไม่อาจแลกเปลี่ยนกับท่านได้ แต่สุดท้ายข้าก็ฝึกยุทธ์มาหลายปี เลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากมีเรื่องอะไรต้องการสั่ง ข้าสามารถช่วยพวกท่านได้”

จอมยุทธ์หอธารกระจ่างที่อยู่ตรงหน้าตวาดว่า “ก็บอกแล้วว่าจะไม่มอบให้ท่าน! จอมยุทธ์จากตะวันออกเฉียงใต้อย่างท่าน ไฉนจึงพัวพันไม่ยอมเลิก!”

ไม่ว่าจะเป็นเขตตะวันอาคเนย์ หรือเขตเพลิงทักษิณ ต่างกว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่ใหญ่โต

แม้ว่าสำนักของคนในทะเลหวงเจีย กับคนที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาเสียงระรัว ซึ่งอยู่ด้านในเขตตะวันอาคเนย์เหมือนกันจะมีความแตกต่างกันมาก ทว่าโดยรวมแล้วเมื่ออยู่ในเขตตะวันอาคเนย์เหมือนกัน ก็มีส่วนที่คล้ายกันอยู่บ้าง

เทียบกันแล้ว นอกจากบริเวณพรมแดนของทั้งสองเขต ความแตกต่างระหว่างสำเนียงของเขตตะวันอาคเนย์และเขตเพลิงทักษิณก็มีความชัดเจนกว่าเดิม

เซี่ยกวงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว ไม่จำเป็นต้องแสดงวรยุทธ์ แค่อ้าปาก คนของหอธารกระจ่างก็ทราบแล้วว่าเขามาจากเขตตะวันอาคเนย์

ระหว่างสองเขต ปัจจุบันมีความสัมพันธ์เลวร้ายยิ่ง

ต้นตอของความขัดแย้งมาจากผู้ปกครองของทั้งสองเขต เนินต้นจักรพรรดิและเขาโถงทอง

สงครามใหญ่เมื่อก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ในสำนักของประมุขผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเท่านั้น จอมยุทธ์ในเขตตะวันออกเฉียงใต้กับเขตใต้ล้วนเข้าร่วมการต่อสู้

ด้านในเทือกเขายาวเหยียดนี้ ก็มียอดฝีมือระดับสุดยอดที่ได้ไปยังพรมแดนระหว่างสองเขต และต่อสู้กับจอมยุทธ์เขตตะวันอาคเนย์เช่นกัน

หอธารกระจ่างแม้จะไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่สุดท้ายก็ยังอยู่ในเขตเพลิงทักษิณ ใช้ชีวิตอยู่บริเวณเขายาวเหยียด

พวกเขาใช่ว่าจะมีความเกลียดชังต่อจอมยุทธ์จากเขตตะวันอาคเนย์รุนแรงอะไรนัก แต่ว่าจุดยืนก็ต้องมั่นคง

ถ้าหากมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในเขตเพลิงทักษิณทราบว่าพวกเขาช่วยเหลือคนจากเขตตะวันอาคเนย์ ไม่แน่ว่าจะเกิดความไม่พอใจ นำภายร้ายมาถึงตัว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกทำลายล้าง

เซี่ยกวงก่อนหน้านี้อาศัยอยู่ในตระกูลมาโดยตลอด ไม่ค่อยได้สัมผัสกับโลกภายนอกมากนัก

หากโลกภายนอกมีข่าวใหม่ คนในตระกูลก็ยังบอกเล่าให้เขาฟัง เพียงแต่เป็นข่าวในเทือกเขาเสียงระรัวเสียเป็นส่วนใหญ่

ด้วยระดับของตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนี เรื่องที่เกิดขึ้นในเทือกเขาเสียงระรัวจึงเกี่ยวข้องกับพวกเขามากที่สุด

เรื่องใหญ่ๆ ที่มีระดับสูงเกินไป แม้นว่าจะส่งผลต่อชีวิตของพวกเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่บ้าง แต่พวกเขากังวลไปก็ไร้ประโยชน์

เซี่ยกวงจึงทราบข่าวด้านนอกเทือกเขาเสียงระรัวน้อยนิดยิ่ง

เขาเคยได้ยินถึงสงครามใหญ่ระหว่างเขตตะวันอาคเนย์กับเขตเพลิงทักษิณมาก่อน แต่ไม่ได้จำใส่ใจ

ตอนนี้เขาไม่เข้าใจท่าทีที่เหมือนหลบเลี่ยงอสรพิษของจอมยุทธ์หอธารกระจ่าง แต่รู้สึกอัปยศมากกว่า

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น เขาคงสะบัดแขนเสื้อไปแล้ว

แต่ว่าเขาบาดเจ็บสาหัส เวลายิ่งผ่านไปนานก็ยิ่งส่งผลเสีย ใกล้ๆ นี้นอกจากหอธารกระจ่างแล้วก็ไม่มีขุมกำลังไหนที่โด่งดังในเรื่องโอสถอีก

พอคิดได้ว่ามีแต่ต้องรักษาอากรบาดเจ็บเท่านั้น จึงค่อยฝึกฝนวิชาเพื่อหาคนแก้แค้นได้ เซี่ยกวงก็ได้แต่อดทน ก้มศีรษะเอ่ย “ท่านพี่ผู้นี้ ได้โปรดเมตตาด้วย ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้าจะ…”

จอมยุทธ์หอธารกระจ่างผู้นั้นตวาด “เจ้าคนตาบอด หากกล่าวเหลวไหลอีก เชื่อหรือไม่ว่าแม้แต่ตาอีกข้างของท่านก็จะบอดไปด้วย”

เมื่อเซี่ยกวงได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเขาก็พลันแปรเปลี่ยน เดือดดาลถึงขีดสุด

ตาขวาที่ถูกคนจากเขาสามขาทำให้บอด บัดนี้มันเป็นต่อมความโกรธของเขา คนอื่นแค่จ้องตาขวาของเขา ก็ทำให้จิตใจเขาลุกโชนแล้ว

ครั้งนี้มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัว เดินมาถึงด้านข้างจอมยุทธ์หอธารกระจ่าง ตำหนิเสียงเบาว่า “อย่าวิจารณ์ความพิการของคนอื่น”

จอมยุทธ์หอธารกระจ่างคนก่อนรีบร้อนเอ่ยว่า “ขอรับ ท่านอาจารย์ เป็นข้าเสียมารยาทแล้ว”

ชายชราผู้นี้เป็นผู้คุมหอธารกระจ่าง เขามองเซี่ยกวง เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ข้ากล่าววาจาไร้มารยาท ล่วงเกินท่านแล้ว เป็นเขาไม่ถูก ขออภัยด้วย”

ครั้นเห็นอีกฝ่ายกล่าวขอโทษ เซี่ยกวงก็แค่นเสียง เพลิงโทสะในใจดับลงไปไม่น้อย

แต่ว่าต่อจากนั้นผู้คุมหอธารกระจ่างก็เปลี่ยนเรื่อง “กระนั้นวาจาเมื่อครู่ของศิษย์ข้ากล่าวถูกแล้ว โอสถประทีปวิสุทธิ์ของพรรคเราไม่มอบให้คนนอก ท่านโปรดกลับไปเถอะ”

ที่ว่าไม่มอบให้คนนอกเป็นเรื่องโกหก แต่ไม่มอบให้เขตตะวันอาคเนย์กลับเป็นเรื่องจริง

“ข้าขอแค่โอสถเม็ดเดียวเท่านั้น…” เซี่ยกวงลองพยายามเป็นครั้งสุดท้าย

ผู้คุมหอธารกระจ่างไพล่มือไว้ข้างหลัง หันหน้าไปทางอื่น ไม่กล่าววาจา

จอมยุทธ์หอธารกระจ่างที่อยู่ด้านข้างเขาตวาด “หนึ่งเม็ดก็ไม่ได้ รีบไปเสีย สุราคารวะไม่ต้องการ ต้องการสุราจับกรอก อย่าบังคับให้พวกท่านบังคับทุบตีท่านลงจากเขา!”

ครั้งนี้ผู้อาวุโสผู้นั้นกลับไม่ได้ตำหนิลูกศิษย์ของตัวเองแล้ว

มีคนในหอธารกระจ่างเดินออกมาสบทบ ต่างมองเซี่ยกวงอย่างระวังตัว

แสงสว่างวูบขึ้น ลวดลายค่ายกลหลายสายผสมกัน กลายเป็นค่ายกลใหญ่เหนือหอธารกระจ่าง มันเริ่มโคจรในทันที ความคมกริบเล็งที่ศีรษะของเซี่ยกวง

พริบตานั้น เซี่ยกวงรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร

เขาถ้าหากไม่ถอย ค่ายกลของอีกฝ่ายจะกระแทกลงมา

เซี่ยกวงพลันเดือดดาล ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีก

ลายสักสายฟ้าสีโลหิตที่ด้านหลังขยายลามออกมา ก่อนจะปกคลุมร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

ภายใต้กการกระตุ้นพิธีอัสนีโลหิต เลือดอันร้อนระอุทั่วร่างเขาเดือดพล่านขึ้น พลังอันกล้าแข็งระเบิดออกมาจากในร่างที่ได้รับบาดเจ็บ

เซี่ยกวงฟันมือขวาออก สายฟ้าสีโลหิตกลายเป็นคมดาบอันน่าสะพรึง ขยายใหญ่ขึ้นหมื่นจั้ง ผนึกรวมกันเป็นดาบยักษ์ฟันฟ้าฟันดินเล่มหนึ่ง ก่อนจะพุ่งใส่หอธารกระจ่างทันที!

คมดาบสะบัดได้ถึงครึ่ง เซี่ยกวงก็เกิดความลังเล

‘ขอยาไม่สำเร็จจึงคิดใช้พลังยุทธ์แย่งชิง นี่เป็นเรื่องการใช้แข็งแกร่งข่มอ่อนแอ ไหนเลยน่าไม่น่าหัวร่อ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซี่ยกวงก็เบี่ยงคมดาบ ไม่ได้ฟันใส่หอธารกระจ่างต่อ

คมดาบอันน่ากลัวทำลายค่ายกลคุ้มสำนักของหอธารกระจ่าง ตกใส่ขุนเขาที่อยู่อีกด้าน

ประกายดาบกระจายไปทั่ว ภูเขาเปลี่ยนเป็นเหวลึกทันควัน!

แสงสายฟ้าอันน่ากลัวเต้นเร่าอยู่ในอากาศไม่หยุด เหมือนกับงูสายฟ้าสีชาดที่หยาบใหญ่หลายตัว ดุร้ายน่ากลัว ไม่ยอมสลายไป

ทั่วทั้งหอธารกระจ่างสะดุ้งโหยง มองเซี่ยกวงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พวกเขามองออกว่าเซี่ยกวงเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวล

ข้อแรก เซี่ยกวงในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บ

ข้อสอง ผู้คุมหอธารกระจ่างเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ทั้งยังครองความได้เปรียบของค่ายกลประจำสำนัก

ต่อให้ต้องลงมือจริงๆ เขาก็มั่นใจว่าจะจัดการเซี่ยกวงได้

แต่พอเห็นดาบนี้ของเซี่ยกวง ทุกคนก็รู้สึกหนาวเหน็บ

ชายชราผู้นั้นใบหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะเขารู้ตัวว่าถึงจะอาศัยค่ายกลประจำสำนัก เขาก็ไม่แน่ว่าจะรับประกายดาบสายฟ้าที่ราวกับทำลายท้องนภานี้ได้

คนสวมอาภรณ์สีแดงที่มีผมหงอก เหลือเพียงตาเดียวตรงหน้า ขนาดได้รับบาดเจ็บก็ยังเหนือกว่าเขา!

ถ้าหากคนผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ จะน่าพรั่นพรึงถึงเพียงไหน

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งไม่กล้ามอบโอสถประทีปวิสุทธิ์ให้เซี่ยกวง

วันหน้าหากในเทือกเขายาวเหยียดหรือเขตเพลิงทักษิณ มีผู้ทรงอำนาจมาคิดบัญชีกับเขา พวกเขาก็ยิ่งรับโทษไม่ไหว

คนในหอธารกระจ่างกำลังกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก กลับเห็นดาวร้ายที่ทำให้พวกเขาปวดศีรษะ หมุนกายจากไปแล้ว

‘ไฉนจึงไม่ใช้ดาบเมื่อครู่แสดงอานุภาพ’ คนในหอธารกระจ่างล้วนสับสน ‘หรือว่าเขามีความสามารถออกแค่ดาบเดียว แต่ดูไม่เหมือนเป็นเช่นนั้น เพราะสภาวะของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น’

เซี่ยกวงหันไปมอง ถ่มน้ำลายลงพื้น หมุนกายเดินจากไปอีกครั้ง ปล่อยคนในหอธารกระจ่างที่ทั้งแตกตื่นทั้งระวังตัว ไม่กล้าไล่ตาม

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเหตุการณ์นี้บนฟ้า อดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “โอ้? ทะนงตนไม่ยอมข่มเหงคนอ่อนกว่าหรือนี่ น่าสนใจนัก…”