ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 962 ถูกข้าสังหารทิ้งแล้ว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่กับเยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่บนหลังพ่นพ่าน ต่างก้มหน้ามองดูเซี่ยกวงที่จากไป

“จากไปเช่นนี้หรือ อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างชัดเจน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแท้ๆ พาให้อากรบาดเจ็บหนักหนาขึ้นกว่าเดิมอีก”

อาหู่แยกเขี้ยว “เขาไม่ใช่ต้องการแก้แค้นหรอกหรือ เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว การรักษาหลักการสำคัญกว่าการแก้แค้นให้ครอบครัวหรือขอรับ”

“ไม่แน่นัก” เยี่ยนจ้าวเกอกอดอก “เขายังไม่ถึงเวลาที่สิ้นหวังที่สุด แม้ว่าใกล้ๆ นี้นอกจากหอธารกระจ่างแล้ว จะไม่มีที่ไหนเชี่ยวชาญการหลอมโอสถอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความหวังอื่นโดยสิ้นเชิง”

“คนหากไม่ถึงเวลาสิ้นหวังอย่างแท้จริง ความเชื่อส่วนใหญ่ไม่มีทางถูกสั่นคลอน นี่อธิบายได้ว่าเขามีจิตใจแน่วแน่ และอธิบายได้ว่าเขายังคงมีความหวังอยู่”

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเป็นปกติ “หากถึงคราวจำเป็นจริงๆ ค่อยทำลายขีดจำกัดล่างก่อนหน้าของตัวเอง บางครั้งแม้นจะดูง่ายดาย แต่ขีดจำกัดล่างมีแต่ตอนแรกเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุด หลังจากทำลายได้ครั้งหนึ่ง ก็จะทำลายได้อีกเรื่อยๆ”

อาหู่เกาศีรษะ ถามว่า “เช่นนั้นคุณชาย ต่อจากนี้พวกเราจะทำอะไรดี สังเกตต่อไปหรือ”

“ไม่จำเป็นแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ “ที่ข้าสังเกตเขา เพราะอยากจะทำความเข้าใจเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”

มนุษย์เวลาพบเจอความอดอยากและสงครามจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก เมื่อถึงคราวสิ้นหวัง การขายบุตรธิดา แลกเปลี่ยนลูกในไส้เป็นอาหาร กินคนด้วยกันเอง ก็ใช่ว่าไม่มี

ในสภาพที่สิ้นความหวังถึงขีดสุด สำหรับคนทั่วไปแล้วถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา

เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่จนปัญญา

แต่ว่าถ้าหากกดดันคนจนไปอยู่ในสภาพสิ้นหวังที่ไม่อาจถอยได้อีก ก็ต้องดูความแน่วแน่ จริยธรรม และความเชื่อของเขาเอง การทดสอบที่โหดหินเช่นนี้ เดิมทีเป็นการทารุณอย่างหนึ่ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ยังคงมีจิตใจแน่วแน่ ยอมตายไม่ยอมรับความอัปยศ มีคุณค่าพอให้นับถือ แต่ว่าคนที่จงใจสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับมีจิตเจตนาช่วงชิงชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอไม่นำพาต่อการเอาชีวิตของเขาอื่น แต่เขาไม่ได้มีต้องการสังหารเซี่ยกวง

อาหู่ยิ้มซื่อ “เรื่องอื่นข้ามองไม่ออก แต่ข้ามองออกอยู่เรื่องหนึ่งคือ อย่าพูดเรื่องที่เขาตาบอด ไม่อย่างนั้นผู้มีพระคุณก็อาจกลายเป็นศัตรูได้”

เซี่ยกวงในตอนนี้เดิมทีเป็นคนใจร้อน อะไรสะกิดนิดหน่อยก็โมโหทันที

คนอื่นหากเยาะเย้ยเขาที่ตาบอด เขาจะระเบิดอารมณ์ทันที

เมื่อครู่เป็นผู้คุมหอธารกระจ่างเอ่ยปากขอโทษก่อน ไม่อย่างนั้นดาบของเซี่ยกวงคงจะไม่มีการปราณี

ต่อให้ไม่เล่นงานคนอื่น แต่ก็ไม่ต้องการโอสถประทีปวิสุทธิ์ เซี่ยกวงจะสังหารจอมยุทธ์หอธารกระจ่างที่เยาะเย้ยเขาว่ามีตาเดียว จึงค่อยจากไป

ตอนนี้แม้จะผละจากหอธารกระจ่าง แต่เซี่ยกวงก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง เหมือนกับสิงโตที่อารมณ์ไม่ดีตัวหนึ่ง

เขายืนอยู่ในป่าอันหนาทึบระหว่างเขายาวเหยียด มองฟ้าดินที่กว้างใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป ในที่สุดความโมโหก็ค่อยทุเลาลง

เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เซี่ยกวงก็อดยิ้มอย่างขื่นขมไม่ได้ ‘สุดท้ายก็ไม่ได้โอสถมา ต่อจากนี้ควรทำอย่างไรดี’

เขายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากอีกครั้ง รู้สึกคับข้องใจ ‘ตอนนี้เราแม้แต่เรื่องของตัวเองหากพลาดไปคงไม่รอดถึงพรุ่งนี้เช้า จะไปตามหาพี่ใหญ่กับพี่หญิงใหญ่ได้อย่างไร จะสะสางความแค้นให้ทุกคนได้อย่างไร’

สามขั้นตอนที่กำหนดไว้คร่าวๆ แค่ขั้นตอนแรกก็ล้มเหลวแล้ว

เซี่ยกวงขมขื่น หันไปมองทิศทางของหอธารกระจ่างโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ส่ายหน้า ออกเดินทางอีกครั้ง

เขาคิดจะเดินทางอีกสักระยะ จากนั้นค่อยหาคนถามไถ่ ดูว่าใกล้ๆ ยังมีโอสถอะไรที่รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้หรือไม่

หลังจากเดินไปได้สักพักใหญ่ เซี่ยกวงพลันได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากด้านบน

เขาเงยหน้าไปมอง ก่อนจะเบิกตาโพลงทันที

ผู้อาวุโสเขาสามขาที่เมื่อครู่หนีเขาไป ถึงกับปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า

และสิ่งที่ทำให้เซี่ยกวงสั่นสะท้านก็คือ ประกายกระบี่สายหนึ่งวูบผ่าน ศีรษะของผู้อาวุโสเขาสามขาผู้นั้นลอยขึ้นฟ้าทันที

เขารีบมองทิศทางที่ประกายกระบี่มา เห็นหมีสยงเมาขนสีดำขาว มีตาสีดำกลมโตตัวหนึ่ง เหยียบอากาศ ลอยอยู่บนฟ้า

บนหลังของอสูรประหลาดตัวนั้น คนหนุ่มในอาภรณ์สีขาว ทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเอื้อมมือออกมาข้างหนึ่ง ตั้งนิ้วชี้และนิ้วกลางดุจกระบี่ ปลายนิ้วมีประกายกระบี่กะพริบ

เซี่ยกวงมองภาพตรงหน้า ความรู้สึกแรกไม่ใช่ความสุขและความโล่งใจ แต่เป็นความสับสน

คนที่เมื่อครู่ตนลำบากแทบตาย ใช้พลังทั้งหมด แต่ก็ยังคงหนีไปได้ กลับตายด้วยน้ำมือของคนอื่นง่ายดายถึงเพียงนี้…

เขาเข้าไปใกล้โดยสัญชาตญาณ เห็นศพของผู้อาวุโสเขาสามขาที่ร่างและศีรษะแยกกัน กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า

คนทั่วไปหากตกลงมาจากความสูงขนาดนั้น เกรงว่าเลือดเนื้อจะกลายเป็นเลอะเลือน

แต่ว่าผู้อาวุโสเขาสามตาต่อให้บาดเจ็บสาหัส กายเนื้อก็ยังแข็งแกร่งถึงขีดสุด

ตอนนี้พอไม่มีพลังชีวิต เมื่อตกลงมาแล้วร่างก็ยังคงไม่แหลก เพียงกลิ้งอยู่ในฝุ่น

ใบหน้าของชายอาวุโสยังคงทิ้งความแตกตื่นหวาดกลัว ตายตาไม่หลับเอาไว้

เซี่ยกวงจับจ้องศีรษะข้างนั้น ครู่ต่อมาค่อยหัวเราะร่า หัวเราะจนตัวงอ

แต่ว่าหลังจากนั้น เขาก็เปลี่ยนมาเป็นร่ำไห้

เยี่ยนจ้าวเกอตบศีรษะของพ่านพ่านเบาๆ เป็นการบอกให้มันพุ่งลงบนพื้นดิน

เซี่ยกวงแตกตื่น ค่อยๆ หยุดเสียงร้องไห้ เงยหน้ามองเยี่ยนจ้าวเกอ “ท่าน…ท่านคือ…”

“ข้าแซ่เยี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอแห่งเขากว่างเฉิง” เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างสงบนิ่ง

“เยี่ยนจ้าวเกอแห่งเขากว่างเฉิง?” เซี่ยกวงแตกตื่นกว่าเดิม หลังจากอึ้งอยู่กับที่สักพัก ก็พลันคารวะเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าแซ่เซี่ย ชื่อเซี่ยกวง เป็นคนในเขตตะวันอาคเนย์ เป็นลูกศิษย์ของตระกูลเซี่ยแห่งยอดเขาสดับอัสนี”

“คนจากเขาสามขาผู้นี้ล้างตระกูลข้า แม้มุ่งมาดจะแก้แค้น ทว่าพลังของข้ากลับไม่เพียง ขอบคุณคุณชายเยี่ยนที่ช่วยข้าแก้แค้น”

เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาเซี่ยกวงตั้งแต่หัวจรดเท้า

เพราะว่าการต่อสู้ก่อนหน้า สารรูปของเขาจึงเปลี่ยนจากเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยกำลังวังชา เป็นบุคคลที่ย่างเข้าสู่วัยชรา มีผมหงอกแซมขึ้นมาแล้ว

แตกต่างกับการเปลี่ยนแปลงของรูปลักษณ์ภายนอกของจอมยุทธ์จำนวนมาก ที่ทำได้ตามใจ

การเปลี่ยนแปลงภายนอกของเซี่ยกวง สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอายุขัยของเขาออกมา

ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเขาเป็นครั้งแรก สำหรับอายุขัยของจอมยุทธ์แล้ว อายุของเซี่ยกวงอ่อนเยาว์ยิ่ง เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งจริงๆ

ทว่าตอนนี้ เทียบกับอายุขัยดูสักครั้ง ก็จะพบว่าเขากำลังจะล่วงสู่วัยชราแล้ว

“ตอนข้าหาทางไปยังอารามเอกนิกาย เคยผ่านเทือกเขาเสียงระรัว เรื่องของตระกูลท่าน ข้าได้ยินมาแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตามตรง “เพียงแต่ในตอนนั้นไม่ทราบว่าตระกูลเซี่ยยังมีเด็กกำพร้าคนหนึ่งรอดชีวิตมาได้”

เซี่ยกวงได้ยินดังนั้นก็พลันคิดถึงครอบครัวที่ตายไป เกิดความเศร้าเสียใจอีกครั้ง

“ตอนข้าอยู่ในอารามเอกนิกาย ได้เจอจอมยุทธ์เขาสามขาไม่น้อย คนผู้นี้เป็นหนึ่งในนั้น” เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองผู้อาวุโสเขาสามขา ที่ร่างและศีรษะหลุดออกจากกันที่อยู่บนพื้นผู้นั้น “พวกเขาต่างเป็นคนที่ทำลายตระกูลของท่านกระมัง”

เซี่ยกวงกัดฟัน “ใช่แน่นอน! ตอนนั้นเจ้าสำนักเขาสามขาพาคนมา ล้างโคตรตระกูลเซี่ยของข้า!”

“พวกเขาล้วนถูกข้าสังหารทิ้งหมดแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเฉื่อยชา

เซียกวงได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวต่อ “แต่ว่าท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าสังหารพวกเขา เป็นเพราะพวกเขาแย่งชิงของวิเศษในอารามเอกนิกายกับข้า”

“นั่น…นั่นข้าก็ยังต้องขอบคุณท่านอยู่ดี!” เซียกวงได้สติ กล่าวด้วยความตื้นตัน

เยี่ยนจ้าวเกอไพล่สองมือไว้ด้านหลัง มองดูเซี่ยกวง “เช่นนั้นต่อจากนี้ท่านเตรียมจะทำอะไร คนที่ทำลายตระกูลเซี่ยของท่านและคนที่เข้าไปในอารามเอกนิกาย ไม่ใช่เขาสามขาทั้งหมด สำนักที่อยู่บนที่ราบสูงยอดขจีของพวกเขา ยังมีลูกศิษย์เหลืออีกไม่น้อย”