ตอนที่ 1388 การต่อสู้สามสนาม

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

น้ำเสียงอันอ่อนโยนและมีเมตตาเสียงหนึ่งดังขึ้น “ศึกสองตำหนัก ยอดฝีมือมากมาย ไหนจะยอดฝีมือแห่งดินแดนสี่ทิศอีก หากเปิดศึกสู้รบกันอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าแดนตะวันออกกับแดนเหนือจะต้องถูกทำลายไปถึงครึ่งแดนเป็นแน่”

“นอกจากทั้งสองตำหนักจะได้รับบาดเจ็บล้มตายกันแล้ว ยังมีชาวประชาผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ ต้องโดนผลกระทบไปด้วย ได้โปรดพวกเจ้าคิดเผื่อชาวประชาตาดำ ๆ ล้มเลิกศึกรบในครั้งนี้เสียเถิด”

เมื่อได้ยินเสียงของหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน มู่เฉียนซีก็นึกถึงอินรั่วเฉินที่หลอกลวงนางขึ้นมาได้

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนักว่า “หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน มาโน้มน้าวให้หยุดศึกรบ ข้าว่าให้โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอินมาโน้มน้าวจะดีกว่านะ”

โอรสศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน นางอยากจะประจานจริง ๆ ว่าแคว้นเทพฟ้านอินโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงเกินไปแล้ว

หลอกลวงเกินไปแล้วจริง ๆ!

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวว่า “หากรั่วเฉินไม่ได้เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ เขาก็คงมาโน้มน้าวเองแล้ว หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ประมุขน้อยมู่ พวกเจ้าจะยอมรับคำขอร้องของข้าหรือไม่”

มู่เฉียนซีกล่าว “การบาดเจ็บล้มตายนี้ เดิมทีข้าก็ไม่อยากให้เกิด! หากตำหนักตงจี๋ยอมส่งตัวผู้อาวุโสสูงสุดผู้ทรยศหักหลังตำหนักเป่ยหานกับหมิงจีแห่งแดนนรกออกมาให้ข้า ข้าก็คร้านที่จะทำศึกสู้รบ!”

ต้องจับตัวผู้อาวุโสสูงสุดมาให้ได้ เพราะนางยังต้องช่วยอารอง!

หากไม่มีหมิงจี ไป๋อู๋ห่ายกับไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่หมิงจีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับคำสาปของจิ่วเยี่ย

โน้มน้าวตำหนักเป่ยหานไม่ได้ ทางด้านตำหนักตงจี๋ก็เช่นกัน

ลูกน้องของมู่หลินหลางก็มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวเท่านั้น ตราบใดที่มอบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้พวกเขา พวกเขาก็จะไม่ทำศึกสู้รบนี้!

ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “เงื่อนไขอีกข้อคือมู่เฉียนซีต้องตาย มู่เฉียนซีต้องตายเท่านั้น!”

ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่แคว้นเทพฟ้านอินมาจะมาตัดสินได้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว จิตใจที่เมตตาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้

และเขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น!

สุดท้ายเขาก็เอาไพ่ที่เหนือกว่าออกมา “ผู้คุมแดนไม่มีทางให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแน่นอน หากพวกเจ้าจะเปิดศึกสู้รบกันจริง ๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในแดนแห่งนี้ทั้งหมดจะถูกขับไล่ออกไปทั้งหมด!”

“นอกจากองค์รัชทายาทเป่ยกงกับมู่หลินหลางแล้ว หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ดวงจิตของหมิงจี รวมถึงคนของแดนนรกทั้งหมดจะถูกขับไล่ออกไป!”

จะขับไล่เสี่ยวไป๋ไปอย่างนั้นเหรอ!

มู่เฉียนซีคิ้วกระตุกพร้อมกับความรู้สึกโกรธเกรี้ยวที่ปะทุขึ้นมา “ตาเฒ่าหัวโล้น นี่เจ้าพูดบ้าอะไร! เสี่ยวไป๋คือหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน เป็นคนของดินแดนสี่ทิศ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขับไล่เขาไปด้วย!”

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “แต่พลังของเขาเหนือขีดจำกัดของดินแดนสี่ทิศแล้ว!”

“ช่างเป็นคำโต้แย้งอย่างไร้เหตุผลยิ่งนัก!”

“นี่เป็นคำพูดของท่านผู้คุมแดน”

ทางด้านหมิงจีก็ไม่ยอมไปแน่นอน หากต้องกลับไปที่แดนนรกจริง ๆ นางต้องถูกหวงจิ่วเยี่ยฆ่าจนดวงจิตดับสลายเป็นแน่

ส่วนกู้ไป๋อีเองก็ไม่อยากจากไปเช่นกัน!

ทั้งสองฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง สถานการณ์มาถึงทางตันแล้ว!

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวว่า “ข้ามีข้อเสนอ!”

“ว่ามา!”

“ว่ามา!”

ทั้งสองฝ่ายแสดงความสนใจขึ้นมาพร้อมกัน

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “ทะเลไม่หวนคืน ทะเลแห่งนั้นไร้ซึ่งผู้คนอาศัย พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายเปิดศึกสู้รบกันที่นั่นได้ โดยการส่งคนไปสามคน เอาชนะให้ได้สองในสาม!”

“คนแรก คือคนที่องค์รัชทายาทเป่ยกงกับคนที่องค์หญิงหลินหลางส่งมา!”

“คนที่สอง เป็นการต่อสู้ระหว่างหัวหน้าตำหนักของทั้งสอง!”

“คนที่สาม เป็นการต่อสู้ของนายน้อยกับประมุขน้อย!”

“ฝ่ายใดได้รับชัยชนะจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการไป เช่นนี้ก็จะสามารถลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตลงได้มาก แถมยังไม่ทำลายความมั่นคงของดินแดนสี่ทิศอีกด้วย เป็นเช่นไร?”

“ไม่ได้!”

“ไม่ได้!”

น้ำเสียงที่เปล่งคำว่า ‘ไม่ได้’ สองเสียงนี้ล้วนออกมาจากฝ่ายของตำหนักตงจี๋เพียงฝ่ายเดียว

นั่นก็คือไป๋อู๋ห่ายและเฟิงอวิ๋นซิว!

ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ไม่ได้เด็ดขาด มันไม่ยุติธรรม ความแข็งแกร่งของข้ากับกู้ไป๋อีห่างชั้นกันมากเกินไป!”

ทั้งสองล้วนแต่เป็นหัวหน้าตำหนัก แต่ไป๋อู๋ห่ายผู้เป็นหัวหน้าตำหนักกลับกล่าวคำพูดนี้ออกมาอย่างไร้ยางอาย ไม่ไว้หน้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เขาต้องการมีชีวิต ไม่ต้องการไว้หน้าตัวเองแต่อย่างใด หากต้องเผชิญหน้ากับกู้ไป๋อี เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน!

เฟิงอวิ๋นซิวไม่ตอบตกลงเพราะว่าเขาไม่อยากต่อสู้กับมู่เฉียนซี ไม่อยากทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย

เห็นท่าทางเช่นนั้นของเฟิงอวิ๋นซิว คนของมู่หลินหลางเหล่านั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “นายน้อยเฟิง เจ้ากลัวเหรอ? ก็แค่ประมุขน้อยแห่งกองกำลังระดับสามคนเดียว นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสู้ไม่ได้”

“ได้ยินมาว่านางก็เป็นแค่สาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่งก็เท่านั้น หากสู้ไม่ได้ เจ้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบองค์หญิงล่ะ”

“……”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “คนที่ข้าจะสู้ด้วยไม่ใช่มู่เฉียนซี แต่เป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน กู้ไป๋อี!”

ไป๋อู๋ห่ายตกตะลึงขึ้น “นี่เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”

“ในเมื่อเจ้าไม่กล้าสู้กับกู้ไป๋อี ข้าก็จะสู้กับเขาเอง!”

“นี่เจ้าคิดจะยอมแพ้ให้มู่เฉียนซี ไม่อยากเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาใช่หรือไม่!” ไป๋อู๋ห่ายกล่าว

เฟิงอวิ๋นซิว “ข้าไม่ได้ยอมแพ้ ข้าจะสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อเอาชนะกู้ไป๋อีให้ได้ ชนะรอบนี้ได้ก็จะได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาครอง!”

“นี่เป็นการตัดสินใจของข้า ข้าแค่บอกให้เจ้ารับรู้ ไม่ได้ขอให้เจ้าออกความเห็น”

สีหน้าของคนเหล่านั้นเคร่งขรึมลง แม้ว่าพวกเขาจะใช้โอกาสนี้ดูถูกเหยียดหยามเฟิงอวิ๋นซิว แต่อย่างไรเฟิงอวิ๋นซิวก็เป็นคนตระกูลเฟิง ไม่อาจดูถูกได้

ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของเขาก็แล้วกัน

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ คู่ต่อสู้ของเฟิงอวิ๋นซิวก็คือกู้ไป๋อี!”

ทางด้านตำหนักเป่ยหาน เมื่อมู่เฉียนซีรู้ข่าวนี้ก็ตกใจมาก

อวิ๋นซิว นึกไม่ถึงเลยว่าจะเลือกต่อสู้กับเสี่ยวไป๋!

กู้ไป๋อีกล่าวเสียงต่ำ “ซีเอ๋อร์ วางใจเถอะ!”

เขากล่าวถามว่า “คู่ต่อสู้ของเฟิงอวิ๋นซิวคือข้า แล้วคู่ต่อสู้ของซีเอ๋อร์คือใคร หากเป็นไป๋อู๋ห่ายแล้วละก็ ข้าขอปฏิเสธ!”

“แล้วข้าล่ะ?” ไป๋เหยียนเอ๋อร์เดินเข้ามาพลางเอ่ยถาม

“มู่เฉียนซีมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้า เจ้ากล้าหรือไม่?”

กู้ไป๋อีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาใช่ว่าจะไม่รู้ว่าในร่างของบุตรสาวไป๋อู๋ห่ายผู้นี้นั้นมีวิญญาณของหมิงจีอาศัยอยู่

มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเจ้าอยากตาย มีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่กล้ากันล่ะ”

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “เลือกคู่ต่อสู้ได้แล้วสามคู่ มีใครมีความคิดเห็นอื่นอีกหรือไม่?”

“ไม่มีแล้ว!”

“เช่นนั้นก็เชิญทุกคนบอกเงื่อนไขมาได้เลย…!”

หากตำหนักตงจี๋เป็นฝ่ายชนะ พวกเขาจะยึดเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไป พร้อมกับต้องการให้มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีตาย รวมถึงจะเอาหอหมอปีศาจไปครอบครองด้วย

หากตำหนักเป่ยหานชนะ พวกเขาก็จะเอาตัวผู้อาวุโสสูงสุด เอาตำหนักตงจี๋มาครอบครอง รวมถึงเอาชีวิตของไป๋อู๋ห่ายกับไป๋เหยียนเอ๋อร์ที่มีวิญญาณของหมิงจีอยู่ในร่างรวมอยู่ด้วย

ม้วนกระดาษสีทองสองม้วนปรากฏขึ้น และพู่กันก็ลอยอยู่กลางอากาศ

“ทั้งสองฝ่ายลงนาม ข้าหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินเป็นผู้รับรอง! การต่อสู้ในครั้งนี้ ข้าจะเชิญอรหันต์สิบแปดองค์มาเป็นผู้ตัดสิน รับรองว่าการตัดสินจะยุติธรรมอย่างแน่นอน”

กู้ไป๋อีกับไป๋อู๋ห่ายลงนาม อันที่จริงมันก็เป็นเพียงแค่การพิสูจน์อย่างหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรมากนัก!

“หากผู้แพ้ทำผิดข้อตกลง แคว้นเทพฟ้านอินของข้าก็จะช่วยผู้ชนะ ให้ผู้แพ้ทำตามข้อตกลงให้ได้”

กระดาษแผ่นเดียวไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่ความแข็งแกร่งของแคว้นเทพฟ้านอินกลับทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัว

“วันและเวลาในการสู้รบ พวกเจ้าทั้งสองเป็นฝ่ายกำหนด!”

“ช้ามากไม่ได้ อีกสามวันก็แล้วกัน!” ชายชราผมดำผู้นั้นกล่าว

มู่เฉียนซี “ตกลง อีกสามวัน!”

หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “ดี! การต่อสู้จะเริ่มขึ้นในอีกสามวันหลังจากนี้ ที่เกาะไม่หวนคืนแห่งทะเลไม่หวนคืน”

จากนั้นแสงแห่งธรรมสีทองอร่ามนั้นได้จางหายไป และผู้ไกล่เกลี่ยอย่างหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินก็ได้อันตรธานหายไปทันที

วันเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว!

การต่อสู้นี้เป็นการตัดสินชะตาของกองกำลังระดับสามทั้งสองกองกำลัง ผู้มีความสามารถแห่งดินแดนสี่ทิศจำนวนมากต่างพากันมาที่เกาะไม่หวนคืนแห่งนี้ พร้อมที่จะเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นครั้งนี้แล้ว

เพื่อจับจองตำแหน่งที่นั่งให้เห็นชัด ๆ พวกเขาเหล่านี้เดินทางมาถึงก่อนผู้ต่อสู้ทั้งฝ่ายเสียอีก

ทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็มืดครึ้มลง มีคนกล่าวขึ้นว่า “ตำหนักตงจี๋ คนของตำหนักตงจี๋มากันแล้ว”

.