ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 973 งานชุมนุม

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุถึงตีนเขามหาวิญญาณ ด้านบนเขามีคนมารวมตัวกันไม่น้อยแล้ว

นักพรตตงเฉวียนผู้ครองเขามหาวิญญาณ ในฐานะเจ้าถิ่น เขาอยู่ในช่วงเวลาที่ฮึกเหิมพอดี

ผู้คุมหางเสือจากขุมกำลังส่วนใหญ่ในเทือกเขาสันติภาพ รวมถึงจอมยุทธ์พเนจรที่มีชื่อเสียงอีกจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ล้วนรวมตัวกันที่เขามหาวิญญาณ

ก่อนหน้าวันนี้ พวกเขาใช่ว่าจะฟังคำสั่งเขามหาวิญญาณ

สถานการณ์การต่อสู้กันระหว่างสำนักรัตติกาลและเขามหาวิญญาณสองยอดฝีมือ ทำให้ขุมกำลังอื่นๆ ในเทือกเขาสันติภาพมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวมากมาย สามารถทำอะไรได้ตามอิสระ

ถึงแม้การเป็นนกสองหัวจะน่ารังเกียจมากที่สุด เป็นการล่วงเกินทั้งสองฝ่าย แต่ว่าก่อนที่สำนักรัตติกาลกับเขามหาวิญญาณจะมีผลแพ้ชนะ พวกเขาจำเป็นต้องชิงการสนับสนุนส่วนใหญ่

กระนั้นวันคืนที่หวังไว้ก็คล้ายกับมาถึงแล้ว

เขามหาวิญญาณคว้าโอกาส ยืมสภาวะจากเนินต้นจักรพรรดิแห่งเขาลีลาหงส์ ชิงเคลื่อนไหวก่อน

สำนักรัตติกาลตกเป็นฝ่ายตามหลังก้าวหนึ่ง คิดจะแย่งชิงโอกาสกลับมาย่อมยากเป็นหมื่นเป็นพันเท่า

สำนักอื่นๆ ในเทือกเขาสันติภาพใช่ว่าจะยอมสวามิภักดิ์กับเขามหาวิญญาณ แต่ว่ายอดฝีมือจากเนินต้นจักรพรรดิมาถึงงานประชุมด้วยตัวเอง ทุกคนได้แต่ต้องยอมมา

แนวโน้มใหญ่คือเขามหาวิญญาณใช้เรื่องนี้กำหนดสภาวะของตัวเอง เพื่อกลายเป็นผู้นำยุทธภพในเทือกเขาสันติภาพ

เจ้าสำนักรัตติกาลเข้าฌานปิดตาย แต่เพื่อไม่ล่วงเกินเนินต้นจักรพรรดิ จึงมียอดฝีมือในสำนักมายังเขามหาวิญญาณ

นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกขาดูจะต่ำต้อยกว่าช่วงหนึ่ง

เพียงแต่ว่าสำนักรัตติกาลจำเป็นต้องกล้ำกลืนความคับข้องนี้ไว้ ได้แต่เคี้ยวให้แหลกแล้วกลืนลงท้องไป

ผู้อาวุโสสำนักรัตติกาลที่มาที่นี่ พอเห็นนักพรตตงเฉวียนที่ฮึกเหิม ก็อึดอัดใจจนยากจะบรรยายด้วยวาจา

เขาไม่ได้อารมรณ์ดีมากนัก คนในเขามหาวิญญาณอารมณ์ดีกว่ามาก

“ขอบคุณสหายทุกท่านที่มาที่นี่เพื่อร่วมมือกันทำภารกิจใหญ่ในวันนี้” นักพรตตงเฉวียนนั่งบนที่นั่งประธาน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “งานชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใด ทุกท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่ามีจอมยุทธ์ตะวันออกเฉียงใต้คนหนึ่งชื่อเยี่ยนจ้าวเกอ อยู่ในบริเวณตะวันออกของเขตเพลิงทักษิณของพวกเรา”

“คนหนุ่มผู้นี้เคยสังหารลูกศิษย์ของเนินต้นจักรพรรดิ มีโทษสถานหนัก ตายไปก็ไม่พอชดใช้ เพียงแต่ว่าเขาเจ้าเล่ห์เพท์ทุบาย ก่อนหน้านี้จึงไม่มีโอกาสสังหาร”

“ครั้งนี้เขามาหาที่ตายในเขตเพลิงทักษิณของพวกเราด้วยตัวเอง พวกเราจอมยุทธ์ทิศใต้ล้วนสมควรปลุกปลอบกำลังใจ สังหารเขาทิ้งเสีย แล้วจึงค่อยปลอมประโลมวิญญาณของผู้ตายที่อยู่บนสวรรค์ได้”

นักพรตตงเฉวียนมองรอบๆ “ครั้งนี้ที่เชิญทุกท่านมาที่นี่ก็เพราะสาเหตุนี้ นอกจากสหายทุกท่านในเทือกเขาสันติภาพแล้ว ยังมีท่านหยวนจากเนินต้นจักรพรรดิแห่งเขาลีลาหงส์ และท่านจ้าวจากพรรคกระบี่คลื่นม่วงในทะเลเจิดจ้าทางใต้”

บนที่นั่งด้านข้างนั่นไว้ด้วยชายชราผมขาวผู้หนึ่ง เขามีท่าทีเคร่งขรึม ทั่วทั้งร่างมีปราณวิญญาณสีแดงหมุนวน เหมือนกับเปลวเพลิง

ม่านตาของเฒ่าชราไม่ได้ขุ่นมัวเหมือนคนแก่ทั่วไป แต่กลับกระจ่างใสยิ่ง ขณะเดียวกันในลูกตาดำก็มีเงาแสงของหงส์เพลิงกระพือปีกอยู่เลือนราง

รูปร่างภายนอกของเขาดูชรายิ่งกว่าราชาอัคคีเผิงเฮ่อเสียอีก แต่ความจริงแล้วกลับมีวัยวุฒิน้อยกว่าเผิงเฮ่อ

คนผู้นี้มีชื่อว่าหยวนเสี่ยนเฉิง ฉายา ‘เนตรหงส์’ เป็นศิษย์เอกของประมุขทักษิณจวงเซิน มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่อยู่บนโลกซ้อนโลก

ตอนที่ตะวันออกเฉียงใต้กับทิศใต้ยังไม่ได้ฉีกหน้ากันโดยสิ้นเชิง ก็มีการกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา

กำลังหลักของแต่ละฝ่าย ก็คือหลงฮั่นหัว ศิษย์เอกทางตะวันออกเฉียงใต้ที่ในตอนนั้นยังใช้แซ่หลิน รวมถึงหยวนเสี่ยนเฉิง ‘เนตรหงส์’ ศิษย์เอกทิศใต้ผู้นี้

ถัดจากหยวนเสี่ยนเฉิงนั่งไว้ด้วยบุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่ง

บุรุษผู้นี้ไม่ใช่จอมยุทธ์จากเทือกเขาสันติภาพ แต่คือจ้าวเจิน ประมุขพรรคกระบี่คลื่นม่วง ขุมกำลังใหญ่ขุมหนึ่งในทะเลเจิดจ้าซึ่งอยู่ทางใต้ของเทือกเขาสันติภาพ

เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงทางตะวันออกของเขตเพลิงทักษิณ คิดจะกลับตะวันออกเฉียงใต้ ก็ทำได้เพียงเดินทางไปยังเขารอบวงแล้ว

และหากจะเข้าไปในเขารอบวง ก็ต้องผ่านเทือกเขาสันติภาพ

ที่แล้วมาจ้าวเจินผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหยวนเสี่ยนเฉิง วันนี้หยวนเสี่ยนเฉิงมาที่เทือกเขาสันติภาพ รวบรวมกลุ่มคนไล่ตามขัดขวางเยี่ยนจ้าวเกอ จ้าวเจินก็มาช่วยเหลืออีกแรง

ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้ม พลางนั่งอยู่ที่นั่นเงียบๆ เพียงแต่ตอนที่นักพรตตงเฉวียนแนะนำตัว เขาก็พยักหน้า

แม้จะดูธรรมดา ทว่าจอมยุทธ์เทือกเขาสันติภาพที่อยู่รอบๆ รวมถึงนักพรตตงเฉวียน กลับไม่กล้าดูแคลนเขา

คนผู้นี้ควบคุมพรรคกระบี่คลื่นม่วง แทบเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในทะเลเจิดจ้า ถือเป็นผู้ทรงอำนาจที่ยึดครองสถานที่แห่งหนึ่งในเขตเพลิงทักษิณอีกคนหนึ่ง

“สหายทุกท่านที่อยู่ที่นี่ล้วนมีความสามารถน่าทึ่ง ท่านหยวนกับท่านจ้าวย่อมไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง” นักพรตตงเฉวียนกล่าวสืบต่อ “ถ้าหากว่าขัดขวางโจรน้อยแซ่เยี่ยนนั่นได้ เขาย่อมต้องถูกสังหารสถานเดียว”

“แต่ทุกท่านก็ทราบว่า เทือกเขาสันติภาพของพวกเรามีภูมิประเทศซับซ้อนเกินไป สะดวกแก่การซ่อนตัว การตามหาคนผู้หนึ่งไม่แตกต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร”

“จอมยุทธ์ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาสันติภาพหลายชั่วรุ่นอย่างพวเราย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่คิดจะจับเยี่ยนจ้าวเกอนั่น จำเป็นต้องให้ทุกท่านรวมกลุ่มเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียง”

นักพรตตงเฉวียนว่า “งูไม่มีหัวไม่ได้ โชคดีที่ครั้งนี้ท่านหยวนแห่งเนินต้นจักรพรรดิออกจากเขารอบวงมาที่นี่โดยเฉพาะ ทำให้พวกเราสามารถรับคำสั่งเดียวกันได้”

เขาแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ว่าจอมยุทธ์ในท้องถิ่นซึ่งอยู่รอบๆ ล้วนลอบแค่นเสียงในใจ

หยวนเสี่ยนเฉิงย่อมสั่งการได้ แต่ว่าเขาไม่ได้คุ้นเคยภูมิประเทศของเทือกเขาสันติภาพเท่าใดนัก ในการปฏิบัติจริง ก็ยังต้องใช้จอมยุทธ์ในท้องถิ่นของเทือกเขาสันติภาพอยู่ดี

และคนผู้นั้นย่อมเป็นเขานักพรตตงเฉวียน

เพียงแต่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า หยวนเสี่ยนเฉิงยินยอมให้นักพรตตงเฉวียนเป็นจิ้งจอกยืมบารมีพยัคฆ์ โดยที่สำนักรัตติกาลและขุมกำลังอื่นๆ ได้แต่ต้องบีบจมูกยอมรับ

ความคับข้องในใจแค่คิดก็ทราบแล้ว

“ข้าในฐานะเจ้าถิ่น ที่เชิญสหายทุกท่านมางานประชุมครั้งนี้ ก็เพื่อถกถึงขั้นตอนที่จะทำให้เยี่ยนจ้าวเกอนั่นไม่ได้กลับออกไปอย่างมีชีวิต” นักพรตตงเฉวียนแม้จะได้ใจ แต่ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใดทั้งสิ้น

ถ้าหากว่าหลงระเริงจนลืมตัว ทำให้หยวนเสี่ยนเฉิงไม่ยินดี เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว

ดังนั้นแม้นจะอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสสำนักรัตติกาล นักพรตตงเฉวียนก็ไม่ได้มีแสดงท่าทีข่มคนใดๆ

ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจตัดสินได้ตามใจ ต้องระดมความคิดกับคนอื่นๆ จากนั้นค่อยมอบให้หยวนเสี่ยนเฉิงจากเนินต้นจักรรพดิแห่งเขาลีลาหงส์เคาะไม้ตัดสิน

ถึงอย่างไรแค่จอมยุทธ์ในเทือกเขาสันติภาพส่วนใหญ่มาเข้าร่วมงานชุมนุมในครังนี้ เขามหาวิญญาณของเขาก็ได้ประโยชน์สูงสุดแล้ว

ทุกอย่างตอนแรกเป็นไปโดยราบรื่น ทว่าทันใดนั้น หยวนเสี่ยนเฉิงที่อยู่บนที่นั่งก็ขมวดคิ้ว

นักพรตตงเฉวียนเห็นดังนั้นก็อดงงงันไม่ได้ ด้วยไม่ทราบล่วงเกินหยวนเสี่ยนเฉิงที่ใด

ไม่รอให้เขาคิดออกว่าเป็นเพราะสาเหตุใด การเชื่อมโยงระหว่างเขากับค่ายกลคุ้มสำนักก็ทำให้เขาพบว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้าใกล้เขามหาวิญญาณ

เสียงหนึ่งดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

‘เยี่ยนจ้าวเกอแห่งเขากว่างเฉิงมาเยี่ยมเยือน ผู้เป็นเจ้าบ้านอยู่หรือไม่’

พริบตานั้น ในตำหนักใหญ่ที่ตอนแรกยังมีเสียงคนดังเซ็งแซ่ก็เงียบสงัดลง

ทุกคนสบตากันเอง ต่างสงสัยว่าตนใช่ฟังผิดหรือไม่

‘คนที่อยู่ด้านนอกเรียกตัวเองว่า…เยี่ยนจ้าวเกอหรือ’

‘เยี่ยนจ้าวเกอจากเขากว่างเฉิงผู้นั้นหรือ’

‘เขามาที่เขามหาวิญญาณแล้ว?’

คนที่อยู่รอบๆ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าในดวงตาที่มองกันและกันล้วนฉายแววยากเหลือเชื่อ

นักพรตตงเฉวียนพลันลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง

………………..