สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงนั่นก็คือ ภายใต้ลมพายุของพลังจิตอันรุนแรงและน่าสะพรึงกลัวนี้ มู่เฉียนซีกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใดเลย
พลังจิตอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดอีกพลังหนึ่งพัดกระโชกกดขี่ข่มเหงเข้ามา ชั่วครู่หนึ่งหมิงจีก็รู้สึกว่าพลังจิตของตนเองแทบจะพังทลายลงแล้ว
ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกสีดำไปแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นของไป๋เหยียนเอ๋อร์ยังคงอยู่
นางตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาคู่นั้นแทบจะถลนออกมาจากใบหน้าโครงกระดูกดำนั่น “เป็นเช่นนี้ไปได้ยังไง?”
“เจ้า…เหตุใดพลังจิตของเจ้าถึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้?”
ไป๋อู๋ห่ายเองก็ตกใจแล้วเช่นกัน เขากล่าว “หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน ต้องมีคนช่วยมู่เฉียนซีแน่ ๆ มู่เฉียนซีนางเป็นแค่สาวน้อยวัยสิบเจ็ดปี จะมีพลังจิตแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
สุนัขรับใช้ของมู่หลินหลางเหล่านั้นต่างก็กล่าวขึ้นเสียงเซ็งแซ่เช่นกันว่า “นั่นน่ะสิ! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้เป็นพระนางของพวกข้าก็ไม่มีทางมีพลังจิตที่กดขี่ข่มเหงได้ถึงเพียงนี้!”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินก็เป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางผู้หนึ่ง แต่พลังจิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขากลับไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ไม่มีหลักฐาน”
หากบอกว่ามีคนช่วยนาง แต่พวกเขาก็หาคนที่ช่วยนางมาพิสูจน์ในสิ่งที่พูดไม่ได้
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ต้องเป็นหมอปีศาจมู่ซีแน่นอน คนผู้นั้นแข็งแกร่งและลึกลับมาก ต้องเป็นเขาแน่นอนที่แอบช่วยนางอยู่ในที่ลับ พลังจิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ มีเพียงเขาเท่านั้น…มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้…”
“ได้โปรดหัวหน้าแคว้นฟ้านอิน ยุติการประลองและตัดสินให้ตำหนักเป่ยหานพ่ายแพ้ด้วย!”
“อ๊า ๆ ๆ!” ในตอนนี้เอง เสียงกรีดร้องแหลมเล็กก็ดังก้องขึ้นมาสองเสียง
เสียงหนึ่งเป็นเสียงของหมิงจี ส่วนอีกเสียงเป็นเสียงของไป๋เหยียนเอ๋อร์
ทุกคนตกตะลึงอึ้งไป “เหตุใดถึงมีสองเสียง?”
“มู่เฉียนซี หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“มู่เฉียนซี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน อ๊า!”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ได้คดโกง! ในร่างของบุตรสาวเจ้ามีวิญญาณหมิงจีสถิตอยู่ นี่ต่างหากที่เรียกว่าเป็นการคดโกง!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้เข้าก็เกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว “หมิงจีแห่งแดนนรกในตำนานผู้นั้นน่ะเหรอ!”
“ท่านผู้นำตระกูลมู่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ในร่างธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋มีวิญญาณระดับนั้นสถิตอยู่แต่ยังเอาชนะได้”
“……”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าวแย้งว่า “บุตรสาวของข้าเป็นผู้สืบทอดของท่านหมิงจี วิญญาณของทั้งสองหลอมรวมกันมาตั้งนานแล้ว ก็นับว่าเป็นคนคนเดียวกัน แต่เจ้าให้หมอปีศาจลงมือ มันเป็นการผิดกฎ ต่อให้พวกข้าเป็นฝ่ายแพ้ แต่พวกข้าไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด!”
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยันว่า “ไป๋อู๋ห่าย เจ้าบอกว่าหมอปีศาจลงมือช่วยข้า แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหมอปีศาจมู่ซีคือใคร?”
หมอปีศาจมู่ซีคือใคร เกรงว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีใครรู้
พวกเขาได้ยินเพียงคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาเท่านั้นว่าหมอปีศาจมู่ซีมีฝีมือการรักษาที่ลึกลับมาก แถมยังสามารถควบคุมกาลเวลาได้อีกด้วย
หมอปีศาจมู่ซีเป็นผู้แข็งแกร่งที่คาดเดาได้ยากผู้หนึ่ง!
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ข้าบอกเจ้าก็ได้! ข้า มู่เฉียนซี ก็คือหมอปีศาจ!”
เมื่อก่อนต้องสร้างตัวตนขึ้นมาเพราะต้องการสร้างกองกำลังให้มั่นคง!
แต่ตอนนี้หอหมอปีศาจพัฒนาก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างตัวตนปลอมอีกต่อไปแล้ว
เปิดเผยตัวตนของนางต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ไม่มีปัญหา!
ซี้ด! ทุกคนต่างสูดปาก เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“นี่ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่!”
“หมอปีศาจมู่ซีก็คือมู่เฉียนซี”
“ชื่อของสองคนนี้เหมือนกันมากถึงเพียงนี้ ข้าคิดมาตลอดว่ามันเป็นความบังเอิญ”
“หากไม่ใช่นาง นางก็คงไม่เป็นอัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดแห่งดินแดนสี่ทิศหรอก”
“พลังจิตของมู่เฉียนซีน่ากลัวถึงเพียงนั้น เช่นนั้นเรื่องนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้วน่ะสิ พระเจ้าช่วย! นี่อายุนางยังไม่ถึงยี่สิบปีเลยนะ!”
ไป๋อู๋ห่ายเองก็ตกตะลึงขึ้นเช่นกัน “นี่มัน…นี่เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้!”
“หมอปีศาจไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด!”
“หัวหน้าตำหนักไป๋ นี่เจ้าไม่รู้หรอกเหรอว่าบนโลกใบนี้มันมีวิธีแปลงกาย ที่เขาเรียกกันว่าการปลอมตัวน่ะ”
“ข้าไม่เชื่อ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าขอสาบานด้วยชื่อเสียงของหอหมอปีศาจ ข้า มู่เฉียนซี ก็คือหมอปีศาจมู่ซี ไม่มีสิ่งใดเป็นเท็จแน่นอน”
มู่เฉียนซีไม่จำเป็นต้องโกหก หาคนมาช่วยพิสูจน์ความจริงนี้ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียผู้แพ้ในวันนี้ก็คือตำหนักตงจี๋อยู่ดี
นางไม่มีความจำเป็นใดต้องโกหกเพื่อทำลายชื่อเสียงของหอหมอปีศาจ
เป็นเรื่องจริง! มู่เฉียนซีก็คือหมอปีศาจ!
พระเจ้า! หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปแล้วละก็ คาดว่าคนทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศต้องตกตะลึงเป็นแน่
มู่เฉียนซีเหลือบไปมองหมิงจีที่กำลังดิ้นรนอยู่จนนาทีสุดท้าย “เจ้าจะทนไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่!”
หมิงจีมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาเคียดแค้น “ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
พลันนั้นหมอกสีดำก็ได้ห่อหุ้มโครงกระดูกสีดำนั้นไว้ ก่อนจะหนีออกไปจากลานประลอง
ไม่ใช่นางไม่อยากหนีไปให้ไกล แต่เพราะพลังของนางในตอนนี้หนีไปได้ไม่ไกลต่างหาก
ออกจากลานประลอง นั่นหมายความว่ายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว
มู่เฉียนซีไม่ยอมปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปแน่นอน นางฉวยโอกาสตอนที่หมิงจีอ่อนแออยู่ และนี่เป็นโอกาสดีที่จะลงมือจริง ๆ
ในขณะที่มู่เฉียนซีจะเคลื่อนไหวตัวออกจากลานประลอง ไป๋อู๋ห่ายก็ลงมือขวางทันที
ไป๋อู๋ห่ายปกป้องโครงกระดูกสีดำประหลาดนั้น เขากล่าวเสียงขรึม “มู่เฉียนซี นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”
“ตำหนักตงจี๋ของพวกเจ้าแพ้แล้ว!”
ใช่! ตำหนักตงจี๋แพ้แล้ว
มู่เฉียนซีมองไปที่หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินและกล่าวว่า “ในเมื่อตำหนักตงจี๋แพ้แล้ว เช่นนั้นก็ถึงเวลาทำตามข้อตกลงแล้วใช่หรือไม่ ท่านหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินพยักหน้าพลางกล่าว “ใช่!”
หนังสือข้อตกลงแผ่นสีทองนั้นปรากฏลอยขึ้นอยู่กลางอากาศ เมื่อแสงสีทองเปล่งประกายขึ้น ทุกคนก็ได้เห็นข้อความที่ได้ตกลงกันไว้ในหนังสือแผ่นนี้
หากตำหนักตงจี๋พ่ายแพ้ ตำหนักตงจี๋จะต้องส่งตัวผู้อาวุโสสูงสุดผู้ทรยศของตำหนักเป่ยหานกลับมา ไป๋อู๋ห่ายกับไป๋เหยียนเอ๋อร์จะต้องตาย
เส้นเลือดบนหน้าผากไป่อู๋ห่ายกระตุกขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “มู่เฉียนซี นี่เจ้าจะฆ่ากันจริง ๆ อย่างนั้นรึ?”
“ไป๋อู๋ห่าย เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! วันนี้ข้าจะฆ่าไป๋เหยียนเอ๋อร์ ใครก็ขวางข้าไม่ได้”
“ข้าจะสู้สุดชีวิต!” ไป๋อู๋ห่ายตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
มู่เฉียนซีตะโกนว่า “หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอิน ท่านเป็นผู้ตัดสิน ท่านเป็นพยาน! ตอนนี้มีคนจะทำผิดข้อตกลง ท่านควรจะแสดงออกมากกว่านี้สักหน่อยไม่ใช่เหรอ”
ทันทีที่มู่เฉียนซีกล่าวจบ อรหันต์ทั้งสิบแปดองค์แห่งแคว้นเทพฟ้านอินก็ลงมือทันที ส่วนหัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินก็ยับยั้งคนขอตำหนักตงจี๋เอาไว้
ตำหนักเป่ยหานกับแคว้นเทพฟ้านอินร่วมมือกัน คนของตำหนักตงจี๋เหล่านั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาแล้ว
“มู่เฉียนซี!” ไป๋อู๋ห่ายโกรธจนดวงตาแทบลุกเป็นไฟ อีกทั้งยังไม่สามารถขวางนางได้
“บัดซบ!” เสียงกร่นด่าดังก้องขึ้นในหัวของไป๋เหยียนเอ๋อร์
“แม้ว่าจังหวะมันยังไม่พอดี แต่ก็พอถู ๆ ไถ ๆ ได้ อุทิศวิญญาณเจ้าให้ข้าเถอะ!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ท่านหมิงจี อย่า…ข้า…ข้ายังไม่อยากตาย!”
“ทุกอย่างมันไม่ใช่เจ้าเป็นคนตัดสิน!”
อ๊า! ในขณะที่วิญญาณของไป๋เหยียนเอ๋อร์กำลังกรีดร้องอย่างน่าสังเวช แต่หมิงจีจะปล่อยนางไปง่าย ๆ ได้อย่างไร
กว่าจะหาหญิงสาวที่เกิดวันนี้ มีร่างกาย และวิญญาณที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ หมิงจีต้องใช้เวลาหาอยู่นานมาก
ถ้าฝึกฝนปลูกฝังมันให้ดี จากนั้นก็ค่อยกลืนกินวิญญาณของไป๋เหยียนเอ๋อร์ เท่านี้หมิงจีก็สามารถฟื้นฟูพลังขั้นสูงสุดและกลับไปแก้แค้นหวงจิ่วเยี่ยได้
แต่ผลลัพธ์นั้น…
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้าด้วย…” ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตะโกนร้องดังลั่น
ไป๋อู๋ห่ายตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น ในที่สุดท่านหมิงจีก็เดินมาถึงจุดนี้แล้ว
เขากล่าว “เจ้าสามารถช่วยท่านหมิงจีได้ก็นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าสาวที่เกิดมาจากคนรับใช้กำพืดต่ำต้อยเช่นเจ้าจะมีสิทธิ์ได้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋ได้ อย่าได้ขัดขืนเลย ยอมให้ท่านหมิงจีกลืนกินวิญญาณเจ้าแต่โดยดีเถอะ!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตกตะลึงมาก น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ข้าเป็นบุตรสาวที่ท่านพ่อรักสุดหัวใจ! เหตุใดท่านพ่อถึงทำเช่นนี้กับข้า…”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์แทบบ้าคลั่งแล้ว ได้มีท่านพ่อที่เป็นถึงหัวหน้าตำหนักตงจี๋ที่รักและทะนุถนอมนางอย่างสุดหัวใจ เป็นเรื่องที่นางภาคภูมิใจมาโดยตลอด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มู่เฉียนซีไม่มี
.