ตอนที่ 1238: ฮุสตันกลายเป็นเซียนจักรพรรดิ
” อะไรนะ ? ท่านเจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์ส่งทูตมางั้นเหรอ ? ” เจี้ยนเฉินตะลึงกับสิ่งที่ยามเพิ่งแจ้ง เจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์เป็น 1 ใน 3 ผู้ปกครองแห่งอาณาจักรทะเล เขาเป็นถึงเซียนจักรพรรดิ ดังนั้นทำไมคนที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงเขาถึงส่งทูตมาที่เผ่าเต่าได้ เจี้ยนเฉินไม่ได้มีความผูกพันใด ๆ กับเจ้าศาลาเลย
“เชิญท่านทูตเข้ามาในห้องรับรองก่อน” เจี้ยนเฉินพูดกับยามหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย
ยามออกไปพร้อมกับคำสั่ง ในขณะที่เจี้ยนเฉินชะลอการไปพบผู้อาวุโสไว้ก่อน จากนั้นเขาก็เดินไปยังห้องรับรอง
ทูตได้เข้ามาที่ห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งหมดมีกันอยู่ 3 คนและคนที่นำหน้าเป็นชายแก่ที่ดูธรรมดา ๆ เขาแต่งตัวเรียบง่ายในขณะที่นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายอีก 2 ร่างกายกำยำในชุดรัดกุมยืนอยู่ข้างหลังชายแก่ผู้นี้ แขนหนาที่ไม่ได้ปกปิดของเขาส่องแสงสีฟ้าอ่อน ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองมีผิวสีฟ้าเข้ม
เจี้ยนเฉินแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเขามองไปหาทั้ง 3 คน เขาสามารถบอกด้วยการกวาดตามองเพียงครั้งเดียวได้เลยว่าชายแก่คนนี้เป็นเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 3 ในขณะที่อีก 2 คนที่อยู่ข้างหลังชายแก่เป็นเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9
“ทูตที่ถูกส่งโดยศาลาวิญญาณสวรรค์เป็นเซียนราชาและคนที่ตามเขามาเป็นเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริงที่ส่งคนมามากมายขนาดนี้” เจี้ยนเฉินคิดในใจ
ทูตยืนขึ้นจากที่นั่งทันทีเมื่อเขาเห็นเจี้ยนเฉิน เขาป้องมือทักทายและยิ้มให้กับเจี้ยนเฉิน ” ข้า หู่ไป๋ ขอคารวะยผู้คุมกฎแห่งเผ่าเต่า ! ”
“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ท่านทูตหู่ไป๋โปรดนั่งเถิด” เจี้ยนเฉินตอบอย่างสุภาพพร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่เขาจะนั่งตรงข้ามกับหู่ไป๋ เขากล่าวต้อนรับอย่างสุภาพก่อนที่จะถามเข้าประเด็นหลัก ” ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านมาจากดินแดนไกลแสนไกลเพื่อมาที่เผ่าเต่าของข้าทำไมกัน ? ”
ศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ศาลาวิญญาณสวรรค์ และศาลาเทพเจ้าอสรพิษมีข้อตกลง สมาชิกทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้ล่วงล้ำอาณาเขตของกันและกันโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างชัดเจน แม้ว่าหู่ไป๋จะเป็นฝ่ายของศาลาวิญญาณสวรรค์ แต่เขาก็เข้ามาที่อาณาเขตของศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลในฐานะทูต ตราบได้ที่เขาไม่ก่อปัญหาที่นี่ เขาก็สามารถผ่านเข้ามาในนี้ได้อย่างง่ายดาย
“ผู้คุมกฎ ข้ามาที่นี่ภายใต้คำสั่งของท่านเจ้าศาลาเพื่อส่งข้อความถึงท่าน ท่านเจ้าศาลาได้เชิญท่านไปที่ศาลาวิญญาณสวรรค์ในฐานะแขกอย่างเป็นทางการ ดังนั้นแล้ว ผู้คุมกฎ ..” หู่ไป๋พูดขณะที่ยิ้มไปด้วย เขาเป็นคนที่สุภาพอย่างมาก
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้มีข้อผูกมัดกับเจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์ เขาเคยไปเยือนที่ศาลาวิญญาณสวรรค์แล้วครั้งหนึ่งและก่อปัญหาด้วย แต่มันถูกแก้ไขแล้วเมื่อผู้อาวุโสประจำศาลาของศาลาวิญญาณสวรรค์บอกให้หลานจิง ซินเปียน และโมชาสตามเขาไป เขาไม่อาจตอบตกลงได้แม้ว่าเจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์ต้องการเขาให้ไปพบก็ตาม นี่เป็นเพราะว่าเขาจะปลอดภัยแค่ในศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเท่านั้นท่ามกลางอาณาจักรทั้งสาม
เจี้ยนเฉินแสดงท่าทีมีปัญหาเล็กน้อยทันทีเมื่อเขาคิดเรื่องนั้น เขาพูด “ท่านทูตหู่ไป๋ ได้โปรดช่วยแจ้งท่านเจ้าศาลาด้วย เผ่าของข้าอยู่ภายใต้ความขัดแย้งกับตระกูลเต๋าเมื่อไม่นานมานี้และเรากำลังทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่ ดังนั้นแล้วข้าจึงยังคงมีเรื่องหลายเรื่องให้จัดการ ข้าไม่สามารถตอบรับได้เลยจริง ๆ แต่ถ้าข้าสามารถทำได้จริง ๆ ในอนาคต ข้าจะไปเยือนที่ศาลาวิญญาณสวรรค์อย่างแน่นอน” เจี้ยนเฉินหมายความเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อเขาพูดว่าจะไปเยือน แต่นั่นเป็นเพียงในตอนที่เขามีอำนาจพอที่จะรับมือกับเซียนจักรพรรดิ ในตอนนั้นเขาจะไปเยือนศาลาวิญญาณสวรรค์และศาลาเทพเจ้าอสรพิษอย่างแน่นอน โดยเฉพาะศาลาเทพเจ้าอสรพิษ เขายังไม่ได้คิดบัญชีหนี้แค้นของเขาเลย
ทูตได้ยินอย่างชัดเจนเกี่ยวกับข่าวระหว่างเผ่าเต่าและกลุ่มพันธมิตรตระกูลเต๋า ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยในสิ่งที่ เจี้ยนเฉินพูด เช่นเดียวกัน เขาก็ไม่มั่นใจกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าศาลาและเจี้ยนเฉินนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจังไม่กล้าทำอะไรที่ขัดใจเจี้ยนเฉินจากคำตอบที่ได้ เขายืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มและป้องมือ “แน่นอน เผ่าเต่าเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา ดังนั้นจึงมีเรื่องมากมายนับไม่ถ้วนให้ต้องจัดการ ผู้คุมกฎ ข้าได้ส่งสารเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นภารกิจของข้าสำเร็จแล้ว ข้าควรจะกลับไปก่อน เช่นข้าไม่รบกวนเวลาของท่านแล้ว ข้าขออำลา ! ”
“เดินทางปลอดภัย ! ” เจี้ยนเฉินก็ยืนขึ้นและมองหู่ไป๋จากไป หลังจากนั้นเขาก็เริ่มการประชุมกับเผ่าเต่าเกี่ยวกับการพัฒนาในอนาคต
หลังจากการประชุม เจี้ยนเฉินก็ไปไหนก็ไม่รู้ เขาวางรูปภาพของวัสดุที่จำเป็นสำหรับกระบี่ให้กับผู้คนเพื่อให้พวกเขาค้นหาทั่วอาณาจักรทะเลก่อนที่จะเข้าเก็บตัวอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ไปทำงานหนักกับการดูดกลืนแกนอสูรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขณะที่รอการมาถึงของการถดถอยของโลก
2 วันต่อมา หู่ไป๋แจ้งข้อความที่เจี้ยนเฉินพูดกับเจ้าศาลาโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เจ้าศาลายังคงอยู่ในภาพฉายของวิญญาณ หลังจากเขาฟังเสร็จ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและอนุญาตให้หู่ไป๋ ออกไป เขาพึมพำกับตัวเอง “ผู้คุมกฎแห่งเผ่าเต่าได้ใช้ข้ออ้างต่อข้า ดูเหมือนว่าการเชิญเขามาที่นี่คงจะค่อนข้างยาก ข้าต้องเข้าไปเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ ? ”
เมื่อพูดเช่นนั้น เจ้าศาลาก็คิดหนัก เขานิ่งกับการคิดไปสักพัก
…………
ชายแก่ในเสื้อสีเขียวนั่งอยู่ในถ้ำภายในหุบเขาขนาดใหญ่ในเขตทวีปเทียนหยวน หมอกหนาสีแดงได้กระจายไปรอบ ๆ เขาและมันก็เหนียวคล้ายกับเลือก มันสั่นสะเทือนครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับหัวใจราวกับมังกรที่เคลื่อนไปมา
ชายแก่ผู้นี้คือฮุสตัน หลังจากได้รับหินปีศาจชั้นฟ้ามาจากเจี้ยนเฉิน เขาก็ออกจากหุบเขายั่งยืนและพบกับภูเขาโดดเดี่ยวซึ่งมีพลังศักดิ์สิทธิ์ของโลกในการเข้าไปเก็บตัว เขากำลังพยายามตัดผ่านไปเป็นเซียนจักรพรรดิ
ในตอนนี้ หมอกสีแดงรอบ ๆ ฮุสตันได้หยุดลงกะทันหันราวกับว่าหัวใจหยุดเต้น ทั้งหมดในบริเวณนั้นหยุดหมดเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อยู่เพียงไม่กี่วินาที ทันใดนั้นพลังแห่งการมีอยู่ที่น่ากลัวที่ดูเหมือนจะสามารถทำลายสิ่งรอบข้างได้ก็เริ่มปรากฏออกมาจากตัวเขา พลังแห่งการมีอยู่ของเขาค่อนข้างแข็งแกร่งอย่างมากและมันทำลายถ้ำ ภูเขาทั้งหมดแตกร้าวเป็นชิ้น ๆ และหินก็กระเด็นไปหลายทิศทาง
ฮุสตันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขานั่งไม่ขยับเขยื้นราวกับภูเขา ลอยขึ้นไปบนอากาศโดยไม่มีแรงโน้มถ่วง ลมป่าได้พัดผ่านเขาไปแต่มันไม่ทำให้เขาปลิวกระเด็น ในขณะที่พลังแห่งการมีอยู่ที่น่ากลัวของเขาได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขา
หมอกสีแดงได้แผ่รังสีจากร่างกายของฮุสตัน ก่อนที่มันจะกลายเป็นพายุที่หมุนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่มันหมุนอยู่ หมอกหนาก็มีสีเข้มขึ้นและเริ่มรวมเข้าด้วยกัน
เมฆขนาดใหญ่ได้ปรากฏบนท้องฟ้า แต่เดิมแล้วท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม แต่เมฆนั้นประกอบไปด้วย 9 สี พวกมันเป็นเมฆสายรุ้ง 9 สีที่แทบจะไม่เคยปรากฏในทวีปเทียนหยวนเลย
มันขยายอย่างช้า ๆ ไปทั่วทุกทิศทางในความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งนาที เมฆก็ขยายตัวไปทั่วทวีป
ในตอนนั้น ทุกคนที่อยู่แถวทวีปนั้นหยุดการกระทำ พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสงสัย จ้องมองไปที่เมฆหลากสีที่อยู่ในท้องฟ้า มีคนน้อยมาก ๆ ที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่
เมืองหลายเมืองในทวีปเทียนหยวนต่างก็เฉลิมฉลองเมื่อเห็นเมฆนั้น พวกเขาทั้งหมดชี้ไปที่เมฆ 9 สีและคุยกัน ไม่มีใครรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักก็มีข่าวลือที่แปลกออกไปปรากฏในทุก ๆ ที่
บางคนก็พูดว่า เมฆ 9 สีเป็นลางดี ทวีปกำลังจะเปลี่ยนไปและรวมเป็น 1 โดยจักรพรรดิที่ทรงอำนาจ
ยังมีผู้คนบางส่วนก็พูดว่าเมฆนี้เป็นลางร้าย ซึ่งจะเกิดภัยพิบัติที่ไม่สามารถทำนายได้เกิดกับทวีปเทียนหยวนซึ่งมันร้ายแรงพอที่จะทำลายล้างโลกได้เลย
เซียนผู้คุมกฎและเซียนจักรพรรดิทั้งหมดที่อยู่ในโลกใบเล็กภายในเมืองรับจ้างก็ได้รับข่าวเช่นกัน พวกเขาออกไปทันทีและมุ่งหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
สำหรับคนชั้นล่างสุดกลับไม่รู้ว่าเมฆรุ้งนั้นหมายความว่าอะไร อย่างไรก็ตาม ความหมายที่อยู่เบื้องหลังเมฆนี้ไม่ได้เป็นความลับต่อเซียนผู้คุมกฎบางคนและเซียนสวรรค์เลย
ในทวีปเทียนหยวน เซียนสวรรค์ทุกคนที่ตัดผ่านเป็นเซียนผู้คุมกฎได้จะทำให้เกิดเมฆสีรุ้ง อย่างไรก็ตามบริเวณนั้นปกคลุมเพียงน้อยนิดและมันมีเพียง 5 สีเท่านั้น
เมฆสีรุ้งจะปรากฏเมื่อก้าวไปถึงเซียนราชาเช่นกัน สีจะเพิ่มเป็น 7 สีและปกคลุมบริเวณกว้าง
ถ้าเซียนราชาตัดผ่านเป็นเซียนจักรพรรดิได้ สีจะเป็น 9 สีและปกคลุมไปทั่วทวีป
เซียนผู้คุมกฎและเซียนราชาในเมืองรับจ้างทั้งหมดต่างก็รู้ว่าจะมีเซียนจักรพรรดิปรากฏตัว
“เขาเป็นใครกัน ? ใครกลายเป็นเซียนจักรพรรดิกัน ? ” ผู้อาวุโสเซียนราชาบินขึ้นไปเหนือเมืองรับจ้างและแปลกใจอย่างมากขณะที่จ้องมองไปที่เมฆสีรุ้ง 9 สี น้ำเสียงของเขาสั่นและอิจฉา
“มีบางคนกำลังก้าวผ่านขั้นตอนสุดท้ายเพื่อกลายเป็นเซียนจักรพรรดิในยุคนี้ซึ่งมันขาดเซียนจักรพรรดิ เขาต้องเป็นคนที่โดดเด่นมาก ๆ ข้าแปลกใจจริง ๆ ว่าเขาคือใคร ใช่ผู้อาวุโสสูงสุดเทียนเจี้ยนหรือไม่ หรือสมาชิกของตระกูลผู้พิทักษ์ ? ” เซียนราชาอีกคนถามด้วยอารมณ์ตื่นเต้น