ตอนที่ 1245: เจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์
ผู้พิทักษ์ซุยยังคงอยู่ที่เดิมหลังจากที่โมเทียนหยุนจากไป มีแสงในดวงตาของนางขณะที่นางกำลังไตร่ตรองตัวเลือกของนางอย่างลึกซึ้ง ครู่ต่อมานางก็ถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่นางพึมพำออกมาอย่างหดหู่ หวู่ฮ่าน เจ้าเป็นอย่างที่โมเทียนหยุนพูดจริง ๆ หรือ ? เจ้าทรยศฝ่าบาทจริงหรือ ? แต่ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนั้น ? ความเศร้าปรากฏอยู่เต็มสายตาของนาง นางพยายามที่จะยอมรับความจริงจากสิ่งที่ได้ยิน
โมเทียนหยุนกล่าวว่า หนานป้อเทียนได้ควบคุมโถงเทพจันทราแล้ว ลูกสาวของเทพดวงจันทรา เฮายู่ ได้ปรากฏตัวที่ทวีปเทียนหยวนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน หนานป้อเทียนเคลื่อนไหวทันทีที่ลูกสาวของเทพจันทราล้มเลวที่จะตัดผ่านไปยังจอมคน และใช้เวลานั้นเพื่อควบคุมโถงเทพจันทราหรือไม่ ? ผู้พิทักษ์ซุยพูดพึมพำ นางรู้สึกลาง ๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
ข้าไม่คิดว่าศาลาเทพธิดาน้ำแข็งจะเผชิญหน้ากับหายนะหลังจากผ่านมาสามล้านปี เดิมทีข้าวางแผนที่จะทำให้ฝ่าบาทกลับไปยังโลกเซียนหลังจากที่ร่างน้ำแข็งดูดซับปราณจากจิตวิญญาณน้ำแข็ง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ถ้ามีเพียงข้า แม้ว่าข้าจะตายข้าก็ไม่เสียดาย แต่ฝ่าบาทต้องไม่ได้รับอันตราย
..
โมเทียนหยุนเดินทางไปยังเกาะมังกรหลังจากที่ออกจากศาลาเทพธิดาน้ำแข็ง เขาลอยอยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยเมตร ขณะที่เขามองลงมาเขาก็เห็นเกาะขนาดใหญ่อย่างมาก มันมีความสูงถึง 10 เมตรล้อมรอบเกาะทำให้มันดูเหมือนกับแยกตัวเองออกมา
มีซากศพของสิ่งมีชีวิตเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตและพวกมันก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร แต่ในเวลาเดียวกันพวกมันก็สามารถอยู่ได้อย่างยาวนาน พวกมันเป็นได้แค่ซากของสิ่งมีชีวิตเมื่อนานมาแล้วและบางส่วนก็ยังอยู่มาตั้งแต่โบราณ
โมเทียนหยุนลอยอยู่บนอากาศขณะที่เขาเฝ้ามองทุกอย่างด้านล่างอย่างเงียบ ๆ เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งไปยังหลุมดาราด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เขามุ่งลึกลงไปในหลุมราวกับว่าเขาสามารถเดินเล่นเรื่อยเปื่อยทั้งโลกเบื้องล่างและเบื้องบนได้ง่าย ๆ
โมเทียนหยุนเดินผ่านค่ายกลและมาถึงโลกรกร้างในที่สุด สถานที่เหล่านี้เต็มไปด้วยความตายที่เงียบงัน มันรกร้างจนสุดลูกหูลูกตาและไม่อาจเห็นสิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้กระทั่งท้องฟ้าก็ยังเป็นสีเทาที่แม้แต่แสงแดดก็ไม่อาจส่องผ่านลงมาได้
มิติเหล่านี้มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โมเทียนหยุนมองไปรอบๆและถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก่อนที่จะหายวับไป เพียงก้าวเดียวเขาก็มาถึงขอบปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่
ด้านหน้าของเขามีบอลแสง 2 ดวง ดวงหนึ่งสีดำ ดวงหนึ่งสีขาว มันเป็นศิลาเซียนหยินหยางที่มาจากปราณหยินหยาง แต่ตรงกลางนั้นมีหินที่มีจุดสีแดงสด มันดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก
โมเทียนหยุนจ้องมองไปที่บอลแสงอย่างใกล้ชิด ขณะที่เขาขมวดคิ้วแน่น การแสดงออกของเขาดูจริงจังมากขึ้นขณะที่เขาพูดอย่างหนักหน่วง ข้าไม่คิดเลยว่าความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในศิลาเซียนหยินหยางจะมีพลังเพิ่มมากขึ้น แม้กระทั่งปราณหยินหยางก็ไม่อาจควบคุมมันได้ มันดูดซับพลังงานเหล่านั้นและเสริมพลังของตัวเองอย่างรวดเร็ว หากมันเติบโตได้สำเร็จ มันก็คงมีผลลัพธ์เดียวนั้นก็คือภัยพิบัติ”
และข้าไม่รู้ว่าสิ่งชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นเพราะมันได้ซ่อนตัวอยู่ในศิลาเซียนหยินหยาง ถ้าข้าไม่ใช้พลังระเบิดหิน ข้าก็ไม่อาจเอามันออกได้ อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณม่วง-ฟ้าต้องมาที่นี่ ดังนั้นพวกเขาควรจะมีวิธีจัดการกับสิ่งชั่วร้ายนี้ ข้าแค่ต้องให้เวลาพวกเขาสักหน่อย จากนั้นโมเทียนหยุนก็ไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง มีประกายของการตัดสินใจผ่านดวงตาของเขา ขณะที่เขาพูดว่า ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะปล่อยร่างแยกและให้มันเข้าไประงับพลังของมันภายในหิน
ด้วยอย่างนี้ ร่างกายของโมเทียนหยุนจึงพร่ามัว เขากลายเป็นพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวและแบ่งออกเป็น 2 ร่าง และอีกร่างก็เข้าไปในหินอย่างระมัดระวังเพื่อควบคุมสิ่งชั่วร้ายภายใน
อย่างไรก็ตามพลังของโมเทียนหยุนก็เหลือเพียงหนึ่งในสามเมื่อมันเข้าไปในหิน สองในสามถูกพลังของหินกำจัดออกไป
พริบตาก็ผ่านไปสามวัน เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ในห้องของตระกูลเต่า ไข่มุกที่หลังคายังคงส่องสว่างออกมา พวกมันส่องเสียงออกมาเพียงน้อย ๆ ทำให้ดูมืดสลัว ๆ
เจี้ยนเฉินที่ถือแกนอสูรระดับสูงที่เกือบจะกลายเป็นหิน เขาหักโหมอย่างมากเพื่อที่จะดูดซับพลังงานจนเกือบภายในจะว่างเปล่า ในขณะเดียวกันแกนอสูรที่ว่างเปล่าจำนวนมากก็ถูกกองไว้ในมุมห้อง ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นเพียงหินธรรมดา ๆ ไปหมดแล้ว
ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินได้ดูดซับพลังงานจากแกนอสูรจำนวนมากและกลั่นมันทั้งหมดให้เป็นพลังบรรพกาล อย่างไรก็ตามพลังบรรพกาลของเขาก็เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
ย้อนกลับไปเมื่อเจี้ยนเฉินยังคงอยู่ในขั้นแรกของร่างบรรพกาลเพียงแค่ยุทธ์ภัณฑ์ผู้คุมกฏหรือโครงกระดูกของเซียนผู้คุมกฏก็เพียงพอที่จะขัดเกลาร่างบรรพกาล อย่างไรก็ตามร่างบรรพกาลของเขาก็ต้องการพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันต้องการพลังมากเป็นสิบเท่าของความต้องการก่อนหน้านี้เมื่อมันยกระดับขึ้น
เม็ดพลังบรรพกาลของเขาจำเป็นต้องมีขนาดเท่ากำปั้นทุกครั้งเมื่อเขายกระดับขึ้นครั้งหนึ่ง เพียงแค่การจะบรรลุเป้าหมายนั้นต้องมีพลังบรรพกาลจำนวนมาก เพื่อที่เขาจะได้เพิ่มขึ้นอีกระดับ
แกนอสูรสองอันในมือของเขาก็หมดพลังลง พวกมันเหลือขนาดเพียงแค่ครึ่งกำปั้น เจี้ยนเฉินโยนพวกมันไว้ที่มุมห้องอย่างไม่สนใจ เมื่อเขากำลังจะเอาแกนอสูรอีกสองอันออกมาเพื่อที่จะเริ่มบ่มเพาะใหม่ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เขามองไปด้านหน้าของเขาอย่างจริงจัง
มิติด้านหน้าเจี้ยนเฉินมีการบิดเบี้ยวจนแทบจะไม่อาจสัมผัสได้ มันกลายเป็นภาพเงาของบุคคลที่พร่าเลือนปรากฏขึ้นมาอย่างช้า ๆ ในตอนแรกเขามองเห็นเพียงแค่เงาจาง ๆ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็กลายเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ แต่เขาก็ยังดูเหมือนไม่มีตัวตนเล็กน้อยอยู่ดี
ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็ยืนขึ้น เขาจ้องมองแขกที่ปรากฏตัวคนนั้นอย่างไม่พอใจ เขาตะโกน ท่านเป็นใคร ? เจี้ยนเฉินรู้ว่าบุลคลด้านหน้าของเขาเป็นแค่ภาพมายาจากพลังวิญญาณ แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะประมาท เขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณด้านหน้านี้แข็งแกร่งกว่าเขา มันต้องเป็นของเซียนจักรพรรดิเป็นอย่างน้อย และวิญญาณนี้ก็ดูยิ่งกว่าวิญญาณของเซียนจักรพรรดิทั่วไป
เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์ แต่ข้าจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร ? ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าผู้คุมกฏเผ่าเต่า เจี้ยนเฉิน ? หรือว่าข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเจียงหยางเซียงเทียน ? เจ้าศาลาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจ ชื่อของเจียงหยางเซียงเทียนมีแต่คนในทวีปเทียนหยวนเท่านั้นที่รู้จัก เนื่องจากเจ้าศาลารู้จักชื่อของนี้ เขาอาจจะตรวจสอบตัวตนของเขาในทวีปนี้
เจียนเฉินไม่แปลกใจเลย เขายิ้มอย่างสงบและป้องมือคารวะเจ้าศาลา เช่นนั้นท่านคงเป็นเจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์ มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับข้า เจี้ยนเฉิน
เจ้าศาลาจ้องมองเจี้ยนเฉินเพื่อตรวจสอบเขาดูเล็กน้อย เขาหัวเราะเบา ๆ เจี้ยนเฉิน ข้าไม่คิดลยว่า ปราณของผู้คุมกฏที่จะมีเฉพาะในเผ่าพันธุ์ทะเลจะมาปรากฏอยู่บนร่างกายของมนุษย์ นั่นทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจมากอีกว่าเห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นเซียนราชา แต่เจ้าสามารถผ่านเข้ามาในดินแดนทะเลได้อย่างง่ายดาย มันทำให้ข้าอยากจะรู้จริง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับนางจริง ๆ ว่าทำไมถึงขั้นที่นางช่วยเหลือเจ้าด้วยตัวเอง
ท่านเจ้าศาลา เหตุผลที่ข้ามีปราณผู้คุมกฎของเผ่าเต่านั้นอาจจะเป็นเพราะข้าได้กลืนเม็ดพลังของเผ่าเต่าคนก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ สำหรับวิธีเข้ามาในอาณาจักรทะเลนั้นสามารถอธิบายได้ง่ายอย่างยิ่ง ม่านป้องกันสามารถที่จะขวางใครก็ตามที่เหนือกว่าเซียนราชาขึ้นไปเท่านั้น แต่ความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับความลึกลับของโลกยังคงอยู่ที่ชั้นสวรรค์ที่ 9 ของเซียนผู้คุมกฏ พูดอีกอย่างหนึ่งคือข้าไม่ใช่เซียนราชา ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ผลอะไรจากม่านพลัง อย่างไรก็ตามข้าสับสนกับสิ่งที่ท่านได้พูดถึงในตอนท้าย เจี้ยนเฉินอธิบายอย่างสงบ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคำอธิบายของเขามันไร้ประโยชน์ แต่เจ้าศาลาก็ยังคงสำรวจว่าทำไมเทพธิดาแห่งท้องทะเลถึงได้ช่วยคนนอกได้โดนไม่มีเหตุผล ถ้าเขายอมรับว่านางแอบช่วยเขาในอดีต
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะรู้สึกว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลอาจต้องการให้เขาเข้าไปในโลกเพื่อค้นหาบางอย่างเพื่อสร้างร่างกายของนางขึ้นมาใหม่ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าศาลาวิญญาณสวรรค์และเจ้าศาลาเทพอสรพิษได้รับรู้ ทั้งคู่รู้ว่าวิญญาณเทพเจ้าแห่งท้องทะเลยังคงอยู่และซ่อนอยู่ในศาลาศักดิ์สิทธิ์ของนาง เจี้ยนเฉินรู้ว่าทั้งคู่ต้องการให้เขาพาวิญญาณของนางออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะกลืนกินนางและทำให้พลังของพวกเขาก้าวหน้าหรืออาจจะยกระดับได้ถึงการบ่มเพาะเทียบเท่ากับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลในอดีต
มันเป็นแค่โถงศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่ในทะเลอย่างหมดหวัง ไม่อาจพบได้โดยไม่มีกุญแจและแม้ว่าจะพบได้ก็ไม่อาจเปิดผลึกอเวจีที่เป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาและปลดล็อคโถงศักดิ์สิทธิ์
เจี้ยนเฉิน ข้าเป็นหนึ่งในสามผู้คุมกฏของอาณาจักรทะเล ข้ามีความเข้าใจดีกว่าเจ้าอย่างมากกับม่านพลัง และเจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าเพียงแค่กลืนกินเม็ดพลังของผู้คุมกฏจะทำให้เจ้าได้รับปราณของผู้คุมกฏ ? เจ้าศาลาเยาะเย้ย เขาไม่ปล่อยให้เจี้ยนเฉินอธิบายเพิ่ม เขาพูดต่อว่า เจี้ยนเฉิน ไม่จำเป็นต้องซ่อนมันจากข้า ข้ารู้ทุกสิ่งที่เจ้าควรรู้และข้าก็รู้บางสิ่งที่เจ้าไม่ควรรู้ เหตุผลที่เทพธิดามาพบกับเจ้าและช่วยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นเป็นความจริงที่ว่านางต้องการให้เจ้าช่วยสร้างร่างกายของนางขึ้นมาใหม่