จ้องมองจุดที่สตรีคนดังกล่าวหายตัวไปสักพัก ปาเชโก้หันไปพูดกับบาร์ตัน
“กลับสำนักงานกันเถอะ”
“ไม่ต้องไปที่ชานเมือง?” บาร์ตันถามตามความเคยชิน
ปาเชโก้กล่าวพลางยิ้ม:
“คุณเพิ่งส่งขวดไปไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปที่ชานเมือง… บางที เป้าหมายของเขาอาจมีเพียง รบกวนให้พวกเราช่วยนำขวดไปส่งให้สตรีตระกูลทามาร่า ส่วนคำพูดก่อนหน้านั้นคือความเท็จ… แน่นอน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา หลังจากนี้ไม่ว่าใครจะอยู่หรือตาย นั่นก็เป็นทางเลือกของพวกเขาเอง… แต่ก็ควรมีการตรวจตราเพื่อป้องกันมิให้การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสร้างอันตรายกับประชาชนทั่วไป และหน้าที่ดังกล่าวจะตกเป็นของตำรวจ ไม่ใช่กองทุนหรือแผนกกฎระเบียบ”
ด้วยสภาพของแฟร์นัน เขาดูไม่เหมือนคนที่จะคิดกลลวงเช่นนี้ได้… บาร์ตันพึมพำ ไม่ถามสิ่งใดเพิ่ม เพียงหันหลังกลับและเดินไปทางประตู
ว่ากันตามตรง คำตอบที่มันยากฟังมากที่สุด ก็คือการกลับไปที่สำนักงาน
การถามว่าควรไปที่ชานเมืองไหมเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ เป็นปัญหาเก่าที่คาราคาซังมาหลายปี
กลับถึงสำนักงาน บาร์ตันปล่อยเวลาผ่านไปด้วยความอึดอัด และยังคงทำกิจวัตรที่จำเจในช่วงเย็น
เดิมที เราเคยคิดว่าชีวิตของตัวเองช่างน่าเบื่อ แต่ตอนนี้ ชีวิตที่ขาดสีสันกลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่าขึ้นมา… เฮ้อ ขอให้หลังจากนี้ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหนือจินตนาการใดอีก… พระองค์ได้โปรดคุ้มครองข้าด้วย… บาร์ตันหยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน เหยียดแขนขวา กำหมัดกระทบอกซ้าย
สวดวิงวอนจบ มันเปิดประตู ถอดหมวกและเสื้อนอกยื่นให้ภรรยาที่ออกมาต้อนรับ
“เกิดอะไรขึ้นกับแฟร์นัน?” ภรรยาถามอย่างเป็นกังวล
บาร์ตันตอบด้วยใบหน้าสุขุม
“เขาไปทำไม่ดีไว้กับใครบางคน จึงกำลังถูกตามล่าตัว ตอนนี้ตำรวจรับเรื่องแล้ว… หลังจากนี้ ถ้าแฟร์นันแวะมาเยี่ยมอีก อย่าให้เขาเข้าบ้านเด็ดขาด และอย่าลืมส่งคนไปแจ้งตำรวจทีหลัง”
เมื่อภรรยาบาร์ตันได้ยินว่าตำรวจรับเรื่องแล้ว เธอโล่งใจทันที
“ตกลง”
หลังจากเสร็จมื้อค่ำและเล่นกับลูกสักพัก บาร์ตันขอตัวเข้าไปในห้องหนังสือและนั่งลงริมหน้าต่าง
มันต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อสงบสติอารมณ์ เพื่อสลัดความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่แฟร์นันนำพา
ด้วยเหตุนี้ บาร์ตันหยิบบุหรี่ออกจากลิ้นชักและนำมาใส่ปาก
มันไม่ใช่คนติดบุหรี่ แต่ในบางเวลาก็ต้องการความบันเทิง จึงเตรียมกล่องบุหรี่ไว้ที่บ้าน รวมถึงการพกติดตัว
ไม้ขีดถูกจุด บุหรี่ถูกจุด บาร์ตันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
มันเอนหลังพิงพนัก มองดูควันพรั่งพรูออกจากปากและจมูก
ควันสีขาวซีดสลายตัวไปในอากาศ ทำเอาบาร์ตันหวนนึกถึงหมอกที่พ่นออกจากจมูกและปากแฟร์นัน
แถมยังได้กลิ่นเจือจาง
สำหรับบาร์ตัน นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแฟร์นันเคยอยู่ในห้องหนังสือ ย่อมต้องหลงเหลือร่องรอยที่คนปรกติสัมผัสไม่ได้
การที่บาร์ตันไม่ได้กลิ่นในตอนแรก เป็นเพราะจิตใจของมันกระวนกระวายและปั่นป่วน สติจดจ่ออยู่กับแฟร์นันและข้อความที่อีกฝ่ายทิ้งไว้
อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ กลิ่นเลือดในห้องหนังสือยังเบาบางกว่ามาก ไม่แรงเท่ากลิ่นในโรงแรมและในซากบ้าน
ขณะควันบุหรี่กระจายตัว ดวงตาบาร์ตันหรี่ลงกะทันหัน
มันสัมผัสถึงลางร้าย!
ทันใดนั้น ควันสีขาวซีดจับกลุ่มกันในทิศทางหนึ่ง ก่อนจะก่อตัวเป็นร่างที่มีกลิ่นเลือดโชย
ท่อนบนของร่างดังกล่าวดูปรกติ จมูกสีแดงโดดเด่น ไม่ใช่ใครนอกจากนักโบราณคดีแฟร์นัน
ท่อนล่างของมันมีสภาพเป็นควัน ราวกับสัตว์ประหลาดที่ประกอบจากควันบุหรี่
“ฟ…แฟร์นัน…” บาร์ตันตะโกนตะกุกตะกักประหนึ่งหายใจลำบาก
เสียงของมันกังวานไปทั่วห้องหนังสือ แต่มิอาจทะลวงผ่านออกไปนอกกำแพง
“ฮะฮะ! ฉันมีร่างกายที่เป็นอมตะ ตราบใดที่ยังมีหมอก ฉันสามารถคืนชีพได้ทุกเมื่อ!” แฟร์นันหัวเราะเสียงดัง
เทียบกับเมื่อก่อน สีหน้าแววตาของมันทวีความบ้าคลั่ง ดวงตาค่อนไปทางสีขาวซีด
ห…หมอนี่เพิ่งตาย? บาร์ตันผุดความคิดตามความเคยชิน
ถัดมา มันพยายามสงบสติ
“จะให้ฉันช่วยอะไร?”
ขณะกล่าว บาร์ตันนึกอยากจะลุกขึ้นยืน แต่น่าเศร้าที่ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยหมอกจางเย็นเยียบ สติสัมปชัญญะแทบไม่หลงเหลือ
แฟร์นันหยุดหัวเราะ จ้องเข้าไปในดวงตาบาร์ตัน บรรจงกล่าวทีละคำ
“นายไม่ได้นำขวดนั่นไปไว้ที่ชานเมือง”
แม้บาร์ตันจะเป็นคนใจร้อน แต่มันก็รู้ว่าไม่ควรตอบคำถามนี้ตรงๆ สมองจึงรีบประมวลผลและค้นหาหนทางที่ดีที่สุด
ไม่กี่วินาทีถัดมา ก่อนที่แฟร์นันจะได้กล่าวสิ่งใด บาร์ตันเปลี่ยนเรื่องคุย
“ทำไมนายถึงเปลี่ยนความเชื่อ? ไม่ใช่ว่านายศรัทธาองค์วายุสลาตันอย่างแรงกล้าหรอกหรือ?”
แฟร์นันเงียบไปเล็กน้อย สีหน้าเผยความคลั่งไคล้
“ฉันได้เห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม… เมื่อเทียบกันแล้ว โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นเพียงเม็ดเล็กๆ ในทะเลทราย… ที่นั่นเต็มไปด้วยอารยธรรมนับไม่ถ้วน บ้างยาวนานถึงแสนปี บ้างเป็นล้านปี และบ้างหลายสิบล้านปี… ดูเหมือนกับจักรวาลไม่มีผิด!”
เมื่อเห็นว่าคำถามของตนเปลี่ยนแฟร์นันไปในทิศทางที่แย่ลง บาร์ตันปิดปากสนิท ครุ่นคิดเกี่ยวกับหัวข้อที่อีกฝ่ายอาจสนใจ
มันค่อยๆ สูดลมหายใจ
“นอกจากแท่นบูชา นายค้นพบอะไรบ้างในโบราณสถานยุคสมัยที่สี่? มีข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลทามาร่ามากน้อยแค่ไหน?”
ดวงตาแฟร์นันขยับเล็กน้อย
“ตระกูลทามาร่าเปลี่ยนตราประจำตระกูล… หมายความว่าพวกเขาเผชิญเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง”
ขณะพูด นักโบราณคดีที่ร่างกายท่อนล่างถูกปกคลุมด้วยหมอก เหยียดมือขวาออกและใช้ควันวาดสัญลักษณ์สองชนิดกลางอากาศ
สัญลักษณ์แรกประกอบด้วยชั้นของหนาม ปราการโล่ และดาบยาวที่สอดเข้าไปในแนวตั้ง สัญลักษณ์ที่สองคือบานประตูคู่ที่เปิดอ้า ช่องว่างด้านในถูกเติมเต็มด้วยดาบยาวแนวตั้ง
ในฐานะนักประวัติศาสตร์มืออาชีพที่ค่อนข้างโด่งดัง บาร์ตันหวนนึกถึงคำพูดของสตรีตระกูลทามาร่าคนนั้น
“พวกเขาคือพวกเขา พวกเราคือพวกเรา”
“ตระกูลทามาร่าแบ่งเป็นสองกลุ่ม?” บาร์ตันโพล่งขึ้น
“คงใช่” แฟร์นันยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินเข้าหาบาร์ตันพลางกล่าวอย่างกระตือรือร้น “สมองของนายน่าสนใจกว่าที่ฉันคิด ถือเป็นอาหารเสริมที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉัน… ไม่ต้องกังวล ความคิดของนายจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน เราจะได้เห็นอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน”
มันดูอ่อนแอ คล้ายกับต้องการฟื้นฟูร่างกาย
หัวใจบาร์ตันเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง พยายามหลบเลี่ยงอีกฝ่ายสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด ร่างกายของมันก็ยิ่งชะงักงันและมิอาจขยับเขยื้อน
ขณะใบหน้าแฟร์นันจ่ออยู่ปลายจมูก มือขวาบาร์ตันรู้สึกเจ็บกะทันหัน ทุกส่วนของร่างกายได้รับสติกลับมาทันที
หมอกสีขาวซีดและสัตว์ประหลาดแฟร์นันตรงหน้าอันตรธานหายไป ราวกับไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
บาร์ตันก้มมองตามสัญชาตญาณ พบว่าบุหรี่ในมือขวาไหม้ลามมาถึงโคนนิ้ว
“แค่ฝันไป? แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจริงนัก” บาร์ตันทิ้งก้นบุหรี่และลุกขึ้นยืน อาศัยสัมผัสวิญญาณนำทางไปยังหน้าต่าง
ดวงตาจ้องมองถนน มันพบคนเดินเท้าจำนวนหนึ่ง กำลังย่ำไปบนถนนที่มีแสงจากโคมไฟคอยมอบความสว่าง พยายามกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด
ในหมู่คนเหล่านั้น โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่กำลังเดินไปเดินมาอย่างเป็นธรรมชาติ