หลังจากสะสางปัญหาใต้บ่อน้ำเสร็จสิ้น ทุกคนก็ออกไปจากที่นั่นและมุ่งหน้ากลับขึ้นสู่พื้นดิน
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันและท้องฟ้าสว่างเจิดจ้า อย่างไรก็ตาม ม่านหมอกหนาทึบในบริเวณหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม
“ดูเหมือนเราจะต้องทำลายข่ายอาคมตรึงวิญญาณให้ได้เสียก่อน ที่นี่จึงจะกลับเป็นปกติและดวงวิญญาณทั้งหมดจะได้เข้าสู่กระบวนการเกิดใหม่”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้น ตอนนี้มหาเทพแห่งความว่างเปล่าเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวของนางแล้วและใต้ดินก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจอีกต่อไป เพราะเหตุนั้น สิ่งเดียวที่ยังส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาในตอนนี้ก็คือข่ายอาคมตรึงวิญญาณนั่นเอง
การที่จะทำลายข่ายอาคมที่ทรงพลังจากยุคโบราณนี้ก็มีวิธีการเพียงไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางสามารถติดต่อกับอสูรมายาทั้งหมดในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วและพวกมันก็สามารถรวมพลังกับมารยาเพื่อหาทางทำลายข่ายอาคมตรึงวิญญาณนี้ได้
“พวกเจ้าทุกคน ช่วยเราสะสางวิกฤตของที่นี่และจากนั้นก็พาข้าไปที่นิกายพันปีศาจ”
ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับกลุ่มสมาชิกจากนิกายพันปีศาจที่ได้หลั่งเลือดสาบานต่อนางแล้ว ถึงอย่างไร พระปีศาจเฉินเฟิงเซี่ยวก็ไม่มีวันได้เกิดใหม่อีกตลอดกาลและตอนนี้นิกายพันปีศาจก็ตกอยู่ในสภาวะที่ไร้ผู้นำ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสคนสำคัญของนิกาย นอกเหนือจากเฉินเฟิงเซี่ยว พวกเขาจึงเป็นคนที่มีสถานะสูงพอสมควร
ฉินอวี้โม่วางแผนที่จะเดินทางไปที่นิกายพันปีศาจกับพวกเขาและขึ้นครองอำนาจแทนเฉินเฟิงเซี่ยว แม้นิกายพันปีศาจจะเป็นเพียงขุมกำลังระดับสอง พวกเขาก็จะช่วยนางได้มาก
“ขอรับ นายหญิง”
หลังจากที่ได้ทราบว่าเฉินเฟิงเซี่ยวดับสิ้นไปด้วยน้ำมือของมหาเทพแห่งความว่างเปล่า คนเหล่านี้ก็เงียบขรึมยิ่งกว่าเดิม ในฐานะผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจ พวกเขาย่อมทราบว่ามหาเทพแห่งความว่างเปล่าคือผู้ใด การที่เฉินเฟิงเซี่ยวต้องตายด้วยน้ำมือของเขาก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่ก็มิใช่สิ่งที่พวกเขารับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร ด้วยความช่วยเหลือของมหาเทพแห่งความว่างเปล่า ฉินอวี้โม่จะต้องกลายเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนนี้และก่อตั้งขุมกำลังระดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสจากนิกายพันปีศาจเหล่านี้ก็ถือว่าไม่เลวร้าย สำหรับการทำลายข่ายอาคมตรึงวิญญาณ ฉินอวี้โม่เชื่อว่าพวกเขาจะช่วยนางได้มาก
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ร่วมมือกับมารยาและตามหาศูนย์ควบคุมของข่ายอาคมตรึงวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว เวลานี้ เถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ ก็ถูกส่งกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวในขณะที่พวกนางมุ่งหน้าตรงไปยังศูนย์ควบคุมของข่ายอาคม
ศูนย์ควบคุมของข่ายอาคมตรึงวิญญาณอยู่ในจุดที่มีหมอกหนาทึบมากที่สุด
ยิ่งเข้าไปใกล้มากเพียงใด ฉินอวี้โม่และมารยาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่หนาแน่นมากเพียงนั้น รวมถึงกลิ่นอายที่น่าอึดอัดและน่าหดหู่เป็นที่สุด
“ผู้ที่จัดวางข่ายอาคมตรึงวิญญาณนี้คงจะมีความเข้าใจในศาสตร์ของข่ายอาคมที่สูงกว่าเรามาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางถอนหายใจ คาดการณ์ได้ว่าผู้ที่วางข่ายอาคมดังกล่าวคงจะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่บรรลุความเข้าใจในระดับสูงสุดแล้ว ต่อให้นางและมารยาร่วมมือกันก็เทียบชั้นกับคนผู้นั้นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านมานับหมื่นปีแล้วและเป็นธรรมดาที่พลังของข่ายอาคมตรึงวิญญาณจะต้องอ่อนกำลังลงมาก เพราะเหตุนั้น การร่วมมือกันของนางและมารยาในตอนนี้จึงมากพอที่จะทำลายข่ายอาคมตรึงวิญญาณได้ไม่ยาก
ทั้งสองเหาะตรงไปยังศูนย์ควบคุมของข่ายอาคมและเริ่มกระหน่ำโจมตีมันอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากเป็นข่ายอาคม หากทำลายศูนย์ควบคุมของมันได้สำเร็จ ข่ายอาคมตรึงวิญญาณนี้ก็จะสลายหายไปโดยธรรมชาติ
แน่นอนว่าศูนย์ควบคุมของข่ายอาคมตรึงวิญญาณมิใช่สิ่งที่จะทำลายได้ง่าย ๆ นอกเหนือจากการกระหน่ำโจมตีมัน ฉินอวี้โม่และมารยาก็จำเป็นต้องวางข่ายอาคมหลายชนิดที่สามารถปิดผนึกพลังรอบ ๆ มันเพื่อมิให้พลังมายาของข่ายอาคมตรึงวิญญาณฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก
มารยาวางข่ายอาคมจากด้านข้างเพื่อแยกพลังทั้งหมดออกจากข่ายอาคมตรึงวิญญาณนี้ ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ปลดปล่อยการโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งจนเกิดร่องรอยความเสียหายบนศูนย์ควบคุม
เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดพลังป้องกันของข่ายอาคมตรึงวิญญาณก็ไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไปและศูนย์ควบคุมของมันก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
จากนั้น หมอกหนาที่เคยบดบังทัศนวิสัยรอบตัวก็เริ่มสลายหายไป ฉินอวี้โม่และทุกคนคาดการณ์ไว้ถูกแล้ว สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆามากที่สุดก็คือข่ายอาคมตรึงวิญญาณจากยุคโบราณนั่นเอง
“ถูกทำลายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ ?”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ มีสีหน้าที่ประหลาดใจอย่างชัดเจน พวกนางไม่คาดคิดเลยว่าข่ายอาคมที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จะถูกฉินอวี้โม่ทำลายไปอย่างง่ายดาย
“การทำลายข่ายอาคมตรึงวิญญาณจะต้องพึ่งพาการประสานร่วมมือกันเป็นอย่างดี รวมถึงพลังที่พิเศษ ข้ามีสภาวะร่างกายที่พิเศษอยู่และมารยาก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลัง เราจึงทำลายข่ายอาคมนี้ได้ง่าย หากไม่มีมารยา ข้าเพียงคนเดียวก็คงทำลายข่ายอาคมตรึงวิญญาณไม่ได้แน่”
ฉินอวี้โม่อธิบายขณะมองเห็นดวงวิญญาณที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนอากาศ
“ท่านจอมยุทธ์ ขอบคุณท่านมากจริง ๆ”
น้ำเสียงที่จริงใจดังขึ้นและดวงวิญญาณทุกดวงในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก็มีสติกลับคืนมา แววตาของพวกเขาใสชัดและไร้ความมัวหมองเช่นเดิม ในเวลานี้ พวกเขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากข่ายอาคมตรึงวิญญาณแล้ว
บรรดาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง การที่ใช้ข่ายอาคมตรึงวิญญาณ พวกเขาไม่เพียงแต่กักขังมหาเทพแห่งความว่างเปล่าไว้ใต้บ่อน้ำเท่านั้น ทว่ายังกักขังดวงวิญญาณทุกดวงในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา นอกเหนือจากประชากรของหมู่บ้านที่ฉินอวี้โม่และทุกคนได้เห็นในตอนนี้ก็ยังมีดวงวิญญาณอีกมากที่เสื่อมสลายไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย…
“ทุกท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ขอให้ทุกท่านได้ไปเกิดใหม่ดังที่ปรารถนา”
ฉินอวี้โม่โบกมือให้กับพวกเขาก่อนดวงวิญญาณเหล่านั้นจะค่อย ๆ สลายหายไปทีละดวง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าสู่กระบวนการของสังสารวัฏเช่นที่ควรจะเป็นแล้ว
ดวงวิญญาณจำนวนมากหายวับไปทีละดวง ๆ จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงบิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยที่ยังคงยืนอยู่
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่ว่าพ่อและแม่จะอยู่ที่ใด เราก็จะเฝ้ามองและคอยภาวนาให้เจ้ามีชีวิตที่ดี”
ทั้งสองมองบุตรสาวด้วยแววตาเจือความไม่เต็มใจนัก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ลูกจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวัง”
น้ำเสียงของเหลิ่งซวงเสวี่ยเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นและความชัดเจน อย่างไรก็ตาม นางก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่ออดกลั้นความเศร้าโศกในหัวใจและฝืนยิ้มออกมา
“เสี่ยวอวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ ขอบคุณที่ช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของพวกเราทุกคนในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาให้เป็นอิสระ”
เหลิ่งต้าซานหันไปกล่าวขอบคุณกับฉินอวี้โม่ด้วยความจริงใจ
หากมิใช่เพราะนาง ชาวหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก็คงไม่ทราบถึงความจริงที่เกิดขึ้น บางทีดวงวิญญาณของพวกเขาอาจต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไปและไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย
“ท่านลุงท่านป้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเจ้าค่ะ เราจะช่วยดูแลพี่เหลิ่งแทนพวกท่านเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเสริมประโยคที่ทำให้เหลิ่งต้าซานอุ่นใจขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นเราก็วางใจได้”
คู่รักสองสามีภรรยาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยิ้มให้กับทุกคน จากนั้น ร่างของพวกเขาก็ค่อย ๆ สลายหายไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่…”
ดวงตาของเหลิ่งซวงเสวี่ยแดงก่ำทว่าใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มบาง แม้ไม่เต็มใจนัก นางก็ทราบดีว่าบิดามารดาของนางได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้วและทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดีที่สุด
“พี่เหลิ่ง อย่าเศร้าไปเลย ต่อไปพวกเราจะคอยอยู่เคียงข้างท่านเอง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวก้าวออกไปข้างหน้าและจับมือเหลิ่งซวงเสวี่ยเอาไว้ เวลานี้ดวงตาของนางก็แดงก่ำเช่นกัน
อารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น ๆ ล้วนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เกิดขึ้นพอสมควรส่งผลให้บรรยากาศรอบ ๆ กลายเป็นความทุกข์ใจไม่มากก็น้อย
“เอาล่ะ หมอกหนากำลังจะสลายไปทั้งหมดแล้ว ถึงเวลาที่เราควรเดินทางกลับกันเสียที”
เมิ่งจวินเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว หมอกที่จางหายไปอย่างต่อเนื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าวิกฤตร้ายในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาได้รับการคลี่คลายแล้วและถึงเวลาที่พวกเขาต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
“เกรงว่าการกลับไปคงไม่ง่ายนัก”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึม
ในขณะที่หมอกหนาจางหายไป พวกนางก็สามารถสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ฉินอวี้โม่กล่าวถูกต้องทุกประการ เฉินหว่านเอ๋อร์ไม่มีทางยอมให้พวกนางกลับไปง่าย ๆ และตอนนี้ก็มีคนคอยดักรอพวกนางอยู่นอกหมู่บ้านตามที่คาดการณ์ไว้