บทที่ 1368 เธอคือตัวแทนนักเรียนใหม่ + ตอนที่ 1369 ขอภาพวาด

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1368 เธอคือตัวแทนนักเรียนใหม่ + ตอนที่ 1369 ขอภาพวาด โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1368 เธอคือตัวแทนนักเรียนใหม่

เจียงจื้อหรู่ดื่มโค้กไปหนึ่งอึกก่อนกระแอมเสียงแล้วพูดว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้ปรึกษาตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วว่าจะมอบหมายให้เธอเป็นตัวแทนของนักศึกษาใหม่ในปีนี้ พรุ่งนี้นักศึกษาที่เข้าเรียนใหม่จะต้องกล่าวสุนทรพจน์ในพิธี ดังนั้นเธอจะต้องเตรียมคำพูดที่จะพูด”

เหมยเหมยนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง ถามว่า “ตัวแทนนักศึกษาใหม่ต้องพูดในงานเลี้ยงต้อนรับไม่ใช่เหรอคะ?”

เมื่อครู่ถังม่านลี่ยังพูดว่าจะกล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับหลังการฝึกรด. ทำไมถึงได้กลายเป็นพรุ่งนี้ไปได้ล่ะ?

เจียงจื้อหรู่ยิ้ม “งานเลี้ยงต้อนรับก็คืองานเลี้ยงต้อนรับ พิธีปฐมนิเทศก็คือพิธีปฐมนิเทศ งานสองอย่างนี้แตกต่างกันซึ่งนั่นก็คือพรุ่งนี้ เอาเป็นว่าเธอกลับไปเตรียมตัวเอาไว้อย่างน้อยต้องสิบนาที!”

เหมยเหมยกลับไม่ได้ตื่นเต้นจนเกินไป ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอออกโทรทัศน์ แจกลายเซ็น นอกจากนี้ยังมีงานประชุมสัมนากับผู้อ่าน…จะพูดอย่างไรก็เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ก็แค่พูดกล่าวในงานเท่านั้นเองซึ่งไม่ทำให้เธอหนักใจเลย

“อาจารย์เจียง ฉันขอถามหน่อยทางมหาวิทยาลัยมีข้อกำหนดมุ่งเน้นให้พูดเช่นไรหรือไม่คะ?” เหมยเหมยถาม

เจียงจื้อหรู่ยิ้มอีกครั้ง สายตาฉายแววชื่นชมจ้าวเหมยคนนี้ช่างมองโลกได้กว้างจริง ๆ หากเป็นเด็กใหม่คนอื่นกลัวว่าตอนนี้จะตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูก แต่สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สงบนิ่งมาก

“แน่นอนว่าเธอพูดได้อย่างอิสระ แต่จะดีกว่าถ้าพูดสิ่งที่เป็นพลังบวกและสร้างแรงบันดาลใจ และอย่าพูดถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเมือง…เธอเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?” เจียงจื้อหรู่ขยิบตาอย่างขบขำ

เหมยเหมยก็ยิ้มพลางพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับการต่อต้านมนุษยชาติต่อต้านสังคมต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านโรงเรียนแม้แต่คำเดียว อาจารย์เจียงวางใจได้ค่ะ!”

เจียงจื้อหรู่อดไม่ได้ที่จะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เด็กคนนี้น่าสนใจจริง ๆ

“เธอมีในใจแล้วก็ดี ผมพูดแค่เรื่องนี้แหละ เธอกลับไปเตรียมตัวให้ดีเถอะ เธอยังเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่คนแรกของคณะศิลปกรรมศาตร์ของเรา อย่าลืมว่าต้องทำให้คณะสาขาอื่นอึ้งและยอมจำนนในความสามารถ”

เจียงจื้อหรู่ทำมือบอกให้เธอสู้ ๆ เหมยเหมยก็ยิ้มตอบกลับไป

เธอกำลังจะขอตัวเจียงจื้อหรู่ก็เรียกรั้งเธอไว้อีกครั้ง เหมือนจะแสดงท่าทีลำบากใจอยู่บ้าง “อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันเอง ฉันชื่นชมภาพวาดของคุณตาเหยียนของเธอมาก แต่ตอนนี้หายากมากขาดตลาดมาก……”

พูดถึงตรงนี้เจียงจื้อหรู่ก็ชะงักไป คงจะเป็นเพราะว่าตัวเขาเองลำบากใจที่จะเอ่ยปากล่ะมั้ง

แต่พอนึกถึงผลงานสไตล์ของปรมาจารย์เหยียน เขาจึงทำหน้าหนาพูดต่อไปว่า “ฉันอยากสะสมภาพวาดของปรมาจารย์เหยียนมาโดยตลอด แต่เสาะหามาสิบกว่าปีก็ไม่มีวาสนาจะได้มันมาสักที ดังนั้นฉันคิดจะซื้อภาพจากแม่ของเธอ ฉันยินดีที่จะให้ราคาสูงกว่าตลาดยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

ถึงตรงนี่เหมยเหมยถึงได้เข้าใจความหมายของเจียงจื้อหรู่ ก็คืออยากจะซื้อภาพวาดของคุณตาจากแม่ของเธอนั้นเอง!

เจียงจื้อหรู่ไม่สามารถหาซื้อรูปภาพของคุณตาได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสักนิด คุณตามีชื่อเสียงในต่างประเทศ อีกทั้งสไตล์การวาดภาพของคุณตาแปลกใหม่หลากหลาย มีภาพสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เกือบทุกปี เหยียนซินหย่ายังมีภาพวาดสีน้ำมันที่คุณตาของเธอวาดไว้เมื่อเธอยังเด็กอยู่ไม่กี่ภาพ!

ตอนวัยรุ่นภาพวาดของเหยียนตานชิงถูกนักสะสมชาวต่างชาติซื้อไปหมด หลังจากกลับประเทศจีนสไตล์การวาดภาพของเหยียนตานชิงก็ค่อย ๆมั่นคงขึ้น แต่จำนวนกลับลดลงอย่างมาก ปีหนึ่งสามารถวาดได้แค่ไม่กี่ภาพ ส่วนใหญ่เป็นการแจกหรือสร้างความบันเทิงให้ตนเอง ดังนั้นตลาดภายในประเทศจึงมีผลงานภาพวาดของคุณตาน้อยมาก

แม้แต่ในมือของเหยียนซินหย่ามีแค่สามสิบกว่าภาพเท่านั้น ที่เหลือยังมีผลงานศิลปะการเขียนตัวอักษร รวมถึงภาพร่าง ตัวอย่างตราประทับต่าง ๆ

“อาจารย์เจียง ต้องขออภัยจริง ๆค่ะ ในมือแม่ของฉันมีภาพวาดของคุณตาก็จริงแต่เธอไม่คิดจะขาย” เหมยเหมยปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

เจียงจื้อหรู่ถอนหายใจอย่างเสียดาย “ก็เข้าใจความรู้สึกของแม่ของเธออยู่หรอก หากเป็นฉันก็คงไม่คิดจะขาย”

เหมยเหมยเลิกคิ้วเจตนาถามขึ้นว่า “อาจารย์เจียง เท่าที่หนูรู้มามีภาพวาดสไตล์คล้ายคุณตาของหนูเยอะมาก อย่างภาพวาดของเจิ้งซื่อหลินและหร่วนฮวาไช่ทั้งสองคนต่างก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นเช่นกัน”

…………………………………………..

ตอนที่ 1369 ขอภาพวาด

ยุคฟื้นฟูศิลปะวรรณคดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศิลปะการเขียนตัวอักษรภาพวาดพวกนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในตลาด โดยเฉพาะของคุณตาของเธอ ท่านโด่งดังไปทั่วโลกก่อนเสียชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือคุณตาของเธอจากไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เคารพต่อท่านเท่าไร แต่นี่ก็เป็นสาเหตุที่ภาพวาดของคุณตาของเธอมีราคาสูงมาก การตายถึงจะเป็นเหตุผลหลัก

บนเส้นทางศิลปะการเขียนตัวอักษร คนที่มีชีวิตอยู่ไม่สามารถสู้คนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ตลอดกาล!

กล่าวได้ว่าสไตล์การวาดภาพของจิตรกรในยุคร่วมสมัยที่เก็งกำไรได้สูงที่สุดก็คือผลงานของคุณตาของเธอ

นี่ก็เริ่มจะมีภาพวาดปลอมของปรมาจารย์เหยียนขึ้นมา มีสองสามภาพที่แนบเนียนเหมือนจริงมาก มีบางครั้งถ้าเหยียนซินหย่าไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดก็ยังแยกแยะไม่ออก

อีกทั้งเจิ้งซื่อหลินและหร่วนฮวาไช่คนไร้ยางอายสองคนนี้ทำข้อตกลงกับตานเหอเจิ้ง ตอนนี้คาดว่าจะสร้างสัญลักษณ์ของคุณตาของเธอขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับไม่กล้าพูดว่าเป็นลูกศิษย์ของคุณตา พูดแค่ว่าพวกเขาเคยได้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์เหยียนอยู่หลายครั้ง คุณตาและพวกเขามีมิตรภาพระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์

ช่างไร้ยางอายที่สุด!

เหยียนซินหย่าแถลงการณ์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่หลายครั้ง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหร่วนฮวาไช่และเจิ้งซื่อหลินไม่มีความสัมพันธ์ใดกับคุณตาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังมีประโยชน์ มีผู้หวังดีได้เปิดเผยเรื่องด่างพร้อยของสองคนในอดีต เขียนบทความและด่าในหนังสือพิมพ์ ด่าว่าสองคนนี้เป็นปัญญาชนที่ไร้ยางอายไม่มีจุดยืนแน่วแน่……

แต่ตอนนี้ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตข้อมูลถูกปิดกั้นมาก ฮวาเซี่ยใหญ่มากขนาดนี้มีข่าวมากมายที่จนปัญญาที่จะแพร่กระจายออกไปให้ทั่วถึง ธาตุแท้ของสองคนนี้มีคนที่รู้มีน้อยจนเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงแบกหน้าอยู่ในวงการวาดภาพได้อยู่

เหยียนหมิงซุ่นเคยเสนอว่าเขาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องเจ้าคนไร้ยางอายพวกนี้ได้โดยตัดทางหนีทีไล่ แต่เหยียนซินหย่าไม่เห็นด้วย

เหยียนซินหย่าเธอมุ่งมั่นที่จะพึ่งพาความสามารถของตัวเอง เพื่อลบล้างมลทินให้พ่อเธอและแก้นแค้นเอาคืนด้วย

เธอรู้สึกว่านี่เป็นหน้าที่ของเธอในฐานะลูกสาว

ทุกคนรู้ดีถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมของเหยียนตานชิงในปีนั้น อีกทั้งรัฐบาลแก้คำข้อกล่าวหาบอกว่าใส่ความคุณตาของเธอแล้ว แต่การแก้ไขครั้งนี้ทำกันเพียงภายในเท่านั้นจึงมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบ

ปีนั้นคุณตาคุณยายของเธอต้องทนทุกข์ทรมานรับโทษโดยไม่มีใครรู้สักคน และพวกตานเหอเจิ้งสารเลวสามคนนั้น และยังมีอีกมากมายที่ไม่รู้แน่ชัด ซึ่งไม่ใช่ว่าเหยียนซินหย่าไม่ต้องการความเป็นธรรมกอบกู้ชื่อเสียงให้กับคุณตา

แต่เรื่องนี้อ่อนไหวมาก เหยียนซินหย่ามีใจที่มุ่งมั่นแต่ไร้ซึ่งกำลัง เธอมีหลายอย่างที่ไม่สามารถพูดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้จ้าวอิงหัวทำงานในรัฐบาล ดังนั้นทุกคำเธอต้องคิดไตร่ตรองให้ดีจนถี่ถ้วนแล้วถึงจะกล้าที่จะพูดออกไป

ถึงอย่างไรเสียเพื่อความสุขของตัวเองแล้วเธอไม่สามารถละเลยสามีและลูกสาวได้!

เจียงจื้อหรู่ได้ยินคำพูดของเหมยเหมย เขาก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมาอย่างเห็นได้ชัด พูดเย้ยหยันว่า “สองคนนี้เทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วเท้าของปรมาจารย์เหยียนด้วยซ้ำ ดีแต่ลอกเลียนรูปแบบของสำนักเหยียน แต่กลับไม่มีจิตวิญญาณ ไม่เข้าตาฉันหรอก”

เหมยเหมยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชอบอาจารย์ประจำชั้นของเธอมากขึ้น คิด ๆแล้วก็พูดขึ้นว่า “ภาพวาดของคุณตาหนูคงจะขายให้ไม่ได้แน่นอน แต่อีกไม่นานแม่ของหนูจะจัดนิทรรศการภาพวาดให้คุณตา โชว์ผลงานศิลปะก่อนเสียชีวิตทั้งหมด ถึงตอนนั้นถ้าอาจารย์เจียงสนใจหนูสามารถมอบให้อาจารย์ได้สักสองสามใบค่ะ”

เจียงจื้อหรู่รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว นิทรรศการจัดแสดงเมื่อไรและที่ไหน? ถ้าหากจัดที่เมืองหลวงแล้วล่ะก็ ฉันรู้จักเพื่อนในพื้นที่มากมายน่าจะช่วยได้บ้าง”

“สถานที่ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ น่าจะเลือกระหว่างเมืองหลวงไม่ก็เมืองจินสองที่นี้แหละ หนูจะกลับไปถามแม่ดู เมื่อตัดสินใจแล้วฉันจะบอกอาจารย์เจียงนะคะ”

“ได้ ๆ ๆ เรื่องนี้ไม่รีบ ถ้าหากว่าจัดที่เมืองหลวงล่ะก็ ฉันหวังว่าจะได้ช่วยอย่างเต็มที่” เจียงจื้อหรู่พูดถึงเรื่องช่วยเหลืออีกครั้ง มองออกเลยว่าเขามีใจอยากจะช่วยจริง ๆ

เหมยเหมยพูดยิ้ม ๆว่า “ฉันจะต้องบอกแม่แน่ ๆค่ะ ถ้าหากว่าจัดที่เมืองหลวงจริงคงต้องรบกวนอาจารย์เจียงแล้ว”

“ไม่เลย ๆ สามารถช่วยเหลืองานนิทรรศการภาพวาดของปรมาจารย์เหยียนได้นับว่าเป็นบุญของฉันสามชาติเลย!” เจียงจื้อหรู่ลูบฝ่ามือสีหน้าดูเลื่อมใสศรัทธามาก

…………………………………………..