หลัวซิวไม่ค่อยคุ้นเคยต่อโลกเสวียนเทียนมากเท่าไหร่นัก เขาแค่พบทิศทางโดยคร่าว ๆ และให้จินเฟยเทียนบินไปยังเมืองแก้วเทว กลับนึกไม่ถึงเลยว่าระหว่างทางจะพลัดหลงเข้ามาในป่าลมสายฟ้าแห่งนี้

ภายใต้การคุ้มกันของเขา เสี่ยวเจียงหมิงจึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากพายุทอร์นาโด หลัวซิวสัมผัสได้ว่ามีพลังกฎธาตุลมพลังหนึ่งกำลังพันธนาการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจินเฟยเทียนก็ถูกพลังแห่งกฎดังกล่าวพันธนาการไว้ และไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากพายุทอร์นาโดลูกนี้

“หยุดนิ่ง!”

หลัวซิวตะคอกอย่างเยือกเย็น กระตุ้นกฎเวลา เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบริเวณรอบ ๆ หยุดนิ่งลงไปในเสี้ยววินาที

แม้กระทั่งพายุทอร์นาโดที่หมุดพัดอย่างรวดเร็วก็หยุดนิ่งเช่นกัน ลักษณะของพายุทอร์นาโดที่หยุดนิ่งแล้วดูแปลกมาก ๆ เหมือนกับก้อนเมฆรูปเห็ดก้อนหนึ่งยังไงอย่างนั้น

เขาพาเสี่ยวเจียงหมิงและจินเฟยเทียนเดินออกมาจากพายุทอร์นาโด จากนั้นทุกอย่างก็ฟื้นกลับไปเป็นปกติในทันที พายุทอร์นาโดพัดหมุนอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยม พัดหมุนเสียงดังครั่นครืนออกไปไกล

“เอ๊ะ? ออกมาตั้งแต่เมื่อใดเนี่ย?”ใบหน้าของจินเฟยเทียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความตะลึงงัน เสี่ยวเจียงหมิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ใช้มือเกา ๆ ศีรษะเช่นกัน รู้สึกงง ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แดนกฎเวลาของหลัวซิวไม่สูงมากนัก หากใช้กฎเวลาต่อผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารละก็ มากสุดก็แค่สามารถหยุดฝ่ายตรงข้ามได้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น และความคิดของฝ่ายตรงข้ามจะยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ศักยภาพของเสี่ยวเจียงหมิงและจินเฟยเทียนห่างจากเขาเยอะมาก ๆ แม้แต่ลักษณะท่าทางและความคิดของพวกเขาก็หยุดนิ่งไปด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลัวซิวไม่ได้อธิบายเรื่องนี้กับพวกเขา แต่เป็นการกวาดตามองดูรอบ ๆ แล้วขมวดคิ้ว

ขอบเขตของป่าลมสายฟ้าแห่งนี้ไม่เล็ก เมื่อกี้พวกเขาถูกพายุทอร์นาโดพัดพาไป จึงไม่รู้ว่าบัดนี้ไปถึงที่ใดแล้ว รอบ ๆ ทั้งแปดด้านล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอัสนีวาโยที่โหดเหี้ยม ท้องฟ้ามืดสลัว แยกทิศทางไม่ได้

และในตอนนี้ ก็มีเงามืดที่ใหญ่มหึมาปรากฏอยู่บนท้องฟ้า หลัวซิวจ้องเขม็งมองไป พบว่าเงามืดที่ใหญ่มหึมาดังกล่าวคืออสูรกายฝูงหนึ่ง

ซึ่งพวกมันแตกต่างจากเผ่าพันธุ์มารที่มีสติปัญญาเปลี่ยนแปลงเป็นมนุษย์ อสูรกายบางส่วนที่ยังไม่มีสติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณก็ถูกเรียกว่าอสูรโหดหรืออสูรปีศาจเช่นกัน

นี่คืออสูรกายประเภทมีปีกฝูงหนึ่ง ประเภทของอสูรกายพิลึกกึกกือ หลัวซิวก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตกลงแล้วนี่คืออสูรกายประเภทใดกันแน่

แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้นั่นก็คือ จำนวนของอสูรกายฝูงนี้มีมหาศาลมาก อีกทั้งยังมีออร่ากฎธาตุลมแผ่ออกมาจากตัวพวกมันด้วย

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอสูรกาฝูงนี้กำเนิดมาจากพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมพิเศษอย่างป่าลมสายฟ้า

รูปร่างของอสูรกายเหล่านี้ไม่ใหญ่ มีจะงอยปากที่แหลมคมและเรียวยาว ดวงตามีแสงสีเขียวเป็นประกาย กลิ่นอายออร่าดูชั่วร้ายรุนแรง

หลังจากที่อสูรกายฝูงนี้สังเกตเห็นพวกหลัวซิวแล้ว พวกมันก็พุ่งเบียดเสียดเข้ามาพร้อมกันในทันที อสูรทมิฬที่ถี่ยิบมีจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้คนพบเห็นขนหัวลุกซู่

หลัวซิวจะเคยพบเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนได้อย่างไร จับชายเสื้อของหลัวซิวเอาไว้อย่างประหม่า

“ตาย!”

หลัวซิวยกมือขึ้นมาโบกหนึ่งครั้ง อัคคีเทพชิงเทียนลุกลามไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า อสูรทมิฬที่นับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่ เสี้ยววินาทีที่สัมผัสโดนอัคคีเทพ พวกมันก็ถูกแผดเผาจนกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เสียงกรีดร้องแหลมคม

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……

แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ไม่อาจทราบได้เช่นกันว่ามีอสูรทมิฬประเภทนี้ถูกอัคคีเทพแผดเผาจนตายไปแล้วกี่ตัว แต่ทว่าจำนวนของอสูรกายฝูงนี้มีมากมายมหาศาลมาก หลัวซิวเผาตายไปกลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็มีอีกกลุ่มหนึ่งโถมเข้าใส่อย่างไม่ขาดสาย

การกระตุ้นอัคคีเทพชิงเทียนก็ต้องสูญเสียผลการฝึกตนเช่นกัน จนกระทั่งสูญเสียผลการฝึกตนไปเกือบครึ่ง ก็ไม่เห็นว่าจำนวนของอสูรกายฝูงนี้จะลดน้อยลงไปเลย ยังคงมีอสูรกายเหลืออีกจำนวนมาก

ศักยภาพของตัวอสูรทมิฬประเภทนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก มากสุดก็แค่สามารถเทียบทัดกับเจ้ายุทธจักร แต่ก็ต้านทานไม่ไหวเพราะจำนวนมีมากเกินไป แม้ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จะถูกพวกมันกักขังอยู่ภายใน เกรงว่าผู้แข็งแกร่งนั่นคงจะฝ่าวงล้อมออกไปได้ยากมาก ๆ ซึ่งนี่คือคุณภาพที่เปลี่ยนไปเนื่องจากจำนวนที่เปลี่ยนไป

ฝั่งจินเฟยเทียนก็ฆ่าอสูรทมิฬไปไม่น้อยเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนที่หลัวซิวฆ่าแล้ว จำนวนที่เขาฆ่ากลับน้อยนิดจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย